“ทุกคนพิสูจน์ตัวเองได้ แต่ต้องไม่ใช่เรื่องเพศ เพราะไม่ว่าจะเป็นเพศไหน ทุกคนก็เป็นคนเหมือนกัน ไม่อยากให้น้อยใจว่าฉันเกิดมาเป็นแบบนี้มันติดลบ”
ในวันที่ T-POP กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง ในฐานะ T-POP Stan คนหนึ่ง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าวง ‘4MIX’ ถือเป็นไอดอลวงแรกๆ ของยุคนี้ที่เป็นคนจุดประกายความหวังของเราขึ้นอีกครั้ง ทั้งยังดังไกลติดตลาดจนมีแฟนคลับจำนวนมากจากฝั่งลาตินอเมริกา
ความน่าสนใจของ 4MIX ไม่ใช่แค่วงไอดอลมากความสามารถที่มีเพลงติดหูคนไทยตั้งแต่เพลงแรกที่เดบิวต์สเตจและครองใจใครต่อใครด้วยความเป็นตัวเอง แต่หนึ่งในสมาชิกอย่าง ‘นินจา-จารุกิตต์ คําหงษา’ ก็ยังเป็นคนในคอมมูนิตี้ LGBTQ+ ที่พยายามผลักดันเรื่องความหลากหลายและความเท่าเทียมมาโดยตลอด
ก่อนส่งท้าย Pride Month เราได้นัดหมายพูดคุยกับ ‘นินจา 4MIX’ ถึงตัวตนของศิลปินคนนี้ ผ่านเรื่องเล่าชีวิตวัยเด็ก เส้นทางศิลปินในปัจจุบัน รวมไปถึงการค้นหาความหวังในอนาคตผ่านบทสัมภาษณ์คอลัมน์ Think Thought Thought
ก่อนจะมาเป็นนินจาในวันนี้ ชีวิตวัยเด็กของคุณเป็นอย่างไร
นินเป็นเด็กบ้านนอกมาก แบบที่ไม่ใช่แค่อยู่ต่างจังหวัดแต่มันคือต่างอำเภอและอยู่นอกตัวอำเภอออกไปอีก แต่ดีหน่อยที่มีคุณแม่เป็นคุณครู เลยค่อนข้างมีโอกาสมากกว่าหลายๆ คนในหมู่บ้าน เพราะเวลามีงานต่างๆ ในโรงเรียน แม่ที่เป็นครูจะเอาลูกตัวเองไปเต้นไปรำ
จากสิ่งนี้ทำให้เราซึมซับมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นเด็กที่ขับเคลื่อนด้วยกิจกรรมล้วนๆ อย่างตอนที่เราสอบติดโรงเรียนประจำอำเภอ 2 โรงเรียนพร้อมกัน โรงเรียนหนึ่งเป็นเลิศด้านวิชาการกับอีกโรงเรียนที่เน้นกิจกรรม สุดท้ายนินเลือกโรงเรียนหลังเพราะอยากเป็นลีดฯ (หัวเราะ)
ตั้งแต่เด็กเรามีความฝันเดียวคืออยากเป็นศิลปิน ตอนนั้นคิดแค่ว่าต้องทำยังไงถึงเข้ามาอยู่ในวงการบันเทิงได้ เลยเริ่มต้นจากเต้นคัฟเวอร์ตอนประมาณ ม.6 จากนั้นพอเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพก็เจอรุ่นพี่ที่เป็นเจ้าของทีมเต้นที่แข่งเต้นสตรีท เต้นคัฟเวอร์ จนสุดท้ายเราได้ไปเป็นแดนเซอร์ในคอนเสิร์ตต่างๆ
ตอนนั้นครอบครัวและคนรอบตัวสนับสนุนตัวตนและความชอบของเราไหม
คิดว่าแม่รู้แหละว่านินเป็นอะไร แค่ไม่ได้คุยเรื่องนี้อย่างจริงๆ จังๆ จะมีพ่อที่เราเข้าใจว่าสนับสนุนเรามาตลอด เพราะเวลาไปแข่งอะไรเขาจะเป็นคนขับรถพาไปและตามไปดู แต่มีบางจังหวะที่เขาพยายามพูดว่า เราต้องมีแฟนเป็นผู้หญิงนะ แต่หลังๆ เขาก็ไม่ได้พูดอะไรแบบนี้แล้ว
ส่วนสังคมโรงเรียนนินว่ามันแล้วแต่ช่วงเลย ถ้าเป็นตอนที่เด็กมากๆ เราจะโดนล้อว่าอีกะเทยบ้าง แต่ความพิเศษของนินคือเราเรียนโรงเรียนที่แม่ตัวเองเป็นครู เลยไม่กล้ามีใครมาทำอะไรเรามาก
ส่วนใหญ่โดนจากฝั่งญาติมากกว่าที่ชอบมาล้อว่าเราเป็นตุ๊ดบ้าง เดินบิดก้นบ้าง เราจะไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แต่พอโตมาเขาค่อยๆ ปรับตัวมากขึ้น บวกกับเราที่เข้มแข็งขึ้นเลยไม่ได้สนใจอะไรพวกนี้แล้ว
หลังจากกลายมาเป็นนินจา 4MIX ชีวิตของคุณเปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้าง
ถ้ามองจากภายนอกแน่นอนว่ามันต้องเปลี่ยนไปอยู่แล้ว ทั้งเรื่องมีชื่อเสียง มีคนรู้จักมากขึ้น เจอสังคมอื่นๆ เจอผู้คนใหม่ๆ เหมือนอย่างที่บอกไปว่าเราอยากเป็นศิลปินมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นสิ่งที่เปลี่ยนไปเลยคือการที่เราก้าวเข้ามาอยู่ในจุดที่เราฝันมาโดยตลอด
แต่ถ้าถามว่าข้างในตัวเราต่างไปจากเดิมไหม ในตอนนี้รู้สึกว่าไม่แตกต่าง นินก็เป็นนินคนเดิม วางตัวทุกอย่างเหมือนเดิม ตั้งแต่ตอนที่เดบิวต์ใหม่ๆ เราบอกทุกคนตลอดว่าเราไม่ใช่คนคลีนนะ เราก็เที่ยวก็เปรี้ยวเหมือนคนทั่วไป
เราจึงอยากบอกทุกคนว่า หลังจากนี้อยากให้มองว่าศิลปินก็คือคนคนหนึ่ง อย่างนินเองก็มีทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดีปะปนกันไป
แล้วคุณเป็นตัวเองได้เต็มที่จริงๆ เหรอ เมื่อทำอาชีพศิลปินที่มีคนจับตามอง
นินเป็นตัวเองได้ 100 เปอร์เซ็นต์ พร้อม Represent ความเป็นตัวเองแบบเต็มที่อยู่แล้ว เพราะนินรู้สึกว่าถ้าคนจะรักเราก็อยากให้รักที่เราเป็นเราแบบนี้จริงๆ
ที่ผ่านมานินผ่านการประกวดมาเยอะ ไม่ว่าจะเป็นเดอะสตาร์ เอเอฟ หรืออะไรก็ตาม นินพยายามแอ๊บแมนมาตลอด เพราะเข้าใจว่าสังคมยังไม่เปิด แต่พอนึกย้อนกลับไปดีๆ เราพบว่าทุกครั้งที่ประสบความสำเร็จคือครั้งที่เราเป็นตัวของตัวเอง
ในช่วงแรกที่มาเป็น 4MIX ก็มีความคิดที่จะแอ๊บแมนเหมือนกัน แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าเราจะเป็นตัวเอง ซึ่งในตอนนั้นผู้ใหญ่เขาค่อนข้างเปิด บวกกับเจอสมาชิกในวงที่ทุกคนไม่ได้ปิดกั้น มันเลยทำให้เราสบายใจมากๆ
ช่วงแรกๆ ก็มีคอมเมนต์ทำนองว่า ทำไมไม่แอ๊บเลย ทำไมถึงเปิด รู้ไหมว่าบอยแบนด์มันอยู่ได้ด้วยแฟนคลับนะ ถ้าไม่แอ๊บแมนเดี๋ยวก็ไม่มีแฟนคลับหรอก แต่นินรู้สึกว่าสังคมแปลกดีเหมือนกัน อย่างช่วงก่อนปล่อยเพลงแรก ใน YouTube คอมเมนต์ส่วนใหญ่จะเป็นการชื่นชม แตกต่างจาก TikTok อย่างสิ้นเชิง แต่เราจะออกแนวขำมากกว่า อาศัยวิธีไม่สนใจไปเลย จนพอมาเป็นเพลง ‘Y U COMEBACK’ ที่กระแสดี คอมเมนต์ลบๆ ก็หายไปเยอะ
โดยทั่วไปสื่อมักเรียก 4MIX ว่า LGBTQ+ แบนด์ แต่สำหรับคุณเอง อยากให้ทุกคนเรียก 4MIX ว่าอะไร
ก่อนหน้านี้นินอาจจะเฉยๆ กับคำนี้ รู้สึกว่าเรียกก็ได้ ไม่เรียกก็ได้ แต่ถ้าในตอนนี้ จากที่มีการคุยกันหรือแม้กระทั่งตัวนินเอง นินรู้สึกว่าไม่ค่อยอยากให้เรียกแบบนั้นเท่าไหร่แล้ว
เรารู้สึกว่ามันเลยจุดตรงนั้นมาแล้ว ตอนนี้อยากให้ทุกคนโฟกัสที่ 4MIX เป็น 4MIX โฟกัสที่คน โฟกัสที่ศักยภาพ เพราะถึงจะไม่เรียกว่า LGBTQ+ แบนด์ คนก็รู้อยู่ดีว่านินเป็น LGBTQ+ พอคนไปโฟกัสที่คำว่า LGBTQ+ มากๆ มันเหมือนเราเอาเพศมาหากิน
ไม่อยากให้มองว่าเพราะฉันเป็นเพศนี้แล้วฉันจึงทำได้ดีกว่าคนอื่น อยากให้มองว่าฉันคือคนคนหนึ่งที่ทำได้ดี แค่พื้นฐานฉันเป็นคนเพศนี้มากกว่า ให้ดูที่คนเป็นคน ไม่ใช่ที่เพศสภาพ
แล้วในฐานะของ LGBTQ+ ในวงการบันเทิง คุณมีเรื่องไหนที่อยาก Speak Up เป็นพิเศษไหม
ถ้าเรื่องของการรักตัวเองหรือการแต่งตัว นินว่านินอาจพูดเยอะแล้ว นินเลยอยากใช้โอกาสนี้บอกกับคนที่เป็น LGBTQ+ หรือใครก็ตามในโลกนี้เกี่ยวกับเรื่องการ ‘พิสูจน์ตัวเอง’ มากกว่า
นินอยากบอกทุกคนว่า เราไม่จำเป็นต้องไปพิสูจน์ตัวเองเพื่อใครเพียงเพราะเพศสภาพเราไม่ตรงกับเพศกำเนิด นินเห็นหลายครั้งที่ผู้เข้าแข่งขันเวทีประกวดนางงามสำหรับ LGBTQ+ จะชอบบอกว่าต้องการพิสูจน์ตัวเองให้ครอบครัวเห็น ให้สังคมเห็น เรารู้สึกว่ายิ่งพูดไปมันยิ่งเหมือนไปตอกย้ำตัวเอง
ทุกคนพิสูจน์ตัวเองได้ แต่ต้องไม่ใช่เรื่องเพศ เพราะไม่ว่าจะเป็นเพศไหน ทุกคนก็เป็นคนเหมือนกัน ไม่อยากให้น้อยใจว่าฉันเกิดมาเป็นแบบนี้มันติดลบ แค่คิดว่าจะดำเนินชีวิตยังไงต่อไปดีกว่า
ในอนาคต คุณอยากเห็นสังคมไทยเปลี่ยนแปลงทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องเพศไปในทิศทางไหน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเราอยู่ในจุดที่ค่อนข้างมีคนเข้าใจแล้วพอสมควรหรือเปล่า นินจึงรู้สึกว่าสังคมไทยเปิดขึ้นกว่าแต่ก่อนมากๆ แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าจะมีผู้ใหญ่บางคนที่เขาอาจไม่เข้าใจบ้าง แต่ถ้าทุกคนออกมาพูดถึงกันเรื่อยๆ Keep Going ต่อไป อนาคตจะดีขึ้นเรื่อยๆ เอง
กลับเป็นฝั่งกฎหมายมากกว่าที่นินมองว่าอยากให้เปิดมากกว่านี้ ซึ่งตอนนี้เรากำลังจะได้รัฐบาลใหม่ อะไรๆ มันอาจดีขึ้นก็ได้ นินเคยได้ยินคนที่บอกว่า คนรักกันแค่เรื่องความรักก็พอแล้วไหม แค่คนสองคนรักกันอยู่ด้วยกัน จะเอากฎหมายไปเพื่ออะไร แต่สำหรับนิน คำว่าคู่ชีวิตไม่ใช่แค่เรื่องคู่ แต่เป็นเรื่องของชีวิต ถ้าทุกชีวิตต้องใช้ชีวิตร่วมกันในสังคม โดยสังคมนั้นมีกฎหมายครอบไว้ กฎหมายนั้นก็ควรต้องซัพพอร์ตทุกชีวิตให้ได้อย่างเท่าเทียมกัน