LATEST
‘โมนาโก’ เมืองที่ใช้คาสิโนสร้างชาติ พลิกฟื้นเศรษฐกิจทั้งประเทศด้วยธุรกิจการพนัน
‘การพนันไม่เคยทำให้ใครรวย’ ประโยคข้างต้นอาจมีมูลความจริงอยู่ไม่น้อยสำหรับบางสังคม แต่แนวคิดนี้ไม่สามารถใช้ได้กับ ‘ราชรัฐโมนาโก’ (Monaco) ประเทศขนาดเล็กอันดับสองของโลก ที่สามารถกู้วิกฤตเศรษฐกิจจนร่ำรวยด้วยธุรกิจคาสิโน ภาพจำของโมนาโกสำหรับหลายคนคือเมืองแห่งความร่ำรวยหรูหรา ท่าเรือที่เต็มไปด้วยเรือยอช์ตจอดเรียงรายริมชายฝั่ง สถาปัตยกรรมที่สวยงามราวกับหลุดมาจากนิยาย หรือเส้นทางถนนเก่าแก่สำหรับการแข่งขัน ‘โมนาโก กรังด์ปรีซ์’ (Monaco Grand Prix) แต่รู้หรือไม่ ก่อนโมนาโกจะกลายเป็น ‘สนามเด็กเล่นของคนรวย’ ประเทศนี้ต้องเผชิญกับปัญหาการสูญเสียรายได้มหาศาลหลังจากแยกตัวออกจากฝรั่งเศส กลายเป็นจุดเริ่มต้นของ ‘มอนติคาร์โล’ (Monte Carlo) คาสิโนเก่าแก่ผู้กลายเป็นหัวหอกพลิกฟื้นนำประเทศไปสู่ความร่ำรวยจากเม็ดเงินของนักเสี่ยงโชคทั่วโลก เพราะเหตุใดคาสิโนเพียงหนึ่งแห่งถึงพลิกฟื้นเศรษฐกิจทั้งประเทศได้ และความท้าทายของเมืองแห่งความร่ำรวยอย่างโมนาโกมีอะไรบ้าง ตามไปหาคำตอบได้ในบทความนี้ ฟื้นฟูเมืองด้วยธุรกิจคาสิโน ภายหลังการรับรองเอกราชจากฝรั่งเศสใน ค.ศ. 1861 ประเทศโมนาโกจำเป็นต้องเริ่มต้นวางระบบเศรษฐกิจของประเทศที่ใกล้ล้มละลายใหม่อีกครั้ง จากดินแดนเล็กๆ ที่มีพื้นที่เพียง 0.81 ตารางไมล์ ทรัพยากรธรรมชาติแทบไม่มี พื้นที่ใช้สอยก็น้อยนิด ข้อจำกัดมากมายเหล่านี้นำพวกเขาไปสู่ลู่ทางธุรกิจใหม่ที่ยังคงผิดกฎหมายในประเทศโดยรอบในสมัยนั้นอย่าง ‘คาสิโน’ คาสิโนแห่งแรกของประเทศสร้างขึ้นใน ค.ศ. 1865 แต่ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก ต่อมาโมนาโกได้สร้างคาสิโนแห่งใหม่อีกครั้งที่เมืองมอนติคาร์โล ผนวกกับเส้นทางรถไฟสายใหม่จากกรุงปารีสมายังโมนาโก ที่สร้างความสะดวกสบายในการเดินทางมากขึ้นหลายเท่า ทำให้นักเสี่ยงโชคจากทั่วยุโรปหลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก คาสิโนมอนติคาร์โลจึงประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วจนประเทศกลับมาร่ำรวยอีกครั้ง ถึงอย่างนั้น คาสิโนแห่งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความมั่งคั่งที่สืบทอดมาจวบจนปัจจุบัน เนื่องจากรัฐที่เห็นโอกาสตรงนี้ได้ต่อยอดจากเพียงคาสิโนหนึ่งแห่ง กลายเป็นนโยบายและสิทธิประโยชน์เอาใจคนรวยอย่างการ ‘ยกเลิกภาษีเงินได้’ […]
‘เด็กสลักหินพา PLAY’ เดินสำรวจชุมชน ตามรอยร้านอร่อยในหัวลำโพง กับเหล่าไกด์ตัวจิ๋วประจำตรอกสลักหิน
ปกติแล้วเวลาไปร่วมกิจกรรมทริปเดินสำรวจเมือง ไกด์หรือผู้นำกิจกรรมมักเป็นผู้ใหญ่ในชุมชนหรือนักวิชาการ ที่จะบอกเล่าประวัติศาสตร์ความเป็นมาของพื้นที่ให้เราที่เป็นผู้ร่วมกิจกรรมฟังอย่างเพลิดเพลิน แต่กับทริป ‘เด็กสลักหินพา PLAY’ ภายใต้โครงการกรุงเทพรวมมิตรฯ ซึ่งเป็นโครงการที่ส่งเสริมการเรียนรู้พหุวัฒนธรรมผ่านการท่องเที่ยว จัดโดยนักออกแบบที่ทำงานชุมชน มิวทวล กราวน์ ร่วมกับริทัศน์บางกอก ให้ประสบการณ์ที่แตกต่างออกไป เพราะไกด์ในทริปนี้เป็นแก๊งเด็กในชุมชนที่จะมาพาเราออกเดิน และบอกเล่าเรื่องราวความประทับใจในชุมชนตรอกสลักหิน ย่านหัวลำโพงที่ตัวเองอยู่อาศัยผ่านสายตาเล็กๆ เหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นถนนหนทาง ต้นไม้ งานศิลปะ สัตว์ตัวน้อย มุมที่ชอบ ไปจนถึงร้านอร่อยที่เด็กๆ ทำโพลรีวิวกันเอง ทั้งหมดนี้เราคงไม่มีทางทราบได้ถ้าไม่ได้ไกด์เด็กๆ ในชุมชนมาชี้ชวนเล่าให้ฟัง ยังไม่นับรวมไกด์บุ๊กที่น้องๆ ลงมือวาดกันเอง แถมยังมีมิชชันที่ล้วนข้องเกี่ยวกับตัวพื้นที่ให้ทำสนุกๆ ระหว่างเดินทางไปด้วย เช่น ถ่ายรูปกับทาวน์เฮาส์สไตล์ฮ่องกงที่ซุกซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ เล่นเครื่องเล่นในสนามเด็กเล่นของชุมชน อัดเสียงนกกรงหัวจุกที่คนในชุมชนเลี้ยง เล่นและเซลฟีกับน้องหมาโมจิที่เป็นที่รักของเด็กๆ เป็นต้น นับเป็นกิจกรรมดีๆ ที่ทำให้เด็กๆ ในชุมชนได้ทดลองทำอะไรใหม่ๆ ฝึกฝนทักษะที่อาจนำไปสู่การต่อยอดความถนัดในอนาคต รวมถึงสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับชุมชนที่พวกเขาอาศัยอยู่ ใครที่อยากลองไปร่วมทริปดีๆ แบบนี้อีก ติดตามกิจกรรมครั้งต่อๆ ไปได้ที่เพจ mutualground.lab
สำรวจอำนาจภายในรั้วโรงเรียน ที่สะท้อนถึงการจัดการปัญหาของสังคม ในหนังเยอรมนี The Teachers’ Lounge
ครั้งนี้ครูจะต้องได้เจอ ‘บทเรียน’ เมื่ออำนาจในโรงเรียนไม่ได้อยู่ที่การกะเกณฑ์บังคับผ่านการแต่งกายหรือกฎระเบียบเท่านั้น แต่ยังเคลือบอยู่กับท่าที การตัดสินใจ หรือกระทั่งการลงโทษ ซึ่งเราสัมผัสได้อย่างชัดเจนจากการชม The Teachers’ Lounge (ห้องเรียนเดือด) หนังสัญชาติเยอรมันโดย อิลเคอร์ ชาทัค ผู้กำกับชาวเยอรมันเชื้อสายตุรกี ลูกศิษย์คนเก่งของผู้กำกับ วิม เวนเดอร์ส ที่ติดอันดับหนังยอดเยี่ยมของนักวิจารณ์หลายคนในปี 2023 อีกทั้งยังเป็นหนัง 5 เรื่องสุดท้ายที่ได้เข้าชิงสาขาภาพยนตร์นานาชาติ บนเวทีออสการ์ปีล่าสุด The Teachers’ Lounge เป็นหนังที่ว่าด้วยเรื่องราวปัญหาภายในโรงเรียน โดยมีจุดเริ่มต้นจากเหตุลักขโมยซ้ำแล้วซ้ำเล่าและไม่สามารถหาคนผิดได้ ทำให้ความรู้สึกกดดันกลายเป็นความเดือดดาล และพุ่งทะยานขึ้นไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง ความน่าสนใจคือ ประเด็นการตัดสินคนผิด-ถูกที่สะท้อนผ่านภาพในรั้วโรงเรียนเล็กๆ ถูกขยายไปมากกว่าใครเป็นคนร้ายตัวจริง ทำให้เราเห็นถึงผลกระทบที่ตามมาจากการตัดสินคนผิดที่ไม่ใช่แค่บุคคลที่โดนกล่าวหา ทว่ารวมไปถึงปฏิกิริยาของผู้คนในสังคมที่ตอบรับกับปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งนั่นทำให้เรานึกถึงการลงโทษทางสังคม (Social Sanction) เมื่อผู้คนต่างเห็นพ้องตรงกันว่าคนผิดสมควรถูกลงโทษ (แม้จะยังไม่รู้แน่ชัดว่าผิดจริงไหมก็ตาม) มากไปกว่านั้น ยังมีมิติความสัมพันธ์ของครูที่ตั้งใจจะทำให้โรงเรียนโปร่งใส กับนักเรียนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นขโมย โดยไม่ได้แสดงออกผ่านถ้อยคำ แต่เห็นผ่านการกระทำที่เปิดช่องว่างให้คนดูคิดถึงความจริงใจของทั้งสองคนนี้ได้เป็นอย่างดี คล้ายเป็นการต่อสู้ของคนตัวเล็กสองคนที่เข้าอกเข้าใจกัน รับชมภาพยนตร์ The Teachers’ Lounge ได้แล้ววันนี้ที่โรงภาพยนตร์ SF, Major […]
‘Verdicy’ นวัตกรรมเคสมือถือทำจากฟางข้าวที่ย่อยสลายได้ และช่วยลดขยะพลาสติก
เป็นที่รู้กันอย่างกว้างขวางว่า ตลาดเคสโทรศัพท์ทั่วโลกมีสถิติการใช้พลาสติกในการผลิตสูงมาก และนั่นส่งผลให้การผลิตเคสโทรศัพท์สร้างขยะพลาสติกให้กับโลกของเราราวๆ 60,000 ชิ้นต่อปี โดยใช้เวลาย่อยสลายนานถึง 400 ปีเลยทีเดียว เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการลดขยะ ‘Verdicy’ แบรนด์เคสโทรศัพท์รักษ์โลกสัญชาติไทย จึงมุ่งเน้นออกแบบเคสโทรศัพท์ให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จากขั้นตอนการผลิตในรูปแบบใหม่ที่ปราศจากการใช้พลาสติก (Plastic Free) สอดคล้องกับที่มาของชื่อแบรนด์ที่มาจากคำว่า ‘Verdancy’ ซึ่งหมายถึงความเขียวขจีและความชอุ่มของพืชพรรณ ‘ทรงกฤษณ์ มูลอ้าย’ ผู้ก่อตั้งแบรนด์บอกกับเราว่า อยากให้วิถีชีวิตที่ยั่งยืนจากธรรมชาตินั้นดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จึงกำหนดให้จุดประสงค์หลักของแบรนด์คือ การเป็นส่วนหนึ่งที่ใส่ใจปัญหาและดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อคนรุ่นต่อไป ด้วยเหตุนี้ แบรนด์เลือกที่จะใช้ Bioplastic ซึ่งมีส่วนประกอบหลักของข้าวโพด อ้อย และฟางข้าวเป็นวัสดุในการผลิตเคส เพราะมีคุณสมบัติย่อยสลายจนหมดสิ้น ไม่มีไมโครพลาสติกปนเปื้อนอยู่ในธรรมชาติเหมือนกับเคสพลาสติกทั่วไป และยังมีกระบวนการย่อยสลายหลักๆ ในการผลิตตามมาตรฐาน ISO 17088 ที่สามารถย่อยสลายได้ง่ายและปลอดภัยจากสารปนเปื้อนอันตราย เช่น สารตะกั่ว เป็นต้น รวมไปถึงยังมีมาตรฐาน OK Compost HOME, DIN CERTCO EN 13432 มาตรฐานกระบวนการย่อยสลายขยะจากครัวเรือนใช้วิธีทางธรรมชาติ เช่น ฝังดิน ซึ่งเป็นตัวรับรองว่าเคส Verdicy นั้นจะสามารถย่อยสลายได้จริง นอกจากเคสโทรศัพท์แล้ว […]
Ordinary and Extraordinary ความ (ไม่) ธรรมดา
ในเมืองที่แสนวุ่นวาย ผู้คนมากมายอย่างกรุงเทพมหานคร ผมเลือกที่จะมองหาความธรรมดาที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายผ่านการตีความด้วยภาพถ่าย ด้วยการเชื่อมโยงระหว่างธรรมชาติและสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น เพราะเมื่อไหร่ที่มันอยู่ด้วยกันอย่างถูกที่ถูกเวลา ทั้งหมดจะส่งเสริมกันและกัน กลายเป็นเสน่ห์ที่มองได้ไม่เบื่อ หากคุณมีชุดภาพถ่ายที่อยากจะร่วมแชร์ในคอลัมน์ Urban Eyes สามารถส่งมาได้ที่ [email protected] หรือ [email protected]
Infinite Cafe Powered by Banpu NEXT with Craze Cafe ป็อปอัปคาเฟ่พลังงานสะอาด 100% วันนี้ – 31 ม.ค. 68 ที่ลานหน้าจามจุรีสแควร์
สำหรับใครที่พลาด ‘Infinite Cafe’ จาก Banpu NEXT ป็อปอัปคาเฟ่พลังงานสะอาด 100 เปอร์เซ็นต์ แห่งแรกของไทยที่เคยเปิดให้บริการในสวนเบญจกิติไปเมื่อกลางปี 2566 ที่ผ่านมา ก็ไม่ต้องเสียดายไป เพราะตอนนี้ Infinite Cafe กลับมาเปิดอีกครั้งแล้วที่ลานหน้าจามจุรีสแควร์ Infinite Cafe เกิดจากการที่ Banpu NEXT จับมือกับ Craze Cafe เดินเกม Infinite Model ด้วยการเปิดให้บริการป็อปอัปคาเฟ่พลังงานสะอาด เพื่อตั้งใจทำให้กาแฟที่เราบริโภคทุกวันมีส่วนช่วยลดการปล่อยคาร์บอน หลังจากพบว่าการเปิดป็อปอัปเดิมที่สวนเบญฯ สามารถลดการปล่อย CO2 ไปได้เกือบ 5,000 กิโลกรัม โดยในครั้งนี้ Banpu NEXT และ Craze Cafe ได้ร่วมกันเนรมิตป็อปอัปคาเฟ่พลังงานสะอาดใจกลางกรุง โดยนำ Net-Zero Solutions มาใช้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อยกระดับการใช้ชีวิตของผู้คนให้สมาร์ตและเข้าถึงพลังงานสะอาดได้ง่ายขึ้น มากกว่านั้น ยังมีการร่วมส่งเสริมพื้นที่สามย่านสมาร์ทซิตี้ด้วยโซลาร์รูฟท็อปพร้อมแบตเตอรี่ เพื่อผลิตและกักเก็บไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ไว้ใช้งานได้ตลอดวันโดยไม่ต้องพึ่งพาโครงข่ายไฟฟ้าหลัก (100% Off-Grid) รวมถึงมีดิจิทัลแพลตฟอร์มสำหรับบริหารพลังงาน อาทิ […]
‘Photography Never Lies – ภาพถ่ายไม่โกหก’ นิทรรศการที่จะตั้งคำถามว่า รู้ได้อย่างไร ภาพถ่ายตรงหน้าคือภาพของความจริง
ว่ากันว่าภาพถ่ายคือเครื่องมือที่สะท้อนความเป็นจริงอย่างตรงไปตรงมา สิ่งที่อยู่ในภาพคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ไม่จ้อจี้ แต่มันจริงเหรอ ‘Photography Never Lies – ภาพถ่ายไม่โกหก’ คือนิทรรศการที่ภัณฑารักษ์ ‘อัครา นักทำนา’ รวบรวมผลงานจากศิลปินนานาชาติกว่า 13 ท่านที่มาท้าทายความเชื่ออันยาวนานของเราว่า ‘ภาพถ่ายคือเครื่องมือสะท้อนความจริง’ ไม่ว่าจะเป็นภาพที่ผ่านการซ้อนทับเติมแต่งองค์ประกอบ ภาพที่สรรค์สร้างจาก AI หรือแม้แต่ภาพที่เกิดจากการถ่ายธรรมดาๆ อย่างที่เราคุ้นเคย ผลงานภาพในนิทรรศการล้วนเกิดขึ้นมาผ่านกระบวนการสร้างสรรค์ดัดแปลง และมุมมองเฉพาะตัวของศิลปิน ซึ่งสิ่งนี้ชวนเรากลับมาทบทวนบทบาทของภาพถ่ายกันอีกครั้ง เพราะภาพถ่ายอาจไม่ใช่เพียงภาพสะท้อนความจริง แต่เป็นเครื่องมือแสดงความคิดและตัวตนของศิลปินหลังเลนส์ หรือเป็นเครื่องมือรับใช้ของใครบางคน พิสูจน์ความจริงกับตาของตัวเองในนิทรรศการ Photography Never Lies – ภาพถ่ายไม่โกหก จัดแสดงตั้งแต่วันนี้ – 8 กันยายน 2567 ที่ห้องนิทรรศการหลัก ชั้น 7 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ ‘สาววาย’ กู้โลก การเดินทางของสื่อบันเทิงวายในอุตสาหกรรมบันเทิงไทยที่มีทั้งได้และเสีย
Disclaimer : บทความนี้เขียนโดยคนที่เรียกตัวเองว่าสาววายในอดีต แต่ปัจจุบันนิยามตัวเองว่าผู้วิเคราะห์พฤติกรรมอันมีพิรุธของเด็กหนุ่มสองคน ถ้าข้อมูลตกหล่นขอให้ทักมาหยิกหลังกันก่อนได้ค่ะ แกๆ เป็นอะไรอะอ๋อ เป็นสาววาย ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่คำว่า ‘สาววาย’ กลายเป็นคำตอบของทุกสิ่งที่ใช้อธิบายเหตุการณ์ใดก็ตามที่ดูไม่เมกเซนส์ให้ปิดจบได้ จนเกิดเป็นวลี ‘สาววายกู้โลก’ ที่ช่วยชุบชีวิตไทม์ไลน์สุดเคร่งเครียดให้มีสีสัน แต่กว่าสาววายจะเชิดหน้าชูตา พูดเล่นติดตลกได้อย่างทุกวันนี้ ก็ต้องล้มลุกคลุกคลานมาไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการหลบๆ ซ่อนๆ ส่งซิกรหัสลับกับคนขายหนังสือเหมือนลักลอบส่งของผิดกฎหมาย ต้องฟันฝ่ากับคำว่าไม่ผ่านกองเซนเซอร์ ต้องเจอกับการตื่นรู้เพื่อข้ามผ่านจากสาววายสมองไหลมาเป็นสาววายคุณภาพ นอกจากตัวแฟนคลับที่เติบโตขึ้น สื่อบันเทิงในรูปแบบวายหรือสื่อที่นำเสนอภาพชายรักชายและหญิงรักหญิงก็เดินทางมาไกลไม่ต่างกัน จนตอนนี้นับเป็นภาพจำของประเทศไทยที่หลายคนมองว่านี่แหละคือ ‘ซิกเนเจอร์ เลเยอร์คัสตอม ซอฟต์พาวเวอร์ ออนเดอะร็อก เฮลตี้’ คอลัมน์ Report ประจำ Pride Month เลยขอชวนมาสมองไหล ส่องการเดินทางของอุตสาหกรรมวายที่เติบโตและเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย ไปจนถึงการถกเถียงเรื่องข้อดีข้อเสียของการมีอยู่ของมัน เปิดไทม์ไลน์ สาววาย (พี่จะอยู่) ทุกยุค ‘สาววาย’ เป็นคำที่ใช้เรียกกลุ่มคนที่ชื่นชอบการเสพสื่อประเภทชายรักชาย (Boys Love : BL) หรือหญิงรักหญิง (Girls Love : GL) มีต้นกำเนิดมาจากประเทศญี่ปุ่น โดยถอดเอาตัวอักษรตัวแรกของคำว่า […]
Acousticity | Whal & Dolph ดีใจรึเปล่า Live Session @GalileOasis
ยินดีต้อนรับทุกคนเข้าสู่ Acousticity รายการเพลงครั้งแรกของ Urban Creature ที่จะชวนศิลปินมาเล่นเพลงเวอร์ชัน Acoustic ในพื้นที่สาธารณะของเมือง พร้อมอบอวลไปด้วยเสียงบรรยากาศของพื้นที่นั้น และรับรู้เบื้องหลังภายใต้เสียงเพลงที่เราได้ยิน ฟังเพลง ดีใจรึเปล่า (D JAI) จาก Whal & Dolph ศิลปินจากค่าย What The Duck กับพื้นที่ที่สำคัญของ ‘ปอ’ ณ GalileOasis โรงละครใจกลางย่านราชเทวี พื้นที่โอเอซิสสีเขียวที่มีความสำคัญต่อชีวิตของปอ ทั้งเป็นสถานที่มาเดตกับภรรยาตั้งแต่ยังเป็นแฟน เป็นสถานที่ที่ใช้จัดงานแต่งงาน อีกทั้งยังถ่าย Music Video ที่นี่อีก Urban Creature เลยขอชวน Whal & Dolph มาเล่นในพื้นที่นี้อีกครั้งเป็นการบันทึกความทรงจำ พบ Acousticity ทุกเดือนตลอดปีนี้ แฟนๆ ศิลปินอยากฟังเพลงไหน สถานที่ใด คอมเมนต์ไว้ได้เลย
Romance in Bloom ดินเนอร์แบบบริทิชพร้อมชมงานศิลปะจาก PHKA Studio วันนี้ – 30 มิ.ย. 67 ที่ Café Wolseley Bangkok
สำหรับใครที่อยากลิ้มรสอาหารสไตล์บริทิชส่งตรงจากต้นตำรับ ในบรรยากาศสุดคลาสสิกที่มาพร้อมงาน Installation และร่วมเวิร์กช็อปทำช่อดอกไม้ เราอยากชวนมาที่ ‘Café Wolseley Bangkok’ เพราะตอนนี้ร้านอาหารต้นตำรับสไตล์บริทิชจากประเทศอังกฤษ ในโรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพฯ มีเมนู Prix Fixe 3 คอร์สล่าสุดในธีม Romance in Bloom ที่เปิดโอกาสให้เราได้อิ่มอร่อยไปกับเมนูไฮไลต์แสนสดชื่น เลือกทานได้ 3 เมนูจาก 6 เมนูตั้งต้น โดยจะเริ่มเสิร์ฟจากอาหารเรียกน้ำย่อย อาหารจานหลัก และจบด้วยเมนูขนมหวาน แถมในขณะรับประทานอาหาร เรายังเพลิดเพลินไปกับกลิ่นอายความเป็นบริทิชผ่านงาน Installation ไม้ประดับที่ได้แรงบันดาลใจจาก Chelsea Flower Show งานเทศกาลดอกไม้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดประจำปีของประเทศอังกฤษ ในคอนเซปต์ Sustainability ผ่านการเลือกวัสดุที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมอย่างการไม่ใช้ Floral Foam หรือโอเอซิส จากฝีมือนักออกแบบจัดวางดอกไม้ (Floral Designer) ของ ‘PHKA Studio’ ในส่วนบริเวณโถงกลางร้าน ทางสตูดิโอเลือกใช้ดอกไม้ซิกเนเจอร์ของร้านอย่าง ‘ดอกกล้วยไม้ฟาแลนนอปซิส’ (White Phalaenopsis) ที่ให้ความหมายเรื่องความรักและโชคลาภ […]
‘กินที่ชอบ บาลานซ์ที่ใช่ ไปกับเนสท์เล่’ กิจกรรมที่ชวนทุกคนมาดูแลตัวเองอย่างยั่งยืน ด้วยการกินอยู่อย่างสมดุล เพื่อสุขภาพกายและใจที่ดี
เทรนด์การดูแลสุขภาพกำลังมา โดยเฉพาะเรื่องของอาหารการกินที่ดีต่อร่างกาย แต่ด้วยรูปแบบการใช้ชีวิตของคนในปัจจุบัน อาจไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะควบคุมหรือกินอาหารเพื่อสุขภาพได้ทุกมื้อ ‘เนสท์เล่’ เข้าใจถึงข้อจำกัดในการใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน และต้องการให้ผู้คนยังได้กินอาหารอร่อยเพื่อฮีลใจในแต่ละวันไปพร้อมๆ กับการดูแลสุขภาพ จึงได้จุดประกายคอนเซปต์ ‘การกินอยู่อย่างสมดุล’ หรือ Balanced Diet เพื่อให้ทุกคนมีสุขภาพกายและใจที่ดีอย่างยั่งยืน ผ่านเวิร์กชอป ‘กินที่ชอบ บาลานซ์ที่ใช่ ไปกับเนสท์เล่’ ที่มาพร้อมความรู้จากนักโภชนาการและเคล็ดลับการกินอาหารที่ไม่ว่าใครก็ทำได้ สำหรับการกินอยู่อย่างสมดุลนั้นคือการกินอาหารที่หลากหลายและเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในปริมาณที่เหมาะสม และสามารถกินอาหารที่ชอบ เช่น ของหวาน ขนม เบเกอรี่ ฯลฯ ได้ในสัดส่วนที่พอเหมาะ โดยไม่ต้องตัดหรืองดกินอะไรไป การกินแบบนี้จะเป็นการกินที่ไม่เครียดจนเกินไป ทำให้เราสามารถทำได้นาน สุขภาพก็จะดีแบบยั่งยืน เนสท์เล่ได้แบ่งปันวิธีการกินอยู่อย่างสมดุลผ่านเทคนิคง่าย ๆ อย่าง ‘บวก แบ่ง แพลน’ เน้นความพอดีทั้งประเภทและปริมาณอาหารให้เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย เพื่อช่วยปรับการกินให้สมดุลทีละน้อย จนกลายเป็นนิสัยและนำไปปรับใช้ได้กับทุกไลฟ์สไตล์ ดังนี้ ไม่เพียงแต่ความรู้ที่นำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้เท่านั้น แต่ภายในงานยังมีกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้รีเช็คพฤติกรรมในแต่ละวันของเราว่าสมดุลและดีต่อร่างกายของเราหรือยัง และควรปรับเปลี่ยนอย่างไรให้ดีกับตัวเอง รวมไปถึงการได้ลองทำอาหารเมนู ‘ยำคอหมูย่างกราโนล่า’ ที่ใช้เทคนิค ‘บวก (Food Pairing)’ จับคู่วัตถุดิบที่ให้ความหลากหลายได้ครบทุกหมู่ อีกทั้งเมนูนี้ยังเสริมด้วยคุณประโยชน์จากกราโนล่าธัญพืชเต็มเมล็ด ซึ่งเป็นแหล่งของใยอาหาร ช่วยชะลอการดูดซึมไขมันและคอเลสเตอรอล และยังช่วยให้อิ่มท้องได้นานอีกด้วย […]
แคมเปญรณรงค์ให้หยุดความรุนแรงจากการโจมตีผู้บริสุทธิ์ที่ปาเลสไตน์ ผ่านข้อความ ‘All Eyes On Rafah’
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา บนโลกโซเชียลมีเดียได้มีการแชร์ทั้งข้อความและรูปภาพต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ความขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์ เนื่องจากตอนนี้สถานการณ์ทวีความรุนแรงขึ้นใน Rafah (ราฟาห์) เมืองทางตอนใต้ของปาเลสไตน์ที่อยู่ติดกับชายแดนอียิปต์ ซึ่งเป็นเขตมนุษยธรรมหรือพื้นที่เดียวที่มีการตกลงว่าจะไม่มีการโจมตี โดยชาวปาเลสไตน์กว่าล้านคนที่หนีการโจมตีได้อพยพไปยังราฟาห์เพื่อความปลอดภัยของตัวเองและครอบครัว แม้ว่าศาลโลกจะมีคำสั่งให้หยุดการโจมตี แต่ทางกองทัพอิสราเอลยังเลือกเดินหน้ามาถึงค่ายลี้ภัยในราฟาห์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจำนวนมาก มากไปกว่านั้น โรงเรียน โรงพยาบาล หรือแม้แต่รถขนเสบียงก็เสียหายจนทำให้ขาดแคลนทั้งน้ำ อาหาร รวมไปถึงบริการสาธารณสุขที่จะช่วยเหลือผู้บาดเจ็บอีกด้วย นี่จึงกลายเป็นที่มาของแคมเปญ #AllEyesOnRafah บนโลกโซเชียล เพื่อเรียกร้องให้ทุกคนให้ความสนใจและหวังว่าจะเป็นการกดดันให้หยุดความรุนแรงที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะบนอินสตาแกรมที่หลายคนใช้เป็นแพลตฟอร์มในการกระจายข่าวผ่านรูปภาพเต็นท์จำนวนมากเรียงรายอยู่บนพื้นที่ขนาดใหญ่ พร้อมกับข้อความ ‘All Eyes On Rafah’ ซึ่งเป็นภาพที่สร้างขึ้นจาก AI อย่างไรก็ตาม หลายคนได้หันมาใช้ภาพเหตุการณ์จริงหรือภาพ Infographic ที่อธิบายเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในราฟาห์ และยังคงกระจายข่าวนี้ให้แพร่หลายต่อไป โดยหวังว่าจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยหยุดความรุนแรงต่อผู้บริสุทธิ์ได้ นอกจากช่วยกระจายข่าวแล้ว ชาวไทยยังช่วยเหลือชาวปาเลสไตน์และผู้ประสบภัยในพื้นที่ความขัดแย้งได้ ผ่านการติดตามข้อมูลต่างๆ ทาง Ummatee Thailand ทั้งการบริจาคโดยตรงหรือซื้อสินค้า เพื่อนำรายได้ส่วนหนึ่งไปบริจาคและช่วยเหลือผู้ประสบภัยในปาเลสไตน์ Sources :Al Jazeera | tinyurl.com/mtrbnaw2NPR | tinyurl.com/zn8m3zebReuters | tinyurl.com/bdct537bUmmatee Thailand […]