‘กิ่งหว้า’ สัญลักษณ์ต่อต้านรัฐประหารของชาวพม่า

ภาพของประชาชนชาวเมียนมาถือยอดอ่อน ‘ต้นหว้า’ โบกสะบัดไปมาในการประท้วงเผด็จการทหารที่เมืองมัณฑะเลย์ ซึ่งกลายเป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงจากสังคมภายนอกอย่างเป็นวงกว้าง ดังนั้น คอลัมน์ Urban Tales ครั้งนี้จะพาผู้อ่านไปหาคำตอบว่า ‘ต้นหว้า’ กับ ‘การเรียกร้องของชาวเมียนมา’ เกี่ยวข้องกันอย่างไร

Great American Rail-Trail เส้นทางปั่นจักรยานเชื่อม 12 รัฐในอเมริกา

‘Great American Rail-Trail’ ที่ทอดตัวยาวครอบคลุม 12 รัฐ ทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา หนึ่งในโปรเจกต์ที่น่าจับตามองซึ่งปัจจุบันเปิดให้ใช้งานบางส่วนแล้ว โดยอีกไม่กี่ปีนับจากนี้อาจกลายเป็นสวรรค์ของนักปั่นที่ชื่นชอบการขี่จักรยานเป็นชีวิตจิตใจ

ทางม้าลายแรกของโลกที่ The Beatles เคยเดินข้าม

ทางม้าลาย สัญลักษณ์บนท้องถนนสำหรับเดินข้ามที่ผู้คนส่วนมากเข้าใจว่า แถบขาวสลับดำที่ถูกฉาบได้แรงบันดาลใจมาจากลายสองสีของเจ้าม้าลาย แต่รู้หรือเปล่าว่าความเข้าใจที่ว่านั้นผิดมหันต์ แถมช่วงแรกทางม้าลายยังไม่ใช่สีขาว-ดำ แล้วความจริงเป็นอย่างไร คอลัมน์ Urban Tales ชวนค้นคำตอบตั้งแต่จุดแรกเริ่มของทางม้าลายไปพร้อมกัน  ก่อนไปถึงเรื่องราวของสัญลักษณ์สำหรับข้ามถนน ขอเล่าประวัติการเดินข้ามถนนสู่กันฟังเสียก่อน ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยโบราณราว 2,000 ปีที่แล้วในเมืองปอมเปอี นครโรมันโบราณ ตอนนั้นใช้หินก้อนใหญ่วางต่อกันโดยเว้นช่องว่างที่พอดีทั้งคนเดินข้าม และรถม้าวิ่งผ่าน เพื่อไม่ให้คนต้องย่ำเท้าลงถนนที่ด้านใต้เป็นระบบระบายน้ำและกำจัดสิ่งปฏิกูล  เวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ จากสิ่งประดิษฐ์ของนครปอมเปอีที่ล่มสลาย สู่จุดเริ่มต้นของทางข้ามถนนอีกครั้งในเดือนธันวาคม ปี 1868 ที่ถนน ‘Bridge Street’ เมืองเวสต์มินสเตอร์ ลอนดอน สหราชอาณาจักร ซึ่งเกิดขึ้นจากความคิดของ ‘John Peake Knight’ วิศวกรทางรถไฟผู้มองหาหนทางให้ชาวเมืองข้ามถนนที่เต็มไปด้วยรถราอย่างปลอดภัย ด้วยการนำเสาหางปลา (Semaphore Arm) ซึ่งเป็นสัญญาณของทางรถไฟมาปรับใช้ โดยด้านบนติดตะเกียงแก๊ส (Gas Illuminated Lights) สีเขียวและแดง และมอบหน้าที่ให้ตำรวจเป็นคนสับเสาขึ้น-ลงเพื่อส่งสัญญาณให้คนเดิน แต่เนื่องจากตะเกียงมีส่วนผสมของแก๊สที่ง่ายต่อการระเบิด ในปี 1896 จึงยกเลิกการใช้สัญลักษณ์เสาหางปลาสำหรับการข้ามถนน และไม่มีสิ่งใดมาทดแทนได้เป็นเวลานานกว่า 50 ปี  เข้าสู่ช่วงทศวรรษ 1930 สหราชอาณาจักรออกกฎหมายสำหรับการใช้ถนนปี […]

‘ซองโด’ เมืองอัจฉริยะที่ตั้งเป้าลดคาร์บอนฯ ให้เป็นศูนย์

เกาหลีใต้ไม่ได้มีดีแค่โซล แทกู หรือปูซาน แต่ยังมีเมืองใหม่ที่น่าสนใจอย่าง ‘ซองโด’ เมืองที่มีการพัฒนาเศรษฐกิจ อสังหาริมทรัพย์ ควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนที่อยู่ในเมืองนี้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน

จากรันเวย์สู่ลู่วิ่ง จีนเปลี่ยนสนามบินเก่าเป็นสวนสาธารณะ

ชวนไปดูพื้นที่สาธารณะแห่งใหม่ของเซี่ยงไฮ้ ที่หยิบเอารันเวย์เก่าของสนามบินที่ปิดบริการมาตั้งแต่ปี 2011 มาปัดฝุ่นใหม่อย่างน่าสนใจ ด้วยการออกแบบโดยอิงจากประวัติศาสตร์ของสถานที่ จึงออกมาเป็นสวนสาธารณะทางยาวรูปร่างเหมือนกับรันเวย์ที่เปลี่ยนจากเครื่องบินมาให้คนวิ่ง แถมยังจัดสวนเล็กๆ ระหว่างทางเดิน แทนที่โล่งกว้างข้างๆ รันเวย์ ที่เห็นในสนามบินทั่วไป และยังมีสวนซับน้ำฝน และอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ที่เข้ามาช่วยให้คุณภาพน้ำไปจนถึงคุณภาพดินของเซี่ยงไฮ้ดีขึ้นอีกด้วย  สนามบินเก่าสู่พื้นที่สาธารณะ ‘Longhua Airport’ คือสนามบินพาณิชย์ที่อยู่คู่คนเซี่ยงไฮ้มาตั้งแต่ปี 1949 – 2011 หลังจากปลดประจำการมาเป็นเวลานาน บริษัทสถาปนิก Sasaki เจ้าของคอนเซปต์ Better design, together ก็ใช้พลังแห่งการออกแบบชุบสนามบินเก่าให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งในชื่อ ‘Xuhui Runway Park’  พวกเขาเปลี่ยนรันเวย์สำหรับเครื่องบิน เป็นสวนสาธารณะแนวยาวตามรูปแบบของรันเวย์ดั้งเดิม ตลอดเส้นทาง 1,830 เมตร โดยมีทั้งทางเดินสำหรับชื่นชมสวนดอกไม้ พร้อมลู่วิ่ง และเลนจักรยานสำหรับผู้ที่ต้องการออกกำลังกายท่ามกลางความร่มรื่น เพราะพื้นที่สีเขียวคือชีวิต ‘Dou Zhang’ ผู้ช่วยผู้อำนวยการอาวุโสของ Sasaki บอกว่า สวนสาธารณะแห่งนี้คือนวัตกรรมที่เข้ามาช่วยฟื้นฟูเมืองและเติมลมหายใจให้เซี่ยงไฮ้  ซึ่งสวนนี้ออกแบบโดยคำนึงถึงประวัติศาสตร์ของสถานที่ แต่ในขณะเดียวกันก็ใส่ความทันสมัยลงไปเพื่อความสะดวกสบายในการใช้งานที่หลากหลาย เพราะคำนึงถึงผู้ใช้งานทุกกลุ่มได้ทำกิจกรรมที่ตนเองต้องการและผ่อนคลายได้อย่างเต็มที่โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย   ไม่ทิ้งเสน่ห์ดั้งเดิม เซี่ยงไฮ้คือเมืองที่เติบโตอย่างไม่หยุดยั้งด้วยจำนวนประชากรที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้พวกเขามองหาหนทางเพิ่มพื้นที่สาธารณะแห่งใหม่อยู่เสมอ แต่ในขณะเดียวกันชาวเซี่ยงไฮ้ก็ยังโอบกอดประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขาไว้อย่างงดงาม  เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความสวยงามในอดีต […]

วิ่งวนที่ ‘วงเวียน’ การจราจรบนท้องถนนที่ปลอดภัยที่สุด

หากลองนึกภาพท้องถนนเมืองไทย เราอาจพบเห็นสัญลักษณ์ที่ใช้ในการจราจรหลายรูปแบบ คอลัมน์ Urban Tales ครั้งนี้ เลยพาไปทำความรู้จัก ‘วงเวียน’ ซึ่งในอดีตใช้สำหรับเปลี่ยนเส้นทางการสัญจร แต่ปัจจุบันถูกปรับมาเป็นสี่แยกที่เห็นกันอย่างแพร่หลาย ย้อนกลับไปช่วงทศวรรษที่ 1790 นั่นคือยุคแรกที่แนวคิดการสัญจรรถเป็นวงกลมถือกำเนิด โดย ‘Pierre L’Enfant’ สถาปนิกพ่วงตำแหน่งวิศวกร เขาเริ่มจากการสร้างต้นแบบในวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกา จนในปี 1905 ก็ได้ฟื้นฟูรูปแบบและพัฒนาจนกลายเป็นสี่แยกวงกลมแห่งแรกของสหรัฐอเมริกาที่ชื่อว่า ‘Columbus Circle’ ซึ่งตั้งโดดเด่นเป็นสง่า ณ มหานครนิวยอร์ก ก่อนจะถูกเรียกว่า ‘วงเวียน’ เต็มรูปแบบอย่างทุกวันนี้ หลักการพื้นฐานของวงเวียนคือการช่วยให้การจราจรที่อยู่ภายในหมุนเวียนได้อย่างลื่นไหล โดยไม่ต้องใช้สัญญาณไฟจราจร ซึ่งในวงเวียนอาจมีเลนภายในด้วย ยกตัวอย่างการใช้งานที่ประเทศอังกฤษ จะเห็นว่าระบบการจราจรที่นั่นส่วนใหญ่ แม้แต่จุดเปลี่ยนเส้นทางเล็กๆ ในเมือง มักจะใช้วงเวียนมากกว่าการใช้สัญญาณไฟจราจร หรือประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงอย่างจีน ก็มีสถานที่ชื่อดังอย่าง ‘วงเวียนหมิงจู่ (Mingzhu)’ ซึ่งกลายเป็นแลนด์มาร์กของเมืองเซี่ยงไฮ้ที่ครบวงจรมากกว่าการให้รถยนต์สัญจรไปมา แต่ยังสามารถเดินบนสกายวอร์กเชื่อมไปยังศูนย์การค้าหรือตึกต่างๆ ของย่านการค้าใจกลางเมืองโดยไม่ต้องข้ามถนน ข้อมูลทางสถิติจากการประเมินเปรียบเทียบประสิทธิภาพความปลอดภัยของวงเวียนและการควบคุมทางแยกแบบดั้งเดิม โดยสถาบันวิศวกรการขนส่งสหรัฐอเมริกาบอกว่า วงเวียนที่ถูกออกแบบมาอย่างสมบูรณ์จะปลอดภัยสำหรับผู้ขับขี่และคนเดินถนนมากกว่าสัญลักษณ์ในการจราจรรูปแบบอื่นๆ เพราะอัตราการเร่งรถจะลดลงเหลือ 25 – 40 กม. เท่านั้น […]

‘ซาอุดีอาระเบีย’ สร้างเมืองใหม่ ไร้รถยนต์ ไร้มลพิษ และขับเคลื่อนด้วย AI

เมื่อเทพเจ้าแห่งน้ำมันพยายามหาทางเอาตัวรอดจากวิกฤต จึงเกิดเป็นแนวคิดการสร้างแผนพัฒนาเมืองแห่งใหม่ของประเทศซาอุดีอาระเบีย ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ไร้รถ ไร้มลพิษ ขับเคลื่อนด้วยระบบ AI” และทุกพื้นที่จะเชื่อมต่อถึงกันด้วยการเดินเพียง 5 นาที ซึ่งมีชื่อว่า ‘The Line’

ย่านไหนในกรุงเทพฯ เดินได้เดินดีที่สุด

การเดินเท้าถือเป็นการเดินทางที่สมบูรณ์แบบที่สุด” โดยความหมายของ ‘เมืองเดินได้’ คือเมืองที่ผู้คนส่วนใหญ่ใช้การเดินร่วมกับขี่จักรยานและระบบขนส่งมวลชนในชีวิตประจำวันได้อย่างสะดวกและปลอดภัย จากการนิยามของ Goodwalk Thailand

ไขรหัสลับภาษามือ ‘I LOVE YOU’ จากจดหมายหนึ่งฉบับ ที่เป็นจุดเริ่มต้นทุกอย่าง

วันวาเลนไทน์นี้หากคุณอยากบอกรักใครสักคน แต่ไม่กล้าแสดงออก ขอให้ลองส่งอิโมจิ ‘🤟🏻’ ไปให้คนคนนั้นดูสิ! เพราะที่มาของมันไม่ใช่แค่สัญลักษณ์ที่แปลว่ารัก แต่ยังเป็นการส่งความรู้สึกดีๆ ถึงกันอีกด้วย

‘พื้นที่สาธารณะน้อยลง คนโสดก็ยิ่งเยอะขึ้น’ ดูความสัมพันธ์ที่แปรผันไปกับเมือง

ถ้าคุณเคยดูหนังรอมคอมผ่านตามาบ้าง คิดว่าฉากไหนโรแมนติกมากกว่ากัน ระหว่างดาราสาวสวยระดับโลกมาพบรักกับคนขายหนังสือเดินทางในร้านสถานะใกล้เจ๊งที่ย่านนอตติงฮิลล์ หรือวิศวกรหนุ่มหล่อที่เข้างานกะดึกบังเอิญมาเจอกับสาวออฟฟิศบนรถไฟฟ้าที่แน่นขนัด แม้จะเป็นเรื่องราวความรักที่สวยงามที่สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะด้วยกันทั้งคู่ แต่ฉากหลังของภาพยนตร์สองเรื่องนี้ถ้าเปรียบกันแบบน่ารักๆ ก็เรียกว่าพลิกจากหน้ามือกับหลังมือ เพื่อหาคำตอบว่าทำไมฉากหลังของกรุงเทพฯ  ถึงดูเหมือนจะไม่ค่อยตอบโจทย์คู่รักหรืออบอวลไปด้วยกลิ่นอายโรแมนติกเหมือนในลอนดอนหรือเมืองชั้นนำในหลายประเทศ เราจึงชวน ‘รศ.ดร.พนิต ภู่จินดา’ หัวหน้าภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ‘ไอติม-พริษฐ์ วัชรสินธุ’ มาหาคำตอบร่วมกันว่าปัจจัยอะไรที่จะสร้างความสัมพันธ์อันดีงามให้เกิดขึ้นในเมืองหลวงของเรา และจะมีวันไหนที่กรุงเทพฯ จะกลายเป็นมหานครที่เต็มไปด้วยความโรแมนติกกับเขาบ้าง  จำเลยรัก คนเราจะรักกันได้อย่างไรถ้าไม่เคยเจอหน้ากัน และจะมีความสัมพันธ์กันแบบไหนหากไม่มีพื้นที่สาธารณะ ก่อนจะท่องไปในโลกของความสัมพันธ์อันแสนล้ำลึกอาจารย์พนิตชวนเราก้าวถอยหลังออกมามองบริบทของกรุงเทพฯ เพื่อให้เห็นภาพต่างๆ ได้ชัดเจนมากขึ้น  “เมืองเรามีปัญหาอยู่อย่างหนึ่งคือเป็น Gated Community หรือสังคมล้อมรั้ว มีหมู่บ้านจัดสรรหรือคอนโดมิเนียม ที่ดึงเอาสวนสาธารณะ ลานออกกำลังกาย หรือพื้นที่ที่คนจะมารวมตัวกันเข้าไปอยู่ในพื้นที่ของตัวเอง ทำให้เกิดเป็นชุมชนปิดเพราะมีแต่คนประเภทเดียวกันที่มีราคาบ้านเป็นตัวกำหนด “จะเห็นว่าคนไทยมีคนรักที่อยู่ในสังคมเดียวกันเป็นหลัก เป็นเพื่อนที่เรียนหรือทำงานด้วยกันด้วยกัน เพราะโอกาสที่จะรู้จักกับคนอื่นมีน้อยมาก หากจะเริ่มความสัมพันธ์กับใครคุณจะไปเจอเขาที่ไหน ยิ่งมีพื้นที่ส่วนตัวมากเท่าไหร่ยิ่งทำให้มีคนโสดมากขึ้น” นอกจากสังคมแบบปิดจะทำให้คนรักไม่มีวันได้พบกันแล้ว ยังทำให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ตามมาอย่างคาดไม่ถึงอีกด้วย อาจารย์พนิตบอกว่า สังคมปิดจะทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างชนชั้นชัดเจน และความหลากหลายทางเศรษฐกิจก็จะลดลง เพราะเราเคยชินกับการมีพื้นที่ของตัวเองจนลดการปรับตัวให้เข้ากับคนอื่นลงไป สินค้าทุกอย่างก็จะกลายเป็นแบบเฉพาะกลุ่มมากขึ้น Economy of Scale หรือสินค้าที่ผลิตปริมาณมากเพื่อขายราคาถูกก็จะน้อยลง เศรษฐกิจจะกระจุกตัวอยู่กับคนแต่ละชนชั้นเท่านั้น  เศรษฐกิจสีชมพู ค่าครองชีพที่สูงชะลูดเมื่อเทียบกับรายได้เฉลี่ยอาจจะทำให้ความสัมพันธ์ของใครหลายคนต้องเป็นหมัน […]

หมู่บ้านขี้เหล็กใหญ่ บึงกาฬ จากคำเล่าลูกอีสาน ขาบ สุทธิพงษ์ ผู้พัฒนาชุมชนให้มีชีวิต

บึงกาฬ จังหวัดที่มากไปด้วยธรรมชาติ ซึ่งท่ามกลางแมกไม้นานาพรรณเขียวชอุ่ม ภายใต้ร่มเงาของมันคือพื้นที่ซุกตัวของ หมู่บ้านขี้เหล็กใหญ่ อำเภอโซ่พิสัย ที่เปรียบเสมือนเกาะถูกห้อมล้อมด้วยสายน้ำ ซึ่งรุ่มรวยไปด้วยอัตลักษณ์คนชาติพันธ์ุไทโส้ วิถีชีวิตเรียบ ง่าย งาม และความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติสมกับประโยคที่ว่า “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว”  ไม่เพียงเท่านั้น หมู่บ้านขี้เหล็กใหญ่ จังหวัดบึงกาฬในวันนี้ยังกลายเป็น ‘พิพิธภัณฑ์ชุมชนมีชีวิต จ.บึงกาฬ’ ที่ลูกหลานอย่าง ขาบ-สุทธิพงษ์ สุริยะ ฟู้ดสไตลิสต์แนวหน้าของเมืองไทย หวนกลับมาพัฒนาบ้านเกิดและรากเหง้าบึงกาฬให้มีลมหายใจอีกครั้ง จนพาชุมชนที่เคยไกลปืนเที่ยงแห่งนี้ไปคว้ารางวัลกูร์มองด์ อะวอร์ด (Gourmand Awards) หรือรางวัลออสการ์อาหารโลกซึ่งจัดขึ้นโดยประเทศฝรั่งเศส ธรรมะ-ธรรมชาติ-วัฒนธรรม สามแก่นแท้รากเหง้าบึงกาฬ ขาบเล่าว่า เรื่องธรรมะ จังหวัดบึงกาฬมีพระเกจิอาจารย์ชื่อดังมากมายให้ศรัทธา หากเป็นธรรมชาติคงไม่ต้องอธิบายให้มากความ เพราะบึงกาฬจัดเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีห้วย หนอง คลอง บึง เยอะที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย  ส่วนด้านวัฒนธรรมก็แสนหลากหลายด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ‘ชาติพันธุ์ไทยโส้’ แห่ง ‘หมู่บ้านขี้เหล็กใหญ่’ ที่ภายหลังเพี้ยนมาเป็นไทยโซ่ และถูกตั้งเป็นชื่ออำเภอโซ่พิสัย แปลว่าเมืองของคนโส้ ทั้งสามธรรมนี้จึงกลายเป็นรากเหง้าอันสมบูรณ์พร้อมของบึงกาฬ ซึ่งส่งเสริมให้จังหวัดที่เกิดขึ้นหลังสุดในแผนที่ประเทศไทยรุ่มรวยไปด้วยทุนวัฒนธรรม ขี้เหล็กใหญ่ในกาลก่อน ภาพหมู่บ้านขี้เหล็กใหญ่ในวันที่ขาบยังเป็นเด็ก คือหมู่บ้านที่มีลักษณะภูมิประเทศเป็นดอน อุดมไปด้วยต้นไม้ใหญ่เขียวชอุ่มซึ่งคอยแผ่กิ่งก้านสร้างร่มเงาให้เป็นพื้นที่ซุกตัวสำหรับบ้าน 45 […]

1 25 26 27 28 29 47

SEND YOUR STORY

REQUEST INTERVIEW

ติดตามอ่าน “Urban Creature”
นิตยสารออนไลน์ที่จะทำให้คุณรักเมืองที่คุณอยู่ รักตัวเองมากขึ้นด้วยการเปิดมุมมองและนำเสนอแนวทางการใช้ชีวิตอย่างสร้างสรรค์ และสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ในการใช้ชีวิต
Better Life. Better Living.

Max. file size: 256 MB.