เป็นเวลากว่าล้านปีที่มนุษย์ค่อยๆ วิวัฒนาการสรีระเพื่อรองรับการเดินตัวตรง เหล่าบรรพบุรุษใช้พรสวรรค์ในการเดินทนเดินไกล ขยับขยายอาณาเขตและเอาตัวรอดในสมัยบรรพกาล หรือเรียกได้ว่าเป็นเผ่าพันธุ์นักเดินตัวยง กระทั่งเมื่อลูกหลานของป้าลูซี (Lucy) คิดค้น ‘ล้อ’ ตัวช่วยการเคลื่อนที่แสนสะดวก บทบาทของการเดินเท้าจึงเริ่มถูกคัดทิ้งและลืมเลือน
เมื่อรถยนต์แพร่หลายกลายเป็นพาหนะประจำครัวเรือน การตัดถนนครั้งใหญ่จึงเกิดขึ้นทั่วโลก กรุงรัตนโกสินทร์เองก็เขยื้อนตัวเช่นกัน เริ่มจากการขยายเมือง ถมคลองสร้างถนนรองรับ ‘รถเก๋ง’ แต่ดันลืมนึกถึง ‘คนเดิน’
เวลาผ่านมาเพียงหนึ่งชั่วอายุคน ความนิยมของรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นมหาศาลได้แปรสภาพเมืองหลวงไทยให้กลายเป็น ‘ตัวอย่างของความล้มเหลวทางการจราจร’ ลืมเรื่องการเดินอย่างสบายเท้าบนฟุตพาทไปได้เลย เพราะบางครั้งชาวสยามยังจำเป็นต้องเดินบนถนนขณะรถวิ่ง
การเดินเท้าบนฟุตพาทในกรุงเทพฯ กลายเป็นเรื่องท้าทายอย่างน่าละเหี่ยใจ นอกจากขนาดและสภาพของทางเท้าแบบ ‘Old School’ เก่าพังราวของวินเทจ ระยะทางของแต่ละย่านสำคัญก็ห่างไกลระดับน้องๆ มาราธอน แม้แต่ทางเลือกอย่างจักรยานก็อาจต้องเสี่ยงดวงเบียดบี้กับจักรยานยนต์บนถนน และขาดไม่ได้คืออากาศร้อนราวอบเซานาตลอดกลางวัน จึงไม่แปลกที่รถยนต์ส่วนตัวปรับอากาศเย็นสบายจะติดชาร์ตสิ่งของอันดับหนึ่งที่ใครๆ ล้วนปรารถนา
อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าเศร้ากว่าปัญหาข้างต้นคือ การหารือบนโต๊ะประชุมมักมีเพียงการแก้ปัญหาในบริบทของกรุงเทพฯ และปริมณฑล กลับกันใน ‘จังหวัดอื่นๆ’ กลายเป็นผู้ถูกลืม บางพื้นที่ไม่มีแม้แต่ระบบขนส่งสาธารณะ บีบบังคับให้ทุกบ้านต้องมีรถยนต์หรือจักรยานยนต์เป็นอย่างน้อย ทั้งที่แนวคิด Walkable City ไม่ควรถกเถียงอยู่แค่บริเวณเมืองหลวง เพราะประชากรทุกจังหวัดควรได้รับคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างเท่าเทียม
ทั้งนี้ทั้งนั้น การสร้างเมืองเดินได้ในทุกบริบทย่อมตั้งต้นด้วยการเปลี่ยนวิถีการคมนาคม เริ่มจากรถยนต์ผู้ครองตำแหน่งแชมป์ที่เป็นก้างชิ้นโต ทำให้ผู้สันทัดกรณีเสนอการแก้ปัญหาอย่างกำปั้นทุบดินคือ ‘กำจัดรถยนต์บนท้องถนน’ ไปซะ

เริ่มกำจัดรถยนต์ตัวร้าย สร้างจุดหมายให้คนเดินเท้า
“The safest roads are those that feel the least safe.” (ถนนที่ปลอดภัยที่สุดกลับเป็นถนนที่รู้สึกไม่ปลอดภัยที่สุด) หนึ่งในศัตรูตัวฉกาจของการเดินเท้าคือรถยนต์ เจฟฟ์ สเป็ก (Jeff Speck) ผู้เขียนหนังสือ ‘Walkable City : How Downtown Can Save America, One Step at a Time’ กล่าวถึงการลดทอนความสามารถของรถยนต์และหันมาปกป้องคนเดินเท้าแทน
เจฟฟ์ย้ำถึงปัญหาบนถนนที่รถยนต์สัญจรไปมาอย่างสะดวก เช่น เลนกว้างหรือถนนเลนเดียว กลับยิ่งส่งเสริมให้รถวิ่งด้วยความเร็วสูงขึ้น เขาเสนอว่าควรตัดถนนเลนแคบและถนนเลนสวนแทน ข้อเสนอแนะนี้อาจฟังไม่เข้าหูเหล่าสิงห์นักขับทั้งหลาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การจำกัดความสามารถของรถยนต์ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้คนเดินเท้าได้จริง และการกำหนดเขตพื้นที่ห้ามรถวิ่งยังเป็นอีกหนึ่งไอเดียที่ถูกชูขึ้นมาอีกด้วย
ตัวอย่างเมืองที่จำกัดรถยนต์ได้ดีเพราะเต็มไปด้วยซอยแคบอย่าง ‘เกียวโต’ เปลี่ยนท่าทีของซอกซอยรถยนต์สัญจรลำบากเป็นพื้นที่สำหรับเดินเท้า แทนที่การขยายถนนให้กว้างขึ้นเพื่อรถยนต์ มีการจำกัดไม่ให้รถวิ่งในบางพื้นที่ จนติดอันดับต้นๆ ของโลกในฐานะการเป็นเมืองน่าเดิน
ส่วนหนึ่งไม่ใช่เพียงความปลอดภัย แต่ทิวทัศน์สถาปัตยกรรมเก่าแสนวิจิตรยังช่วยสร้างสุนทรีย์ให้น่าเหลียวมองตลอดทาง สร้างแรงดึงดูดให้คนก้าวเท้าออกย่ำได้ไม่แพ้กัน
อีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญต่อเมืองเดินได้คือ การสร้างจุดหมายให้คนออกนอกบ้าน แน่นอนว่าพื้นที่สาธารณะย่อมเป็นผู้ชูโรง ‘ถนน จัตุรัส สวนสาธารณะ’ อเล็กซ์ การ์วิน (Alex Garvin) นักออกแบบผังเมืองชื่อดัง ชี้ให้เห็นถึงสามสิ่งที่ควรมีในนิยามของ ‘The Great City’ การให้ความสำคัญต่อพื้นที่สาธารณะเหล่านี้สะท้อนถึงแนวคิดการออกแบบ ‘เมืองสำหรับผู้คน’
หนึ่งในตัวอย่างที่ดีของประเทศสเปนคือ ‘พลาซามายอร์ เมืองซาลามังกา’ (Plaza mayor, Salamanca) จัตุรัสที่ทั้งปลอดภัยและเข้าถึงง่าย เปิดรับทุกชนชั้นของการพักผ่อนในวันสบายไปจนถึงกิจกรรมนันทนาการสุดเหวี่ยง หรืออีกหนึ่งตัวอย่างจากประเทศนิวซีแลนด์ที่สนับสนุนให้ผู้คนออกมาทำกิจกรรมร่วมกัน ในสวนสาธารณะหลายแห่งมีพื้นที่สำหรับประกอบอาหารฟรีพร้อมเตาไฟฟ้าให้บริการ หรือสวนพฤกษศาสตร์กลางเมืองสำหรับชมนกชมไม้ก็เป็นอีกทางเลือกสำหรับการเดินผ่อนคลาย
แน่นอนว่าจุดเด่นสำคัญของทั้งสองประเทศอาจไม่ใช่ความน่าสนใจของสถานที่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นความสะดวกในการเข้าถึงที่ง่ายเพียงแค่ก้าวเดินและตั้งอยู่ใกล้ขนส่งมวลชน เพราะในความเป็นจริง ต่อให้บางพื้นที่น่าสนใจแค่ไหน แต่ถ้าทำเลไกลและเดินทางได้เพียงแค่รถยนต์ หลายคนคงไม่อยากเสียทั้งเงินและเวลาเดินทางไปเสี่ยงดวงกับสุขภาพจิตบนท้องถนน
มากไปกว่านั้น การออกแบบ Walkable City ให้ประโยชน์มากกว่าแค่ฟุตพาทแผ่นใหม่ หรือทางเท้ากว้างๆ เรียบๆ เพราะไม่ว่าด้านเศรษฐกิจ สุขภาพ สิ่งแวดล้อม จิตใจ หรือความรัก ก็ต่างได้รับผลประโยชน์จากการเป็นเมืองดีทั้งนั้น

เมืองเดินได้ ทำให้รวย สุขภาพดี และมีความรัก
‘เมืองเดินได้ทำให้คุณรวยขึ้น’ อ่านไม่ผิดหรอก ที่เป็นอย่างนั้นเพราะอย่างน้อยมนุษย์วัยแรกเริ่มทำงานไม่จำเป็นต้องซื้อรถยนต์ เนื่องจากมีเพียงสองเท้าก็พาเราไปที่ทำงานได้ ยิ่งเมื่อรถน้อยลง มลพิษทางอากาศยิ่งเลือนราง พาให้คนเดินสูดอากาศอย่างสบายปอดตามไปด้วย
แต่เมืองจะเดินได้ทั่ว แสดงว่าย่านทำงานต้องไม่กระจุกตัวแต่เชื่อมถึงกัน ส่งผลให้ทำเลทองราคาสูงลิ่วถูกลดทอน ความหลากหลายของแหล่งงานย่อมมากขึ้น ขณะเดียวกัน ราคาที่อยู่อาศัยจะถูกลงด้วยเพราะไม่มีความจำเป็นต้องมีบ้านติดทางด่วนหรืออยู่ใจกลางเมือง ทั้งประหยัดค่าเดินทาง ค่าที่อยู่ มีตัวเลือกของแหล่งงานที่หลากหลาย
จึงไม่น่าแปลกใจที่ยุคหลังมานี้ Walkable City กลายเป็นชุมทองดึงดูดเหล่าหนุ่มสาวจบใหม่ ปักหลักเริ่มต้นสร้างงานสร้างอาชีพในเมืองแห่งการเดิน ซึ่งสุดท้ายเสาจากฟากเศรษฐกิจย่อมได้รับประโยชน์เต็มประตูจากแรงงานหนุ่มสาวเหล่านี้ โดยเฉพาะในยุคสังคมผู้สูงอายุอย่างปัจจุบัน
ทางด้านสุขภาพ แน่นอนว่าการออกเดินย่อมเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงขึ้นมากกว่านั่งคุดคู้ในบ้านไม่มากก็น้อย นอกจากสุขภาพกายแล้ว การเดินวันละนิดยังช่วยกระตุ้นให้สมองหลั่ง ‘สารเอ็นดอร์ฟิน’ (Endorphin) ที่มีฤทธิ์บรรเทาอาการปวด คลายเครียด ลดความวิตกกังวล ลดภาวะซึมเศร้า ทำให้จิตใจผ่อนคลาย สดชื่น อารมณ์ดี และนอนหลับดีขึ้น เหมือนกับการออกกำลังกายอัตโนมัติไปในตัว
ในเมื่อสภาพแวดล้อมของเมืองชวนให้ออกนอกบ้าน แถมจิตใจยังผ่องใส การสร้างความสัมพันธ์ในชุมชนย่อมง่ายต่อการพูดคุย ไปมาหาสู่ สร้างเป็นเครือข่ายสังคมที่แข็งแรง เปิดโอกาสพบเจอคนแปลกหน้าที่อาจพัฒนาเป็นคนสำคัญในอนาคต
บรรยากาศของเมืองที่มีความเฟรนด์ลี ปลอดโปร่งนี้ สามารถพัดพาอารมณ์รักให้แพร่กระจายง่ายขึ้น ภายใต้ความโรแมนติกที่ออกแบบได้ จุดเริ่มต้นเพียงการเดินอย่างสบายกายและใจ ใต้ร่มเงาไม้หรือทิวทัศน์เมืองโดยไร้สิ่งก่อกวน เสริมส่งบทสนทนาระหว่างก้าว เป็นสะพานความสัมพันธ์ที่ยิ่งทำให้การพบกันมีความหมายกว่าเดิม
แม้ในภาพรวมของประเทศไทยจะมีการหารือเรื่องเมืองเดินได้ในอุดมคติมากขึ้น แต่ประเด็นหลักมักอยู่แค่เพียงหัวเมืองใหญ่ ขณะที่บางจังหวัดหรือระดับอำเภอและตำบลเล็กๆ แทบไม่มีทรัพยากรเพียงพอในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน บางอำเภอไม่มีแม้แต่ทางเดินเชื่อมระหว่างหมู่บ้านกับโรงเรียนหรือโรงพยาบาลด้วยซ้ำ เพราะในจังหวัดขนาดเล็ก ‘ปัญหาเมืองเดินไม่ได้’ มักถูกทำให้เป็นปกติ (Normalize) และแปะป้ายด้วยคำว่า ‘ต่างจังหวัด’

เมืองเดินไม่ได้ที่ถูกลืม และความเหลื่อมล้ำในต่างจังหวัด
‘คนยิ่งเยอะปัญหายิ่งมาก’ ไม่แปลกที่หัวเมืองขนาดใหญ่จะอุดมไปด้วยปัญหาน้อยใหญ่มากมายซึ่งต้องการการแก้ไข แต่จังหวัดอื่นๆ ที่ถูกเรียกว่า ‘ต่างจังหวัด’ ย่อมมีปัญหาไม่ต่างกัน
ด้วยจำนวนประชากรเพียงหยิบมือเมื่อเทียบกับเมืองหลวง ทำให้งบประมาณพัฒนาพื้นที่นอนกระจุกตัวอยู่แค่เมืองใหญ่ ขาดสปอตไลต์ทั้งในพื้นที่สื่อหรือสภา อีกทั้งท้องถิ่นในจังหวัดยังขาดศักยภาพในการลงทุนกับโครงสร้างพื้นฐานด้านการเดินเท้า ถนนในหมู่บ้านหลายแห่งเป็นดินลูกรังและไม่มีการจัดระเบียบพื้นที่สาธารณะที่รองรับการเดินอย่างปลอดภัย
จากสภาพแวดล้อมที่บีบบังคับให้ทุกบ้านต้องมีรถ ไม่สี่ล้อก็สองล้อ บวกกับระยะทางแสนไกลกว่าจะเข้าเมือง และระบบขนส่งมวลชนในจังหวัดที่ไม่ทั่วถึงเมื่อเทียบกับกรุงเทพฯ ยิ่งกว่านั้น ในหลายพื้นที่ชนบทการเดินเท้าไม่ใช่ทางเลือกแต่คือความจำเป็น หลายครอบครัวไม่มีพาหนะส่วนตัว ระบบขนส่งสาธารณะบกพร่อง เด็กหลายคนยังต้องเดินไกลไปโรงเรียน ผู้ชราภาพต้องเดินข้ามถนนใหญ่ไปคลินิกชุมชนโดยไม่มีฟุตพาทหรือทางม้าลายให้พึ่งพิง
ยิ่งน่าเศร้าเมื่อรู้ว่าเสียงจากผู้ที่เดินในชีวิตประจำวันมากที่สุดกลับเป็นกลุ่มที่ถูกละเลยมากที่สุด เมืองน่าเดินในความหมายคนกรุงอาจหมายถึงถนนที่สวยงาม คาเฟ่เรียงราย และทางเท้าโล่งสะอาด แต่สำหรับต่างจังหวัด เมืองน่าเดินหมายถึงแค่ ‘ทางเดินที่ปลอดภัย’ เพื่อพาหนึ่งชีวิตให้ไปถึงจุดหมายโดยสวัสดิภาพ
เห็นได้ว่าความเหลื่อมล้ำที่ฝังรากลึกเช่นนี้สะท้อนถึงการพัฒนาเมืองแบบรวมศูนย์ ซึ่งทำให้ความเจริญกระจุกตัว โอกาสการงานหรือการศึกษาคุณภาพจำกัดแค่เพียงเมืองใหญ่ ความแออัดยิ่งก่อสุมให้คุณภาพชีวิตแย่ลง ทำให้การพัฒนาเมืองในแนวคิด Walkable City เป็นไปได้ยากเข้าไปอีก
แต่ในอีกเส้นทางหากเกิดการเปลี่ยนแปลง แนวคิดเมืองเดินได้ย่อมเป็นลีลาใหม่ในการพัฒนาเมืองขนาดเล็กให้อบอุ่น กระจายคุณภาพชีวิตที่ดีให้ท้องถิ่น เพราะเมืองที่เดินได้อย่างแท้จริงควรครอบคลุมถึงเมืองที่ไม่ถูกลืมเข้าไปด้วย

Sources :
Kittelson & Associates, Inc. | bit.ly/4dlLJb8
Phyathai | bit.ly/4jbmf1I
Rice University | bit.ly/3GZXesQ
Smart Cities Dive | bit.ly/4dnsvC1
Smithsonian | bit.ly/4dkh8e6