“ขอให้พระภิกษุโปรดจดจำว่าข้าพเจ้าคือคฤหัสถ์ ขอให้พระภิกษุโปรดจดจำไว้ว่าข้าพเจ้าคือคอมมิวนิสต์”
ประโยคส่งท้ายการลาสิกขาของอดีตสามเณรโฟล์ค เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายนที่ผ่านมาสร้างความงุนงงให้เราไม่น้อย
ขณะที่กระแสสังคมส่วนใหญ่กำลังต่อสู้เรียกร้องเพื่อ ‘ประชาธิปไตย’ (จะมีคำสร้อยห้อยท้ายว่า “อันมีพระ…” หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณเป็นทีมกี่ข้อ)
แต่นักกิจกรรมวัย 21 ปีผู้นี้ประกาศตนว่าเขาเป็น ‘คอมมิวนิสต์’
จะเรียกว่าเป็นความกล้าหาญคงไม่ผิด
แต่ในมุมมองของเรา สัดส่วนที่มากกว่าคงเป็นความบ้าบิ่น
ในเมื่อสังคมไทยยังคงถูก ‘ผีคอมมิวนิสต์’ หลอกหลอนอยู่ และยังไม่ลืมกันใช่ไหมว่าเพิ่งสี่สิบกว่าปีที่แล้วเองที่พระสงฆ์รูปหนึ่งเปล่งวจีกรรมว่า “ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป”
เพราะเช่นนี้ เราจึงหอบหิ้วความสงสัยไปคุยกับอดีตเณรโฟล์ค ผู้บัดนี้ละผ้าเหลือง ไม่ใช่สามเณรใต้ร่มกาสาวพัสตร์ แต่เป็น ‘สหรัฐ สุขคำหล้า’ คอมมิวนิสต์ผู้เชื่อมั่นว่าแนวทางแบบ Buddhist Marxism จะช่วยให้ประชาชนไม่ว่าศาสนาใดพ้นทุกข์อันเกิดจากความไม่เท่าเทียม
อัปเดตชีวิตก่อนดีกว่า หลังจากสึกมาได้ประมาณสิบวัน คุณเป็นอย่างไรบ้าง
ประเด็นแรกเลยซึ่งเป็นเรื่องแซวกันเล่นๆ ในหมู่เพื่อนผม คือการใส่กางเกงในครั้งแรกมันรู้สึกแปลกมาก เพราะมันอึดอัด และผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องใหม่มากสำหรับผม
เดี๋ยวนะ ปกติพระไม่ใส่กางเกงในกันจริงๆ เหรอ
ไม่ใส่ครับ ไม่ใส่ มันจะโล่งๆ สบายๆ ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ก็เลยแก้ปัญหาตัวเองโดยซื้อบ็อกเซอร์กับกางเกงในรัดรูปมาสองแบบ
ประสบการณ์ซื้อกางเกงในครั้งแรกเป็นอย่างไร
ผมเรียกคนขายว่าโยม (หัวเราะ) ผมบวชมา 9 ปี แล้วติดคำสรรพนามแบบนี้ ผมไปซื้อของ ขึ้นแท็กซี่ ก็เรียกเขาว่าโยม
ผมรู้สึกว่าภาวะใหม่ไม่เหมือนที่เราคาดไว้บางอย่าง มันไม่ได้เปลี่ยนไปเยอะ คนรอบตัวผมก็ยังไม่คุ้นชิน เขาบอกว่าผมเป็นมัคนายก เป็นผู้นำพิธีที่ให้ศีลให้พร คือมองว่าผมยังเป็นพระอยู่
แล้วคนรอบข้างมีปฏิกิริยายังไงเวลาคุณไปเรียกเขาว่าโยม
เขาก็ตกใจ อุ้ย อะไรนะ ทำไมแทนตัวเองแบบนี้ อย่างคนขับแท็กซี่ก็ถาม ผมก็บอกว่าเพิ่งสึกมานะครับ บวชมา 9 ปี เขาก็หัวเราะแล้วบอกผมว่า เออ เดี๋ยวก็ปรับตัวได้นะ
แต่ในชนบทจะมีคนรู้จักกันอยู่แล้ว เขาก็ชวนไปกินข้าว ชวนไปเที่ยวที่เราไม่เคยไป เช่น ไปนั่งก๊งเหล้า แล้วผมดื่มแต่น้ำ คนอื่นก็แปลกใจทำไมดื่มแต่น้ำ (หัวเราะ) ผมไม่ดื่มเหล้า เพราะดื่มไม่เป็น ยังไม่เคย
เดี๋ยวคุณคงได้มีประสบการณ์ใหม่ๆ อีกมาก นี่ไม่แน่ใจว่าถามเร็วไปไหม แต่มีอะไรที่ตลอดการบวชเรียนมาคุณไม่เคยรู้เลย แล้วเพิ่งมารู้ทีหลังไหม
เรื่องหนึ่งที่พีกมากคือผมเพิ่งขับมอเตอร์ไซค์เองครั้งแรก ผมไม่รู้ว่าต้องขับเลนไหน แล้วผมขับเลนขวา (หัวเราะ) แล้วที่มันโคตรเป็น Bad Joke เลยก็คือว่า ช่วงก่อนมากรุงเทพฯ 1 วัน เวลาประมาณ 1 ทุ่ม ผมขับรถมอเตอร์ไซค์ไปเก็บของที่วัด ด้วยบ้านผมอยู่ชนบทตะเข็บชายแดน ไม่มีไฟถนน ซึ่งถนนก็เป็นหลุม ผมขับรถมอเตอร์ไซค์ความเร็วประมาณแค่สามสิบ ลงหลุมทีเดียว เป็นแผลยาวเลย ก่อนหน้านี้เดินไม่ได้ แต่ตอนนี้เริ่มเดินได้แล้ว
หรือสิ่งที่ผมพยายามคุ้นชินที่สุดในช่วงนี้คือ ก่อนจะสึกมีคนทักมาถาม แสดงความเป็นห่วงเยอะมาก แต่พอสึกปุ๊บ บริบทการสนทนาเปลี่ยนไป จากที่เราเป็นพระ เขาเป็นโยม ก็จะมีความเคารพอยู่ แต่พอเราเป็นฆราวาสแล้ว เขาแซวเราหนักขึ้น แอ๊วเราหนักขึ้น ผมก็ทำตัวไม่ถูก (หัวเราะเขิน) ผมเข้าใจว่ายุคนี้ผู้หญิงเริ่มจีบผู้ชายก่อน แต่พอมาเจอด้วยตัวเองจริงๆ ผมรู้สึกว่าผมเป็นคอนเซอร์เวทีฟมากๆ ไม่พร้อมให้ผู้หญิงเข้ามาจีบ (เขิน)
เฮ้ย ฮอตไม่เบานะคุณ
ผมว่าเขาอยากฝ่าฝืน Taboo หรือข้อห้ามของสังคม เพราะเขาอยากทำตั้งแต่ผมเป็นพระเป็นเณรแล้วมั้ง แต่ไม่มีใครใจกล้าพอ แต่นี่พรั่งพรูออกมาเลย
เหมือนการสึกเป็นการเปิดประตู
ใช่ครับ เอฟเฟกต์นี้คงเกิดขึ้นอีกเดือนสองเดือนแล้วหายไป ผมพยายามทำใจอยู่
เห็นในข่าวบอกว่า อย่างแรกที่คุณทำหลังสึกเสร็จคือไปทำบัตรประชาชน ใช่บัตรประชาชนใบแรกของคุณหรือเปล่า
ตอนแรกเป็นบัตรประชาชนพระ ที่มีคำสรรพนามนำหน้าว่าสามเณร ช่วงก่อนผมรู้สึกว่าไม่ได้ใช้บัตรประชาชนมากนัก เพราะพระใช้ใบสุทธิ ซึ่งผมเพิ่งนึกได้ว่า ในตอนนั้นรัฐไม่มีทางรู้ว่าผมอยู่วัดไหน ทำอะไร เพราะใบสุทธิไม่มี QR Code และเลข 13 หลัก แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่ารัฐแทร็กผมได้ง่ายมาก ถ้าตามเลข 13 หลักผมได้ ก็ได้เบอร์โทรศัพท์ หรือถ้าได้เบอร์โทรศัพท์ ก็ตามเลข 13 หลักผมได้ ซึ่งตอนนี้รู้สึกว่า ความอันตรายหรือการควบคุมของรัฐได้เข้าใกล้มากขึ้น รัฐคุกคามความเป็นส่วนตัวเราได้ง่ายขึ้น
คุณคิดว่าตอนนี้มีคนสอดส่องคุณมากเป็นพิเศษไหม
มันเป็นแสงประภาคารนะ คือเวลาเรากำแหงต่อรัฐ หรือพูดในสิ่งที่รัฐไม่อยากฟัง แสงประภาคารจะส่องมาหาเรา แล้วมันเด่นชัดขึ้นว่ามีคนตามเราอยู่ อย่างเช่นมี IO เข้ามาคุกคามในแอ็กเคานต์ออนไลน์ของเรา
แล้วในชีวิตจริงมีคนตามแทร็กคุณไหม
ผมคิดว่าหลังจากสึกค่อนข้างเพลาลงนะครับ ตอนที่บวชก็ยังมีสันติบาล มีสำนักงานพระพุทธศาสนาไปตามที่บ้านผมว่าเราเป็นใคร ไปหาอาจารย์ผมว่าทำไมตัวผมถึงคิดแบบนี้ ทำไมส่งผมเรียนที่ ม.มหิดล มีไปถามหรือคุกคามแบบนี้เยอะมาก แต่ช่วงหลังๆ ผมไม่ได้เข้าแสงประภาคารเยอะ ไม่ได้ไปปราศรัย ส่วนมากจะมีงานเขียนหรืองานสัมภาษณ์ที่ออกมาในเว็บเพจมากกว่า เขาก็เลยไม่ตามเยอะ
คุณเองเป็นคนหนึ่งที่โดนคดี ม.112 ซึ่งไม่แน่ว่าก่อนหน้า ตอนคุณยังห่มผ้าเหลือง เขาอาจมีความเกรงใจ แล้วใช้กลไกของสำนักพุทธฯ กดดันทางอื่น แต่ตอนนี้ที่คุณลาสิกขามาแล้ว คุณคิดว่าการสอดส่องจะรุนแรงขึ้นไหม
ผมมองว่าโทษ 3 – 15 ปีรุนแรงในตัวมันเองอยู่แล้ว ผมไม่ควรรู้สึกปลอดภัยเพราะผมเป็นพระ เขาคงไม่กล้าทำอะไรเพราะเดี๋ยวข่าวจะออกมาแรง ผมคิดว่าไม่ใช่ เขาไม่ได้มองเราเป็นพระตั้งแต่เรามีสำนึกพลเมืองหรือการตื่นรู้ทางชนชั้น เขามองเราเป็นศัตรูด้วยซ้ำคุณ เราแค่เรียกร้องการปฏิรูป แต่เขาบอกว่ามันคือการล้มล้างการปกครอง ซึ่งทำให้เราเห็นว่า จริงๆ แล้วเราไม่ควรคุ้นชิน และคิดว่ามันไม่รุนแรง ทั้งที่เพื่อนๆ ผมน่าจะติดคุกมาร้อยวันแล้ว ภาวะแบบนี้ไม่ควรเป็นภาวะปกติในสังคม คนเป็นกลางที่ปล่อยให้มีการใช้อำนาจแบบนี้กับเพื่อนผม ต้องตระหนักคิดได้แล้วว่า มันไม่ใช่เกมการเมืองธรรมดา
แล้วเลเวลความกลัวของคุณแตกต่างกันไหมระหว่างตอนเป็นพระและหลังสึก
ผมคิดว่าตอนที่ความกลัวมันซ่านไปทั้งตัวคือช่วงที่ผมโดนแจ้งข้อกล่าวหา ม.112 แรกๆ มากกว่า มันเป็นภาวะใหม่ที่เพิ่งเคยโดน แต่พอนานๆ ไป สิ่งที่เยียวยาจิตใจได้คือมีมวลชนหรือคนที่พร้อมจะสนับสนุนผมมากมาย อย่างที่ผมกลับบ้านไปก็ยังมีคนที่ชวนไปกินข้าว คนที่เป็นญาติห่างๆ หรือกระทั่งเพื่อนข้างบ้าน ทำให้เราได้รู้ว่า จริงๆ มีคนพร้อมสนับสนุนและรอการเปลี่ยนแปลงบางอย่างอยู่ แต่แค่ยังไม่มีจุดตัดทางประวัติศาสตร์ เช่น การเลือกตั้ง หรือการทำประชามติ คนเหล่านี้จึงไม่มีสิทธิ์ได้เลือกหรือได้ตัดสิน
อัปเดตเรื่องการดำเนินคดี ม.112 หน่อยได้ไหมว่าอยู่ในขั้นตอนไหนแล้ว และมีแพลนจะต่อสู้ต่อไปอย่างไร
ตอนนี้อยู่ชั้นอัยการครับ ยังเลื่อนฟ้องไปเรื่อยๆ ยังไม่สั่งนัดฟ้องหรือไต่สวนในชั้นศาล วันที่ 25 พฤศจิกายนก็จะไปรายงานตัวเป็นรอบที่สี่
ผมคิดว่าเปอร์เซ็นต์ชนะมันมีอยู่ แต่กระบวนการต่อสู้ในศาลใช้เวลาประมาณ 5 ปีถึงจะหลุดคดีความ ซึ่งทำให้การใช้ชีวิตเรายากขึ้น แต่ผมมั่นใจ อันนี้คิดอย่างชนชั้นกลางมากเลยนะครับ ถ้าการเลือกตั้งครั้งหน้าเปลี่ยนขั้วทางการเมืองได้ ผมว่าเรื่องขี้ปะติ๋วแค่นี้จะหลุดได้ง่ายๆ
ใช้คำว่าขี้ปะติ๋วเลย
ผมรู้สึกว่าเราควรมาเถียงกันเรื่องใหม่ เช่น การปฏิรูปที่ดิน ให้คนจนสร้างรายได้ได้ อย่างเพื่อนผมที่อยู่ต่างจังหวัดเขาใช้ชีวิตวันต่อวันเลยนะคุณ เขาต้องทำงานให้ได้วันละสามร้อยบาท เพื่อเอามาเลี้ยงครอบครัว แล้วที่ดินที่เขาทำงานอยู่ก็เป็นที่ดิน ส.ป.ก. ที่ดินเช่าป่า ทั้งที่รุ่นปู่ย่าตายายเขาหากินตรงนี้ ทำไมเขาต้องตกเป็นผู้มีสถานะทางสังคมเป็นรอง เพียงเพราะว่าเขาไม่ได้เป็นคนเขียนกฎหมาย หรือว่ากฎหมายเพิ่งมาเปลี่ยนภายหลัง เขาต้องไปเช่า ส.ป.ก. เพราะว่าอาจถูกข้อหาบุกรุกพื้นที่ป่า ซึ่งโทษมันแรงมากถึง 15 ปี
แสดงว่าคุณพร้อมที่จะเคลื่อนไหวต่อแล้ว
ตอนนี้ผมรู้สึกว่าพร้อม แต่ก็มีเสียงหนึ่งของยาย ตอนที่เรานั่งทานข้าวกัน ยายบอกผมว่า อยากให้ผมจบปริญญาก่อน เพราะผมจะเป็นคนแรกของครอบครัวที่ได้รับใบปริญญา ผมเลยคิดว่าถ้าทำภารกิจนี้เสร็จแล้ว ซึ่งตอนนี้เหลือประมาณ 5 – 6 เดือน ผมจะเคลื่อนไหวต่อ
แต่จริงๆ ผมก็ยังเคลื่อนไหวอยู่ตลอดนะ แม้จะมีช่วงหนึ่งที่ไม่ได้ไปม็อบเลย แต่ก็เขียนคำปราศรัยเขียนกลอนให้อยู่ตลอด แค่ไม่ได้ออกไปอยู่เบื้องหน้าเหมือนเพื่อน
ทำไมคุณถึงไม่ออกหน้าแล้วล่ะ
มีตำรวจ 7 คนมาบุกจับผมที่วัด ผมนึกว่าตัวเองจะถูกอุ้มหายหรือเกิดอะไรสักอย่างหนึ่ง เพราะประเด็นของวันเฉลิมเพิ่งเกิดขึ้น ตอนนั้นผมคิดฟุ้งซ่านมาก ต้องหนีไปหลบซ่อนตัวอยู่เป็นเดือน
พอจะเล่าให้ฟังได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น
คือจากการที่ผมไปร่วมชุมนุม สำนักงานพระพุทธศาสนาออกมากำชับผมว่าห้ามออกสื่ออีก และเขาให้พระวินยาธิการ ซึ่งเป็นเหมือนพระตำรวจคอยสอดส่องดูแลพระในวัดทั้งหมดในเขตนั้นๆ คอยตรวจตราว่าอย่าให้มีสามเณรชื่อ สหรัฐ สุขคำหล้า อยู่ในวัดนะ หากมีให้แจ้งต่อสำนักงานพระพุทธศาสนาหรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
แล้วสิ่งที่พีกเลยก็คือว่า พระอาจารย์ที่เป็นเลขาวัดผมไปแจ้งความ และบอกสำนักงานพระพุทธศาสนาว่าผมอยู่ที่นี่ ซึ่งสมัยก่อนเราไหว้เขาทุกวัน เราทำงานให้เขาทุกครั้ง แต่เขาเป็นคนเรียกตำรวจ 7 คน กับสำนักงานพระพุทธศาสนาเข้ามาในวัดเพื่อจับผมสึก เพราะเขาอยากได้ตำแหน่ง ที่เรียกว่าเจ้าคุณ พระครู หรือสมเด็จ ซึ่งเป็นตำแหน่งของรัฐที่มอบให้กับสงฆ์หรือว่ากษัตริย์มอบให้กับพระสงฆ์ เป็นเหมือนการเอาใจ
ผมได้ข้อสรุปหนึ่งว่า เผด็จการอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีคนอย่างเราๆ หรือคนตัวเล็กๆ ร่วมมือ เพียงเพราะหวังประโยชน์สิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งเล็กน้อยมากๆ เล็กน้อยกว่าความเป็นมนุษย์ของผม มันพีกมากๆ
พีกที่คนตัวเล็กๆ ที่ว่านั้นเป็นพระด้วย
ใช่ครับ ช็อกมาก แล้วเขาสอนเรื่องความดี พูดถึงสภาวะจิตใจที่คนธรรมดาเข้าไม่ถึง เหมือนกับตัวเองเป็นคนวิเศษวิโสมากๆ ทั้งที่เป็นคนเหมือนเรา ขี้เหม็นเหมือนกัน แล้วจะพรากความเป็นคนจากคนอื่นได้อย่างไร ซึ่งผิดหลักศาสนาที่ตัวเองสอนมากๆ แสดงว่าการเป็นพระมันต่างจากคนธรรมดาแค่เครื่องแบบที่ใส่ใช่ไหม เราควรจะยอมรับได้แล้วหรือยังว่าพระเป็นอาชีพหนึ่งที่หากินกับความเชื่อ หรือเป็นไลฟ์โค้ชที่หากินกับคำสอนพระพุทธเจ้าหรือเปล่า
ตอนที่ซ่อนตัวคุณทำอะไรบ้าง
สิ่งหนึ่งที่เยียวยาผมได้ก็คือการนั่งทำสมาธิครับ ไม่ใช่แค่นั่งทำสมาธิแบบหายใจเข้าหายใจออกอย่างเดียวนะ แต่สังเกตปัจจุบัน อยู่กับตัวเอง โดยไม่คิดถึงอดีตที่ผ่านมาหรืออนาคตที่ยังไม่มาถึง สังเกตแค่ลมหายใจก็พอแล้ว พุทธศาสนาให้ผมเยอะมากในเรื่องนี้
หลังเหตุการณ์นั้นผมเลยรู้สึกว่าการสู้บนท้องถนนไม่ใช่ทางเดียวที่เราสู้ได้ แต่ยังมีหลายๆ ทาง แม้เราไม่ได้ออกไปสู้แนวหน้า แต่ประเด็นเรื่องพระสงฆ์ถูกประกาศออกไปแล้วว่าสถาบันนี้ล้มละลายไปแล้ว มันไม่เหลือความชอบธรรม หรือมีความหมายอะไรต่อประชาชน นอกจากเป็นวันสำคัญอย่างวันลอยกระทง วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา หรือเป็นที่ที่ผู้คนมานัดเจอกันหลังมีงานขาวดำ (งานมงคลและอวมงคล)
อย่างที่คุณบอกว่าประเด็นถูกประกาศออกไปแล้ว แล้วหลังจากนี้คุณจะเคลื่อนไหวเกี่ยวกับศาสนาอยู่ไหม
หลังจากที่สึก ผมประกาศตัวว่าเป็นคอมมิวนิสต์ เพราะมองว่าความเป็น Physical (กายภาพ) กับความเป็น Spiritual (จิตวิญญาณ) มันซัปพอร์ตกันอยู่ คุณจะไม่มีทางเข้าใจศาสนาได้เลย หากปัจจัย 4 ของคุณยังขาดอยู่ หากคุณยังหาเช้ากินค่ำ ศาสนาจะกลายเป็นยาฝิ่นทันที คือคุณแค่ชอบ Value (คุณค่า) หนึ่งหรือธรรมเนียมหนึ่ง แต่มันไม่ใช่ทั้งหมดของแก่นแท้ในพระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าสอนเรื่องอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา
ซึ่งยังเถียงกันอยู่เลยว่าอันไหนคือความจริง บางสายก็เน้นภาวะนิพพาน บางสายก็เน้นการมีส่วนร่วมในการทำบุญตักบาตรพระแสนรูป คือคนจะไปยึดแค่ Value บางอย่างเท่านั้นเอง เราจะทำให้ด้านกายภาพกับด้านจิตใจไปเท่ากันได้อย่างไร ถ้าไม่แก้ปัญหาเรื่องปากท้อง ซึ่งจะทำให้คนมีเวลาเยอะขึ้นเพื่อมาอ่านหนังสือหรือเข้าใจธรรมะ ดังนั้นเราจะไม่มีทางแก้เรื่องศาสนาได้เลย
ทำไมคุณถึงมีสำนึกทางการเมืองแบบคอมมิวนิสต์ขึ้นมาได้
ด้วยการเรียบเรียงทางประวัติศาสตร์และพื้นเพของผม ได้สร้างสำนึกทางการเมืองของตัวเอง การบวชทำให้ผมเสียเสรีภาพบางอย่าง แต่ผมก็ได้เห็นอะไรบางอย่าง อย่างเช่นความเหลื่อมล้ำทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง หรือการศึกษา ที่มันเกิดขึ้นในสังคมของเรา แค่การบิณฑบาต ผมไม่ได้กินข้าวของคนรวยอย่างเดียวนะ ขอทานเขาก็ใส่บาตรให้กิน ผมรู้สึกว่านี่เป็นเบ้าหลอมให้ตัวเองเป็นคอมมิวนิสต์ ทำไมความเหลื่อมล้ำถึงห่างกันขนาดนี้ ทั้งที่คนเหล่านี้ก็มีจิตใจดีเหมือนกัน
แม้กระทั่งคนที่ผมเจอ อย่างเพื่อนผมในมหาวิทยาลัยมหิดลที่รวยมากๆ เวลาผมพูดว่าคนบ้านผมกินอดๆ อยากๆ เขาไม่มีทางรู้เลยว่าอดอยากยังไง เขาอาจคิดว่ามันเหมือนอดข้าวแค่มื้อสองมื้อมั้ง แต่ความจริงคืออดไม่รู้จะอดยังไงแล้ว ประหยัดไม่รู้จะประหยัดยังไงแล้ว แต่เวลาคุณไปแจกของ คุณกลัวเขาเอาไปเยอะ เพื่อไปใช้สอยเยอะ คุณไม่ต้องกลัวหรอกว่าจะเอาไปใช้สอยเยอะ เขาคิดมาหมดแล้วว่าต้นทุนที่เขาจ่ายและต้นทุนที่ได้ เขาใช้ได้กี่วัน เพราะชีวิตเขาลำบากมาก ด้วยปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ ปัญหาด้านครอบครัวหรือการศึกษา
เล่าให้ฟังหน่อยว่าคอมมิวนิสต์ในแบบของคุณเป็นอย่างไร
ผมอยากจะเริ่มต้นอย่างนี้ว่าคอมมิวนิสต์มันไม่ได้มีแค่จีนกับเขมรแดงนะ อย่างปัญหาที่ผมเจอในชุมชนเป็นปัญหาเรื่องที่ดิน คนฆ่ากันเพราะแย่งน้ำเข้าที่นา คุณพอเข้าใจไหมว่า บางที่น้ำท่วม บางที่แล้ง บางที่ใกล้น้ำ แต่บางที่ไกลน้ำ การที่คุณจะเอาน้ำเข้านาได้ คุณต้องจ้างเครื่องสูบน้ำเครื่องวิดน้ำเอาน้ำเข้านา ผมอยากแก้ไขปัญหาเรื่องนี้โดยการทำนารวม ซึ่งแนวคิดการทำนารวมนี้มาจากรัสเซีย ช่วงก่อนการปฏิวัติพระเจ้าซาร์หรือเดือนตุลาฯ ด้วยซ้ำ มันคือการเอาที่ดินมารวมกัน แล้วประเมินว่า ที่ไหนเพาะปลูกได้ ที่ไหนทำอะไรได้ เช่น ที่ดินใกล้น้ำควรปลูกข้าวกี่แปลง แล้วที่ไกลน้ำควรเลี้ยงสัตว์หรือทำไซโลเก็บข้าว
สิ่งที่จะบอกคือ ผมอยากจะสร้างนโยบายบางอย่างที่สัมพัทธ์กับชาวนา และให้ชาวนามี Interact กัน มีพื้นที่ที่แชร์ร่วมกัน หรือตัดสินใจเกี่ยวกับปัญหาที่เขาอยู่ร่วมกัน อย่างเช่นหมู่บ้านผมมีตลาดนัดประจำวัน ทีนี้มันมีป่าของชุมชนอยู่ป่าหนึ่ง เขาพยายามถางป่าแล้วเก็บค่าจอดรถ จะได้มีรายได้เข้าหมู่บ้านทุกอาทิตย์ แต่เรื่องที่ Bad Joke เลยคือว่า ฉันทามติที่มันเกิดขึ้นแล้วในชุมชน คือทุกคนเห็นพ้องต้องกันให้ทำลานจอดรถ แต่ถูกกรมป่าไม้บอกว่ารุกล้ำพื้นที่เขตป่า คือส่วนกลางไม่เคารพประชาชนตัวเล็กตัวน้อยที่จะจัดสรรพื้นที่ในชุมชนของเขาให้เป็นประโยชน์ หรือมองอีกแบบหนึ่งคือเขาทำให้ประชาชนโดดเดี่ยว รู้สึกว่าเป็นคนตัวเล็กตัวน้อย เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ คิดหรือสร้างอะไรด้วยตัวเองไม่ได้
ซึ่งถ้าเขาสามารถจัดสรรได้โดยกระบวนการที่เขาตัดสินใจร่วมกัน ผมคิดว่านี่ต่างหากเป็นการสร้างประชาธิปไตยในรูปแบบเศรษฐกิจ ที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่มีแค่ 4 ปีเลือกตั้ง 1 ครั้ง หรือเลือกตั้ง อบต. ก็ 4 ปี 1 ครั้ง ผมคิดว่าควรลงลึกเข้าไปในระดับโมเลกุล คือการตัดสินใจด้านผลประโยชน์ในท้องถิ่นด้วย
คุณมองสเต็ปไปสู่สิ่งนั้นไว้อย่างไร ต้องทำอะไรบ้าง เช่น จัดตั้งคน หรือก่อตั้งสหภาพ
ผมเห็นความพร้อมที่พอจะทำได้ คือหลังจากที่ผมลงพื้นที่ไป เห็นนักเรียนหรือนักศึกษาที่สนใจการเมืองเยอะมาก แต่ไม่รู้ว่าตัวเองจะเคลื่อนไหวอย่างไร ให้ไม่โดนผลกระทบทางการเมืองประเภทที่ถูกตำรวจบุกบ้าน ซึ่งลักษณะสำคัญของเด็กรุ่นใหม่ที่ผมเห็นคือ เขามีทักษะและความสามารถ แต่เขาไม่มีพื้นที่ให้แสดงออก จะดีแค่ไหนถ้าเรามีกองทุนสนับสนุนให้เด็กเหล่านี้เรียนรู้และเติบโตในสายเกษตรเพื่อทำนารวม หรือในสายวารสาร ให้เขาเขียนและวิเคราะห์ข่าวในท้องถิ่นได้
หรือจะดีแค่ไหน ถ้าให้เด็กเรียนเภสัชฯ แล้วจัดทำกองทุนยา นี่ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่รอการแก้ไข คือในอนามัย เวลาคุณป่วย หมอจะแจกแค่ยาพาราฯ เพราะไม่มียาที่ดีกว่านั้นแล้ว ถ้าอย่างนั้นเราจะทำอย่างไรให้ยาดีๆ เหล่านี้มาอยู่ในหมู่บ้านตัวเองได้ นอกเสียจากจะจัดตั้งกองทุนให้คนในหมู่บ้านเป็นสมาชิก แล้วซื้อยาจัดเก็บไว้ แล้วให้คนในหมู่บ้านเป็นเภสัชกรวินิจฉัยโรคและแจกยาภายในชุมชน
แสดงว่าคุณตั้งใจ Empower ให้คนรุ่นใหม่ได้ทำงานพัฒนาท้องถิ่นตัวเอง
ใช่ครับ ผมมองว่าทรัพยากรหลายอย่างพร้อมมาก เช่น ที่พะเยา ผมเห็นโรงวิทยุที่ไม่ได้ใช้ สามารถนำมาจัดอบรมให้คนที่จบนิเทศฯ มาสอนเด็กได้ หรือในมหาวิทยาลัยมีกิจกรรมพัฒนาชนบท เราไม่ต้องไปทาสีโรงเรียนแล้วได้ไหม เราเอาเบ็ด เอาวิชาที่ได้เรียนไปสอนเด็กได้ไหม ให้เขาเติบโตและพัฒนาตัวเองได้ อันนี้ต่างหากที่สร้างให้ชุมชนเข้มแข็งขึ้น เขาสามารถเลือกและตัดสินใจได้เยอะขึ้น
สิ่งเหล่านี้คือการขยายโอกาสให้คนมีศักยภาพที่จะพัฒนาตัวเองได้เท่าเทียมและทัดเทียมผู้อื่นโดยไม่มีเส้นแบ่งว่าคุณเป็นเด็กของใคร หรือนามสกุลอะไร ถ้าเปรียบกับดอกบัวสี่เหล่า ซึ่งไม่ได้ใช้แบ่งคนโง่และคนฉลาด แต่เราต้องสร้างสภาพอันเสมอภาคที่จะปล่อยให้ดอกบัวเติบโตได้ การที่เขาจะเป็นคนที่อยู่ปริ่มน้ำ เหนือน้ำ กลางน้ำ หรือใต้ตม ก็ขอให้เป็นเรื่องเสรีภาพหรือเป็น Free Will ที่เขาตัดสินเอง ความเสมอภาคไม่ใช่ปลายทางที่เราจะไปถึง แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางต่างหากที่ผมพยายามจะสร้าง
ด้วยความที่ผีคอมมิวนิสต์ยังหลอกหลอนสังคมไทย คุณจะสื่อสารยังไงให้คนเข้าใจคอมมิวนิสต์ในแบบของคุณไม่ใช่แบบที่ถูกป้ายสีไว้เมื่อหลายสิบปีที่แล้ว
ผมเคยใช้ตรรกะที่เป็นงูกินหางแบบนี้บ่อย ผมยอมรับว่าคอมมิวนิสต์ทำให้คนตายเยอะมากในเขมรแดงหรือจีน แต่คุณต้องยอมรับนะว่าทุนนิยมสร้างสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ขึ้น สร้างการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การเหยียดเชื้อชาติ ชาติพันธุ์ ศาสนา หรือวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งนั้นมีคนฆ่าตัวตายเท่าไหร่
การที่ผมประกาศกร้าวว่าตัวเองเป็นคอมมิวนิสต์ โดยพื้นเพของผมเป็น Buddhist ที่ไม่เคยคิดจะฆ่าใครอยู่แล้ว เพราะการฆ่าคือบาปทุกกรณี ด้วยตัวตนผมแบบนี้ อยากครีเอตงานแบบใหม่ที่แตกต่างจากคอมมิวนิสต์รูปแบบเดิมในช่วงสงครามเย็น เพื่อสร้างสรรค์โลกใบใหม่ที่ดีกว่าเดิม
ผมกำลังจะบอกว่า คุณไม่มีทางเป็นเสรีนิยมโดดๆ ได้ เสรีนิยมต้องปล่อยตลาดเสรี และการแข่งขันเท่าเทียม มี Rule of Law แต่จะมีสักกี่คนที่มีต้นทุนแข่งขันในตลาดเสรี ถ้าคุณไม่มีเงินหนาๆ คุณลงทุนอะไรไม่ได้เลย คุณเป็นแค่แรงงานรับใช้นายทุนในบริษัท ทำงานวันต่อวัน เดือนหนึ่งก็ไปดูหนังแค่สองรอบ แล้วขึ้นรถเมล์ รถไฟฟ้ากลับ คุณไม่รู้สึกเหรอว่าความหมายชีวิตคุณหายไปไหน
ยิ่งอยู่ในทุนนิยมที่มีศักดินาด้วย มันลำบากกว่าเดิมมากๆ เพราะว่าคุณเป็นเด็กใคร เส้นสายไหน นามสกุลอะไร คือมันกดคุณสองชั้น เป็นแรงโน้มถ่วงที่ต่างจากโลกเสรีอื่นๆ ที่ปล่อยการแข่งขันแบบ Free Trade เสรีนิยมจริงๆ
แล้วจะมีคนสงสัยว่า คนที่เป็นคอมมิวนิสต์ คนที่ทำมากก็ไม่ได้มาก ก็ได้เท่ากับคนที่ไม่ได้ทำใช่ไหม ผมจะบอกว่าด้วยวิถีการผลิตคนมีความสามารถแตกต่างกันอยู่แล้ว แล้วเราสามารถจ่ายค่าจ้างตามศักยภาพได้
เราไม่ได้บอกว่าเขาไม่สามารถเลื่อนขั้นได้ในระบบสหกรณ์ ถ้าคุณอยากไปทำสายการผลิตรูปแบบอื่น คุณต้องพัฒนาศักยภาพของคุณให้ได้ แต่ในขั้นแรกที่เราจะจ่ายให้คุณต้องตกลงกันอยู่แล้วว่าเงินที่ได้ทั้งหมดเท่าไหร่ แล้วคนที่สำคัญมีเท่าไหร่ ทุกคนสำคัญหมด แต่คุณคิดว่าในงานของคุณส่วนนี้ตัวเองต้องการเท่าไหร่ อันนี้มันควรตัดสินกันได้ ต้องจ่ายเป็นเงินที่เป็นเงินปันผลร่วมกันอยู่แล้ว
ก่อนหน้าคุณเมนชันมาคำหนึ่งว่าคุณเป็น Buddhist ที่เป็น Marxist เลยสงสัยว่าพุทธศาสนากับมาร์กซิสต์เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
ที่เห็นได้ชัดเลยคือ มาร์กซิสต์เน้นเรื่อง Physical การแก้ไขความทุกข์ด้านกายภาพ แต่ของพุทธศาสนาจะเน้นเรื่อง Spiritual หรือจิตวิญญาณเป็นหลัก ซึ่งเป็นความทุกข์คนละแบบ เรารู้ดีว่า ทุกข์ทางกายภาพ ถ้าคนไม่มีปัจจัย 4 ไม่มีข้าว น้ำ หรือที่อยู่ ไม่มีเสื้อผ้าให้ใส่ เป็นทุกข์ที่เกิดจากสภาวะภายนอก แต่สภาวะภายในของพุทธเน้นเรื่องการระงับความต้องการเป็นหลัก เช่น ถ้าเราไม่ได้ในสิ่งที่อยากได้ หรือไม่ได้เป็นในสิ่งที่อยากเป็น เหล่านี้ก็คือความทุกข์แล้ว มันแตกต่างจากความต้องการที่เป็นขั้นพื้นฐานซึ่งขาดไม่ได้
ลักษณะคำสอนพุทธมีลักษณะเป็นยาฝิ่นอยู่ คือเป็นยาที่ปลอบประโลมประชาชนว่า ความทุกข์เหล่านี้แก้ได้ในจิตใจเรา จงพอใจและยินดีในสิ่งที่ตัวเองมี ซึ่งแช่แข็งระบบทางชนชั้นไว้อีกรูปแบบหนึ่ง ยิ่งในโครงสร้างการเมืองของรัฐศักดินา คำสอนพุทธศาสนาจะถูกนำมาอธิบายว่า การที่คุณเกิดมาเป็นชาวนา เพราะคุณทำบุญน้อยกว่าคนอื่น หรือทำกรรมเก่าไว้ พอต่อมารัฐพัฒนาเป็นรัฐทุนนิยม การอธิบายเรื่องกรรมเก่าก็ยังมีอยู่ เพียงแต่อธิบายในฐานะผู้มีบารมี ผู้มีการสะสมบุญมาก คนรวยทำบุญเยอะ สังเกตในชาตินี้เขาบริจาคได้ ทั้งที่เขาไม่รู้เลยว่า การทำบุญของคนรวยมันเลี่ยงภาษีได้ในรัฐไทย มีหน้าฉากและหลังฉากที่เราไม่เคยเห็นกันอยู่
การที่ศาสนากลืนเข้ากับโครงสร้างแบบนี้ จึงได้เห็นว่ามันกลายเป็นยาฝิ่นที่มอมเมาประชาชน แต่ก็สามารถช่วยปลดแอกคนได้บ้างหากเราตีความศาสนาให้เข้ากับอุดมการณ์ที่เราอยู่
เราจะตีความพุทธศาสนาให้เข้ากับแนวคิดมาร์กซิสต์ได้ไหม
จากการตีความของผมนะ พุทธศาสนาก็มีข้อดีบางอย่าง เช่น มีสิ่งที่เรียกว่าภัตตุเทศก์ เป็นพระที่เป็นคนจัดผลประโยชน์ส่วนกลางให้คนอื่น เช่น จริงๆ พระใช้จีวรได้ 3 ชุด ถ้ามากกว่า 3 ชุด ผมต้องบอกเขาว่าผมมีผ้าใหม่นะ ถ้าผมได้ผ้าใหม่เรื่อยๆ ผมก็ต้องบอกเขาเรื่อยๆ ว่าผมได้ผ้าใหม่แล้ว
การได้มากๆ มันฝืนต่อหลักพระพุทธศาสนา เป็นการสะสมกิเลส เราต้องไปบอกคนอื่นด้วย ไม่งั้นจะผิดพระวินัย การบอกคนอื่นเราจะเกิดความละอายต่อตัวเองว่า เรามีเกินความจำเป็นหรือเปล่า แล้วในช่วงเข้าพรรษา พระรูปไหนอยู่ในพรรษา 3 เดือน เขาจะมีสิ่งที่เรียกว่าผ้ากฐิน มีเรื่องเล่าในพระไตรปิฎกว่า พระอานนท์กับพระสารีบุตรเคยถามกันว่า ถ้าพระได้ผ้ากฐินใหม่ แล้วผ้าเก่าจะเอาไปทำอะไร พระสารีบุตรพูดประมาณว่า ก็เอาไปให้คนที่เก่ากว่า แล้วผ้าของคนที่เก่ากว่า จะไปให้ใคร เขาก็บอกว่านำไปให้คนที่เก่ากว่าอีก แล้วผ้าที่เก่ากว่าอีกจนใช้ไม่ได้แล้ว จะเอาไปทำอะไร เขาก็บอกว่าเอาไปโบกปูนทำกุฏิ หรือเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น
เราจะเห็นการกระจายผลประโยชน์ที่เป็นส่วนกลางกันไปเรื่อยๆ ซึ่งผมเห็นว่าเป็นข้อดีมากๆ มันเป็นการผลิตหรือการใช้เพื่อการยังชีพ เพื่อมีชีวิตอยู่ การที่เรามีผ้า เราไม่ได้มีไว้สะสม เรานุ่งผ้าได้ผืน เดียวเท่านั้นแหละ เพื่อปิดบังความอาย ไม่ให้เห็นเนื้อตัวร่างกายของเรา ซึ่งก็เข้ากับยุคสมัยมากๆ แล้วทำไมเราต้องซื้อเตียงไว้ทั้งที่เรานอนได้เตียงเดียว หรือการสะสมเงินไว้ ทั้งที่เราก็กินข้าวแค่ 3 มื้อ เราไม่ได้กินได้เยอะกว่านั้น ทำไมต้องเก็บ ต้องสะสมทุน ซึ่งทุนไม่ได้มีแค่เงินนะครับ มันมีสิ่งที่เรียกว่าที่ดิน ความรู้ หรือทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกทำให้เป็นกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล มันเลยเป็นปัญหาอย่างมากว่า จริงๆ แล้วโลกใบนี้ไม่ได้เป็นของใคร แต่โลกใบนี้ควรเป็นของทุกคนที่ใช้ผลประโยชน์ร่วมกัน ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งที่ควรกอบโกยผลประโยชน์ของเรา
ตัวอย่างจากพระไตรปิฎกเรื่องการยกผ้าเก่าให้คนเก่ากว่าอาจดูสุดโต่งนิดหนึ่ง ลองยกตัวอย่างในบริบทของปัจจุบันได้ไหมว่าเราจะกระจายทรัพยากรอย่างไรได้บ้าง
ผมมองว่าโลกทุนนิยมโหดร้ายกว่านี้นะคุณ คุณเคยเห็นการทำ CSR ที่เอาผ้ามือสองเอาผ้าห่มเก่าๆ ไปให้คนบนดอยไหม ผมว่านั่นสุดโต่งกว่าอีก
ในเรื่องที่ผมเล่า จีวรเป็นสัญญะของการให้ การกระจายผลประโยชน์ การกระจายภาษี การกระจายทรัพยากร หรือแม้กระทั่งการกระจายอำนาจในชุมชน สามารถตัดสินใจเรื่องการจัดการพื้นที่ในชุมชนตัวเองอย่างที่ผมพูดไป แต่ทุกวันนี้รัฐไม่อนุญาตให้คิดหรือทำเองได้เลย คนที่คิดความเป็นไปได้ใหม่ทางเศรษฐกิจกลับถูกจับและถูกกล่าวหาว่าเป็นคนบุกรุกพื้นที่ป่า
สำหรับการเคลื่อนไหวต่อจากนี้ คุณคิดว่าความท้าทายที่รออยู่คืออะไร
ตอนนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นกบฏอย่างมากเลยนะ คอมมิวนิสต์นี่มันสุดไปอีกทางหนึ่งเลย ทั้งที่เพื่อนของผมยังเรียกร้องให้มีประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญเป็นประมุข มันยังมีลักษณะ Centric มากๆ จนผมรู้สึกว่า โอ้โห ผมสวิงมาซ้ายขนาดนี้ แล้วผมจะอยู่รอดได้ยังไง แต่ก็ไม่เคยหวั่นนะ
ผมกำลังจะบอกว่าความท้าทายใหม่ก็คือ ผมไม่ได้มองเป้าหมายเหมือนกับเพื่อนใน 3 ข้อหลักเพียงอย่างเดียวแล้ว แต่อยากจะสร้างฐานสร้างดินที่เราเหยียบมากกว่าที่จะเอาตาหรือเอาใบหน้าของเรามองดูดาว พอเข้าใจใช่ไหมครับ คือดาวเปรียบเสมือนเป้าหมาย 3 ข้อเรียกร้องของเรา แต่ดินที่เราเหยียบคือสภาพปัจจุบันตอนนี้ที่ชาวนาอดๆ อยากๆ ผมอยากทำให้ประเด็นปัญหาเหล่านี้หายไป หรือทำให้เขาเติบโตหรือยืนได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องผลิตเพื่อยังชีพ แต่ผลิตเพื่อกำไรของตัวเองได้ไหม แล้วให้เขามีชีวิต และมีความหมายในชีวิตของตัวเขาเองที่ดีขึ้นมากกว่านี้
ผมมองว่าเป็นไปได้ ถ้าเรายังดูเศษซากอารยธรรมของรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่พัฒนานโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค และนโยบายสินค้า OTOP ผมว่ามันต่อยอดได้ แค่ไปทำให้ชุมชนเข้มแข็งแล้วก็คล้อยตามกับนโยบาย แล้วทำให้เป็นแบรนด์ส่งออก อันนี้ต่างหากที่ทำให้คนมาร่วมกับเราได้เยอะขึ้น เพราะว่ามันไม่ใช่ปัญหาแค่เรื่องประเด็นนามธรรมเหมือนอย่างเรื่องกษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ แต่เป็นปัญหาเรื่องกินอยู่ของเขาแล้ว
แล้วในอนาคตคุณจะทำงานในบทบาทไหน มีแพลนตั้งพรรคคอมมิวนิสต์หรือเปล่า
ผมอยากเป็น Think Tank อยู่ในพรรคการเมืองที่มีแนวคิดเรื่องความเสมอภาค เพื่อให้ทุกคนเท่าเทียมกัน ทั้งเรื่องรายได้ เรื่องการยังชีพ ผมคิดว่าอันนี้โอเคที่สุดแล้วที่อยากจะทำ เพราะการตั้งพรรคคอมมิวนิสต์มันผิดกฎหมายในประเทศไทย แต่ถ้ามีพรรคการเมืองที่ไม่ใช่พรรคคอมมิวนิสต์แน่ๆ แต่อุดมการณ์ไม่ต่าง ผมก็พร้อมที่จะไปร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเขียนนโยบายท้องถิ่นหรือนโยบายมหภาค
จริงๆ ผมมีภาพฝันอยากทำงานแบบพรรค Labour ของอังกฤษ ผลิตนโยบายให้กับคนที่เป็นแรงงานให้ได้ ผมมองว่าถ้าคุณอยากเป็น Conservative คุณก็เป็นแบบที่นายกบอริส จอห์นสันเป็นได้ โดยพัฒนาสังคมด้วยแนวคิดแบบของคุณ แต่ผมมีวิธีคิดแบบคอมมิวนิสต์หรือมาร์กซิสต์ก็ปล่อยผมไปสิ ให้แข่งขันในตลาด ประชาชนอยากเลือกนโยบายไหนก็ให้เขาเลือกเอา
นอกจากนี้ ผมมองว่าต้องทำงานทางความคิดด้วย อย่างการที่ผมกำลังพูดกับ Urban Creature อยู่เนี่ย มันคือการขยายตัวทางด้านความคิด ยิ่งถ้าเราจะอยู่ในระบบประชาธิปไตย ยิ่งต้องโน้มน้าวใจคนให้เขามาอยู่ฝั่งเรา ให้สร้างโลกในจุดยืนที่เรายืนอยู่ และให้รวมตัวกันเป็นสหภาพแรงงาน
เลยสงสัยว่า คุณคิดว่าเราจะสามารถจัดตั้งสหภาพแรงงานที่แข็งแรงและเคลื่อนไหวจนสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อย่างยุคหลัง 14 ตุลาฯ ก่อน 6 ตุลาฯ ได้ไหม
ผมไม่ได้ปฏิเสธนะว่าเราควรรวมตัวกัน แต่มันอาจทำได้ยากในยุคนี้ คือคุณอาจไม่ได้เห็นสหภาพแรงงานแบบยุค 6 ตุลาฯ หรือ 14 ตุลาฯ ก็เป็นได้ แต่จะมาในรูปแบบของภาวะอัดอั้นบางอย่างของกลุ่มคนงาน อย่างเช่นคุณเห็นการสไตรก์ของโรงงานรถบรรทุกใช่ไหม เขาไม่มีส่วนร่วมในการเรียกร้องปฏิรูปสถาบัน แต่เขารับรู้ภาวะที่ตัวเองถูกกดขี่ขูดรีด และรับรู้สิทธิเหมือนเรา แบบนี้ผมเรียกว่าสหภาพแรงงานได้เลยนะครับ โดยที่ไม่ต้องจัดตั้งทางความคิดเลย เขารู้ถึงกลไกและเงื่อนไขต่างๆ ในเนื้องานตัวเองที่ทหารทำแทนไม่ได้ แล้วเขาสร้างเงื่อนไขเพื่อต่อรองกับรัฐด้วยตัวเอง เราไม่จำเป็นต้องพูดภาษาหลักการก็ได้ แต่เราพูดถึงภาษาที่เป็นภาวะร่วม ความกดขี่ที่ถูกกดร่วมกัน นี่ต่างหากคือการเคลื่อนไหวของสหภาพแรงงาน
งั้นขอถามใหม่ว่า เราจะทำอย่างไรให้แรงงานเชื่อมั่นในสิทธิ์ในเสียงของตัวเอง เพื่อในวันที่เขาต้องเผชิญภาวะอัดอั้น เขาจะได้กล้าลุกขึ้นมาเรียกร้อง
ในยุคนี้ผมมองว่าคนเป็นปัจเจกมากขึ้น และการกดขี่ขูดรีดถูกบรรเทาด้วยการผ่อนคลาย อาจดูยูทูบ หรืออยู่ในโลกส่วนตัวของเขา งานของมาร์กซิสต์คือการเป็นน้ำที่ต้องทำให้ปูน ทราย และหินมันเกาะแข็งตัวร่วมกัน เพื่อสร้างผนังทองแดงกำแพงเหล็กที่จะหลอมรวมคนให้เป็นหนึ่งเดียวให้ได้ ไม่ว่าจะทางใดก็ตาม ในเฟซบุ๊ก ในงานเขียน หรือกระทั่งลงไปจัดตั้ง วันหนึ่งคุณอาจจะเห็นผมเป็นคนกวาดถนนก็ได้ เพราะผมอยากเปลี่ยนแปลงหรือจัดตั้งแรงงานที่เป็นคนกวาดถนน คนเก็บขยะ
สิ่งเหล่านี้คนที่เป็นมาร์กซิสต์ควรจะต้องรับรู้ถึงสภาวะปัญหาความรู้สึกของเขาจริงๆ แล้วลงไปอยู่กับเขาจริงๆ ว่าปัญหาที่แท้จริงเป็นอย่างไร เพื่อจะได้เกิดการเปลี่ยนแปลง และเข้าใจอย่างลึกซึ้งในโครงสร้างปัญหานั้นๆ
คุณต้องยอมไปกิน 40 ดีกรีบ้านนากับเขา ถึงจะรู้ว่ามีปัญหาอย่างไร เพื่อให้รู้ต้นตอว่าอะไรกำลังกีดกันศักยภาพด้านการพัฒนาของเขาไว้อยู่