LATEST
กรุงเทพฯ ติดอันดับ 5 เมือง ‘Work ไร้ Balance’ ของโลก
คุณเคยอยู่ในสถานการณ์เจองานด่วน ต้องแก้เดี๋ยวนี้! หรือโดนทักไลน์มาตอนสามทุ่ม ช่วยทำงานให้พี่นิดหนึ่งได้ไหม แน่นอนละว่าจังหวะนี้คงปฏิเสธไม่ได้ พร้อมเปิดคอมฯ ทำงานงกๆ จนเงยหน้ามาอีกที อ้าว! เที่ยงคืนแล้ว ทำไมเรายังไม่นอน ไม่กินข้าว และยังไม่ได้พักผ่อนเลย รู้ตัวอีกทีก็หมดวันซะแล้ว บางคนอาจจะมองว่า การทำงานหนัก ทำงานเกินเวลานิดหน่อยคงไม่เป็นไร ไม่ว่าจะที่ไหนก็เป็นกันทั้งนั้น แต่ความเป็นจริงแล้วกรุงเทพฯ ติดอันดับรั้งท้าย 5 เมืองสุดท้ายที่มี ‘Work-life Balance’ หรือเมืองที่มีความสมดุลระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิต อ้างอิงข้อมูลจาก Kisi บริษัทให้คำปรึกษาด้านการทำงานในปี 2022 โดยเก็บข้อมูลทั้งหมด 100 ประเทศทั่วโลก และกรุงเทพฯ ได้อันดับที่ 96 สำหรับอันดับที่ 1 คือ เมืองออสโล ประเทศนอร์เวย์ ได้ 100 คะแนนเต็ม อันดับที่ 2 เมืองเบิร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้ 99.46 คะแนน และอันดับที่ 3 คือ เมืองเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ […]
Bangkok Zombie Town ใช้ชีวิตแบบไร้ชีวิตในเมืองกรุง
ปฏิเสธไม่ได้ว่ากรุงเทพฯ คือพื้นที่ในการไขว่คว้าหาโอกาสและใช้ชีวิตของใครหลายคน เพราะที่นี่เต็มไปด้วยความหลากหลาย ความบันเทิง และสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เป็นศูนย์กลางความเจริญในทุกๆ ด้าน จึงไม่แปลกใจที่คนจำนวนไม่น้อยจะมองว่า กรุงเทพฯ กลายเป็นภาพแทนประเทศไทยไปเสียแล้ว แต่สุดท้ายการใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงอันศิวิไลซ์แห่งนี้อาจไม่ได้สนุกหรือน่าตื่นเต้นอย่างที่หลายคนวาดฝันไว้ และจบอยู่ที่การไม่ได้ใช้ชีวิตจริงๆ เพราะมัวแต่กังวลเรื่องเวลาเดินทางที่เผื่อเท่าไรก็ไม่เคยพอ ค่าครองชีพที่สูงจนแซงรายรับที่ได้ในแต่ละเดือน เป็นความกดดันที่ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ต้องก้มหน้าก้มตาใช้ชีวิตแบบไร้ชีวิตชีวา ทำให้ตอนนี้กรุงเทพฯ แทบไม่ต่างอะไรกับเมืองที่เต็มไปด้วยซอมบี้ ที่ต้องหาทางมีชีวิตให้รอดไปวันๆ ท่ามกลางความเครียดที่อยู่รอบตัว การฆ่าตัวตายสูงขึ้นเมื่อเกิดวิกฤต หากพูดถึงความเครียด สิ่งที่ตามมามักจะเป็นข่าวการฆ่าตัวตายที่เราเห็นกันอยู่บ่อยครั้ง แม้จะไม่ถี่ทุกวัน แต่จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลกนั้นพบว่า ทุกปีมีจำนวนผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายเฉลี่ย 1 คน ทุกๆ 40 วินาที ซึ่งรายงานของ World Population Review เผยว่า อัตราฆ่าตัวตายของไทยในปี 2565 นั้นสูงเป็นอันดับ 2 ในอาเซียน โดยตัวเลขอยู่ที่ 8.8 รายต่อประชากรหนึ่งแสนคน ที่น่าสังเกตก็คือ จำนวนผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายในแต่ละปีสูงขึ้นเมื่อเกิดวิกฤตต่างๆ อย่างการทำรัฐประหารในปี 2557 ส่งผลให้ช่วง 1 – 2 ปีให้หลังมีจำนวนผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายสูงถึง 6.47 คน/ประชากรหนึ่งแสนคน/ปี และ […]
ประเมินอาการซึมเศร้าเบื้องต้นผ่านแอปพลิเคชัน ‘DMIND’ มีหมอ AI ช่วยวิเคราะห์ภาพและเสียง
ปฏิเสธไม่ได้ว่า การฆ่าตัวตายถือเป็นปัญหาที่น่ากังวลของประเทศไทย ซึ่งจำนวนคนที่พยายามปลิดชีพตัวเองยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตอันใกล้ เนื่องจากวิกฤตต่างๆ อย่างเศรษฐกิจและโรคระบาด ที่ทำให้หลายคนเครียดจนรับมือไม่ไหว อีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนฆ่าตัวตายเกิดจาก ‘โรคซึมเศร้า’ โดยข้อมูลจากกรมสุขภาพจิตเผยว่า ในปี 2564 ประเทศไทยมีผู้ป่วยซึมเศร้าสูงถึง 1.5 ล้านคน เป็นจำนวนที่สูงเกินกำลังของจิตแพทย์ ทำให้มีผู้ป่วยเพียง 28 คนใน 100 คนเท่านั้นที่ได้เข้ารับการรักษา เพราะเหตุนี้ ทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและกรมสุขภาพจิต จึงมองช่องทางเพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้ง่ายขึ้นผ่าน ‘DMIND’ แอปพลิเคชันประเมินอาการซึมเศร้าเบื้องต้น ที่แม่นยำ เข้าถึงง่าย ใช้งานสะดวก และยังช่วยลดภาระแพทย์และนักจิตวิทยาในการดูแลผู้ป่วยโรคซึมเศร้าอีกด้วย โดยแอปพลิเคชัน DMIND เกิดขึ้นจากความร่วมมือของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ, คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ, กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และบริษัท Agnos Health พัฒนานวัตกรรมเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดจำนวนผู้ป่วยซึมเศร้าในประเทศไทย ทั้งนี้ ฟังก์ชันของ DMIND ไม่ได้ทำหน้าที่แทนจิตแพทย์โดยตรง แต่มาช่วยคัดกรองผู้ป่วยก่อนเข้าสู่การรักษาในลำดับต่อไป การทำงานของแอปฯ DMIND จะแบ่งเป็นสองส่วน เริ่มที่การตอบแบบสอบถามคัดกรองและประเมินตัวเอง ส่วนใครอยากตรวจสอบอาการเชิงลึก ก็มีฟังก์ชันให้เปิดกล้องบันทึกเสียงและภาพเพื่อประเมินและพูดคุยกับ ‘หมอพอดี’ […]
Urban Eyes 08/50 เขตประเวศ
เขตประเวศเป็นเขตที่ห่างไกลจากชาวธนบุเรี่ยนอย่างเราพอสมควร ภาพแรกๆ ของเขตนี้ที่เรานึกถึงคือ รถติดหน้าซีคอนฯ และสวนหลวง ร.9 ทีนี้พอมาศึกษาอย่างจริงจังว่าเขตนี้มีอะไรบ้าง ก็แอบตกใจที่เพิ่งรู้ว่าเขตนี้กินพื้นที่ขนาดใหญ่มากๆ เราเดินทางด้วยเท้าไม่ได้ ต้องใช้วิธีการขับรถตระเวนเอา ถึงจะได้ไปทั่วทั้งเขต โชคดีที่มีเพื่อนเจ้าถิ่นชื่อ ‘หมอปิง’ มาคอยแนะนำเพิ่มเติมด้วย หลังจากเก็บเกี่ยวข้อมูลและได้ไปสำรวจเขตประเวศมา เราพบว่าเขตนี้มีถนนกาญจนาภิเษกที่ตัดผ่านทางด้านตะวันออกของพื้นที่ ทำให้การเดินทางไปฝั่งนั้นไม่สะดวกสบายนัก ต้องขับรถอ้อมกันสักหน่อย แต่ขณะเดียวกันก็มีจุดเด่นตรงสวนเรียนรู้ป่าในกรุง ที่มีการสร้างสิ่งแวดล้อมเสมือนว่าเราอยู่ในป่าจริงๆ โดยที่ผู้เยี่ยมชมสามารถเดินบนทาง Sky Walk ไปได้รอบสถานที่ และมีหอคอยไว้ชมวิวป่าจากมุมสูงได้อีก ถ้าทางสวนจัดอีเว้นต์บ่อยๆ น่าจะทำให้สถานที่มีชีวิตชีวามากขึ้น ส่วนทางด้านตะวันตกของเขตประเวศก็เขียวขจีไปด้วยสวนสาธารณะที่ใหญ่มากๆ ของกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็นสวนหลวง ร.9 หรือบึงหนองบอน ราวกับเป็นตัวแทนพื้นที่ด้านธรรมชาติของเมืองเลยทีเดียว เล่นเอาเราอยากมาพักผ่อนดื่มด่ำกับสายลมแสงแดดที่นี่บ่อยๆ เลย พอตกเย็นพลบค่ำก็มีตลาดนัดรถไฟข้างหลังซีคอนสแควร์ให้นั่งชิลล์ๆ นอกจากมีร้านอาหารเพียบแล้ว ก็มีข้าวของให้เลือกช้อปปิ้งมากมายก่ายกอง และอีกความน่าสนใจคือ ข้างในซีคอนสแควร์มีแกลเลอรี่ชื่อ Hub of Photography (HOP) ที่จัดแสดงนิทรรศการและผลงานของศิลปินมากหน้าหลายตาหมุนเวียนกันไป เหมาะกับคนที่อยากหาแรงบันดาลใจสุดๆ ถึงแม้ว่าเราจะยังไปฝั่งเหนือและใต้ของเขตนี้ไม่ทั่วเท่าไหร่ แต่ระหว่างทางที่เดินทางก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศความเป็นชานเมืองกึ่งๆ เมือง บางจุดให้ความรู้สึกเหมือนขับรถอยู่ต่างจังหวัดด้วยซ้ำ เป็นความหลากหลายในแบบเฉพาะตัวของเขตประเวศดี
ทางออกสายปาร์ตี้ที่รักษ์โลก ‘SPARK’ ดอกไม้ไฟออร์แกนิก ไม่เป็นอันตรายและย่อยสลายได้
การจุด ‘ดอกไม้ไฟ (Firework)’ คงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในเกือบทุกงานเทศกาลเฉลิมฉลองครั้งสำคัญ แต่ท่ามกลางความสวยงามของดอกไม้ไฟที่แข่งกันอวดสีสันบนท้องฟ้า ล้วนเต็มไปด้วยสารเคมีที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองเมื่อโดนผิวหนัง และเสียงที่ดังก็ยังรบกวนผู้คนและสร้างความหวาดกลัวให้กับเหล่าสัตว์เลี้ยงด้วย เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องสารเคมี เสียงดัง และทำให้ดอกไม้ไฟเป็นสัญลักษณ์ของงานเฉลิมฉลองต่อไปได้ ‘Daan Roosegaarde’ ศิลปินและนักประดิษฐ์ชาวดัตช์ ผู้ก่อตั้ง ‘Studio Roosegaarde’ จึงได้คิดค้น ‘SPARK’ ดอกไม้ไฟแบบออร์แกนิกขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหานี้โดยเฉพาะ Daan ดึงเอาแรงบันดาลใจจากหิ่งห้อย ฝูงนก และภาพดวงดาวในกาแล็กซี รวมถึงเทคโนโลยีมาช่วยในการออกแบบ จนเกิดเป็นประกายไฟนับพันบนท้องฟ้า ที่ทำมาจากวัสดุที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ มั่นใจได้ว่าจะไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างแน่นอน นอกจากนี้ SPARK ยังไม่ก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงด้วย เนื่องจากบรรดาดอกไม้ไฟจะถูกปล่อยขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างเงียบเชียบภายในอาณาเขต 50 x 30 x 50 เมตร หรือ 75,000 ลูกบาศก์เมตร และเคลื่อนที่ไปมาบนอากาศโดยอาศัยกระแสลมในการพัดพาเท่านั้น นวัตกรรมนี้จึงอาจเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะทำให้เราทุกคน สามารถเฉลิมฉลองเทศกาลได้แบบจัดเต็ม ควบคู่กับการสร้างความยั่งยืนให้กับสิ่งแวดล้อมด้วย ดูวิดีโอดอกไม้ไฟ SPARK ได้ที่ t.ly/B6a9 Sources :Alethea Magazine | t.ly/YcJOArchinect | […]
30 ปีผ่านไปไวเหมือนโกหก ‘รถไฟความเร็วสูง’ ของไทย ต้องรออีกนานแค่ไหนกว่าจะได้ออกเดินทาง
หลังจากเริ่มสร้างในปี 2559 รถไฟสายลาว-จีน ก็สามารถเปิดให้บริการได้ในวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2564 รถไฟสายนี้เชื่อมต่อระหว่างนครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว-คุนหมิง มณฑลยูนนาน ประเทศจีน มีระยะทางกว่า 1,035 กม. ใช้งบก่อสร้างราว 2 แสนล้านบาท วิ่งด้วยอัตราเร็ว 160 – 200 กม./ชม. การเกิดขึ้นจริงของรถไฟสายนี้ทำให้การเดินทางสะดวกรวดเร็วมากขึ้น ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศให้เติบโต รวมถึงการส่งสินค้าต่างๆ ระหว่างประเทศจีนและประเทศไทยก็จะได้ใช้ประโยชน์จากเส้นทางสายลาว-จีนนี้ร่วมกัน ที่อินโดนีเซีย ในปี 2559 ก็เริ่มก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงเส้นทางจาการ์ตา-บันดุง ระยะทาง 142 กม. เพื่อหวังใช้ประโยชน์กระตุ้นพัฒนาเศรษฐกิจ ข่าวคราวล่าสุด ทางจีนได้ส่งรถไฟความเร็วสูงที่วิ่งได้ 350 กม./ชม. ถึงอินโดฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา โครงการรถไฟความเร็วสูงของอินโดฯ จึงน่าจะเปิดบริการได้ราวสิ้นปี 2566 ส่วนประเทศไทย เริ่มก่อสร้างทางรถไฟความเร็วสูงสายแรกของประเทศในปี 2560 เพื่อพัฒนา ‘ระบบคมนาคมขนส่งทางราง’ ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนสำคัญที่อยู่ในยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561 […]
วิธีเตรียมตัวตาย | Now You Know
เตรียมตัวตายซะเถอะ! ใจเย็นก่อน นี่ไม่ใช่คำขู่ แต่เป็นคำเชิญให้ทุกคนมาเตรียมความพร้อมหลังการใช้ชีวิตในเมืองที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนระดับที่เดินๆ อยู่คุณอาจจะตกท่อตายโดยไม่รู้ตัว ผสมกับแนวคิดสมัยใหม่ที่หลายคนวางแผนการใช้ชีวิต (และหลังใช้ชีวิต) กันมากขึ้น โดยที่ไม่เป็นภาระคนอื่น สบายใจเรา สบายใจคนรอบข้าง หลังจากพูดคุยกับ ‘สุริยาหีบศพ’ ที่มีชื่อเสียงในฐานะผู้ประกอบโลงและรับจัดงานศพทุกประเภท Now You Know ขอพาคุณมาเตรียมความพร้อมก่อนตาย รับรองว่าไม่แพงอย่างที่คิดและใช้ได้จริง ตายไปไม่เป็นภาระคนอื่นแน่นอน
เดนมาร์กพัฒนา Land on Water ฐานสำหรับสร้างบ้านลอยน้ำที่ยืดหยุ่นและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ในประเทศเดนมาร์ก สตูดิโอสถาปัตยกรรมที่เชี่ยวชาญด้านการเดินเรือชื่อว่า ‘MAST’ ผุดไอเดียพัฒนา ‘Land on Water’ หรือระบบสิ่งปลูกสร้างที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ ที่มีความยืดหยุ่นสูง เคลื่อนย้ายปรับเปลี่ยนขยับขยายได้ และยังสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมด้วย การออกแบบ Land on Water ได้แรงบันดาลใจมาจากเกเบียน (Gabion) ซึ่งเป็นวิธีการหนึ่ง ในอุตสาหกรรมการก่อสร้าง ลักษณะเป็นโครงตาข่ายที่ช่วยสร้างฐานรากที่แข็งแรงและต้นทุนต่ำ MAST จึงนำไอเดียมาปรับใช้กับวัสดุพลาสติกเสริมแรงที่หาได้ในท้องถิ่น เช่น ทุ่นจากอุตสาหกรรมประมง ขวดหรือภาชนะพลาสติกเก่า และอื่นๆ มารีไซเคิลสร้างเป็น ‘ฐาน’ ในรูปแบบโมดูลาร์ (Modular) คือสามารถเชื่อมต่อฐานลอยน้ำได้อย่างไม่จำกัด จะปรับเปลี่ยนต่อเติมรับน้ำหนักพื้นที่ได้ตามสิ่งปลูกสร้างด้านบน จะสร้างบ้านเรือน ชุมชน สำนักงาน อาคาร หรือสวนสาธารณะก็ออกแบบได้ตามความต้องการ Land on Water ยังส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ โดยระหว่างลอยอยู่ในน้ำ ฐานที่ออกแบบมาจะกลายเป็นที่อยู่อาศัยและแหล่งหากินสำหรับสัตว์และพืชใต้น้ำ ช่วยสร้างระบบนิเวศให้เจริญเติบโตมากยิ่งขึ้น และเป็นทางเลือกใหม่ที่แตกต่างไปจากการใช้โป๊ะพลาสติก โป๊ะเหล็ก หรือโป๊ะที่ทำจากคอนกรีต เพราะนอกจากเคลื่อนย้ายยากแล้ว สีที่ใช้เคลือบวัสดุมักเป็นเคมีที่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมด้วย Marshall Blecher และ Magnus Maarbjerg ผู้ร่วมก่อตั้งสตูดิโอทั้งสอง […]
ฟังเรื่องเล่าจากชาว ‘บ้านปูน’ แหล่งผลิตสรรพสินค้าเมดอินฝั่งธนบุรี
ในวันที่สะพานพระราม 8 พัฒนาพื้นที่จนกลายเป็นพับบลิกสเปซอีกแห่งของชาวฝั่งธนฯ รวมถึงนักเรียน-นักศึกษาในละแวกใกล้เคียง ที่หากแดดร่มลมตกเมื่อไร ก็มักพากันมานั่งทอดสายตาที่สวนริมแม่น้ำ ยืดแข้งขาออกกำลังกายที่สวนสาธารณะ เล่นฟุตซอลในสนามใกล้ๆ หรือลานกว้างใต้สะพานที่แปรเปลี่ยนเป็นลานสเก็ตบอร์ดให้เด็กๆ ได้ออกมาวาดลวดลายโชว์ลีลากันสนุกสนานทุกค่ำคืน ทว่าหากไม่ใช่คนที่คลุกคลีอยู่แถบนี้อาจไม่รู้เลยว่า พื้นที่ติดกันนี้มีชุมชนโบราณตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย ที่โดดเด่นเรื่องงานหัตถกรรมต่างๆ และของกินของใช้นานาชนิดตั้งอยู่ในชื่อ ‘บ้านปูน’ ขณะที่น้ำเหนือกำลังไหลลงมา สมทบกับน้ำทะเลหนุนสูง น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเริ่มปริ่มขอบกระสอบทรายใต้สะพานพระราม 8 เราเริ่มต้นทริปวันนี้ที่ด้านหน้าแนวกำแพงเก่า ปูนที่เคยฉาบหลุดล่อนออกมาจนเห็นแนวอิฐก่อ ค่อยๆ ผุพังทลายไปตามกาลเวลา เหลือเพียงเรื่องราวความเป็นมาที่แทบจะเลือนหาย ติดอยู่บนป้ายสีซีดจาง ‘กำแพงวังเจ้าอนุวงศ์’ หรือที่เรียกกันภาษาปากว่าวังเจ้าลาว เป็นหลักฐานของการเข้ามาอยู่อาศัยของเจ้านายจากกรุงเวียงจันทน์ ประเทศลาว ที่มาปลูกบ้านเรือนประทับยามที่ต้องเดินทางเข้ามาทำธุระยังกรุงเทพฯ ในช่วงรัชกาลที่ 3 ถือเป็นแลนด์มาร์กสำคัญหนึ่งที่อยู่คู่บ้านย่านนี้ จากกำแพงวังในวันนั้น กลายเป็นเส้นแบ่งอาณาเขตของชุมชนบ้านปูนกับพื้นที่สะพานพระราม 8 ในวันนี้ ทอดตัวเลียบไปกับที่พักอาศัย โดยมีทางเข้า-ออกเล็กๆ ด้านบนเป็นป้ายสีเขียวเขียนชื่อระบุชัดว่า ‘ชุมชนบ้านปูน แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร’ อยู่ที่ปลายกำแพงริมแม่น้ำ เยี่ยม ‘บ้านปูน’ แหล่งผลิตสรรพสินค้าย่านฝั่งธนฯ ชื่อเสียงเรียงนามของบ้านปูนไม่ได้มีที่มาซับซ้อน ว่ากันง่ายๆ คือมาจากการที่มีโรงทำปูน วัตถุดิบสำคัญกินคู่กับหมาก ตั้งอยู่ด้านในชุมชนมาตั้งแต่ช่วงต้นกรุงฯ ขณะที่อีกกระแสหนึ่งบอกว่าเพิ่งมาตั้งในช่วงรัชกาลที่ 4 […]
ปีศาจความยากจนและมือปราบปีศาจรัฐสวัสดิการที่เกิดจากความกลัวของคนไทย ใน Chainsaw Man
“รู้ไหมว่าอสูรน่ะ เกิดมาพร้อมกับ ‘ชื่อ’ ยิ่ง ‘ชื่อ’ น่ากลัวเท่าไรก็ยิ่งมีพิษสงมากขึ้นเท่านั้น “แต่ถ้าเป็น ‘อสูรรถ’ มีแนวโน้มว่ามันจะแข็งแกร่งพอสมควร เพราะอย่างน้อยๆ ภาพตอนถูกชนตาย ใครๆ ก็นึกออก หรือถ้ามี ‘อสูรกาแฟ’ มันจะต้องอ่อนแออย่างแน่นอนเพราะกาแฟไม่สามารถสร้างภาพแห่งความน่ากลัวได้” จากคำอธิบายถึงคอนเซปต์การเกิด ‘ปีศาจ’ โดยมือปราบปีศาจ ‘คุณมาคิมะ’ ใน Chainsaw Man มังงะสุดดาร์กที่กลายเป็นแอนิเมชันและลงจอฉายใน Amazon Prime ไปเมื่อต้นเดือนนี้ น่าจะพอทำให้ทุกคนรู้ว่าถ้าใครกลัวอะไรในโลกที่มนุษย์และปีศาจใช้ชีวิตด้วยกันนั้น ความกลัวนั้นจะสร้างปีศาจขึ้นมา และมันจะยิ่งมีอำนาจพลังมากขึ้น แปรผันตามจำนวนคนที่หวาดกลัว คอลัมน์ Urban Isekai ขอตามกระแสความไฮป์ปีศาจเลื่อยยนต์ ไปกระทำการอิเซไกในโลก Chainsaw Man ว่าถ้าความกลัวของผู้คนสร้างปีศาจขึ้นมาได้ ในประเทศไทย ปีศาจตนใดที่จะแข็งแกร่งที่สุด พร้อมๆ กับจะมีมือปราบปีศาจตนใดมาต่อกรกับอสูรร้ายในบ้านเมืองของเราได้ ‘ปีศาจความยากจน’ ปีศาจที่คนไทยกลัวที่สุด อย่างที่บอกไปข้างต้นว่าคอนเซปต์การเกิดปีศาจของ Chainsaw Man มาจากความกลัวของมนุษย์ นั่นแปลว่าต่อให้เรากลัวอะไรเล็กน้อยหรือมากมายแค่ไหน ความกลัวนั้นก็สามารถให้กำเนิดปีศาจได้ทั้งนั้น ทว่าหากเป็นความกลัวเล็กๆ หรือเรากลัวสิ่งนั้นแค่คนเดียว ปีศาจตนนั้นก็จะมีพลังไม่มากและถูกมือปราบปีศาจกำจัดได้ไม่ยาก แต่ในทางกลับกัน […]
404 Apartment ออกแบบห้องพักขนาดเล็กในโตเกียว ให้ดูกว้างขวางและมีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น
ปัจจุบันห้องพักหลายแห่งราคาสูงขึ้นแต่กลับมีพื้นที่ใช้สอยที่น้อยลง หลายคนจึงเลือกใช้วิธีจัดวางและตกแต่งห้องให้ดูมีพื้นที่มากขึ้น จะได้ไม่รู้สึกอึดอัดจนเกินไป แต่หากนึกไม่ออกว่าพื้นที่แคบๆ สามารถเปลี่ยนเป็นห้องที่มีพื้นที่ใช้สอยครบครันได้อย่างไร เราขอพาทุกคนไปดูไอเดียของดีไซเนอร์ ‘Suguru Fukuda’ ผู้ออกแบบ ‘404 อะพาร์ตเมนต์’ ในโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ที่เปลี่ยนที่พักขนาดกะทัดรัดให้ใช้งานได้อย่างเต็มที่และคุ้มค่า การออกแบบครั้งนี้ต้องการสร้างความรู้สึกว่า พื้นที่ที่เห็นภายในห้องนั้นมีขนาดใหญ่และพร้อมใช้งานกว่าขนาดพื้นที่จริง เพราะจัดเก็บทุกอย่างเอาไว้ในผนังและเรียกความโปร่งโล่งสบายตาของห้องกลับมาได้ในพริบตา เริ่มจากพื้นที่ส่วนกลางที่ตกแต่งภายในแบบง่ายๆ ด้วยการเพิ่มแสงธรรมชาติผ่านระเบียงทั้งด้านทิศเหนือและใต้ รายล้อมไปด้วยผนังสีซากุระที่มีพื้นผิวเดียวกันทั้งหมด วิธีนี้ช่วยหลอกตาและทำให้แยกได้ยากว่าส่วนไหนคือผนังจริง ส่วนไหนคือผนังที่ติดตั้งเพิ่ม และเพิ่มพื้นที่ด้วยการใช้ประตูและแผ่นกั้นผนังขนาด 18.5 เซนติเมตร ที่ถึงแม้ว่าจะเป็นขนาดต่ำกว่ามาตรฐานประตูทั่วไป แต่จะช่วยให้ห้องดูสูงและมีพื้นที่มากขึ้น 404 อะพาร์ตเมนต์นี้มีอัตราส่วน 16 : 9 แปลนของห้องที่ยาวและแคบ จึงอาจดูอึดอัดเมื่อต้องใช้เป็นที่อยู่อาศัย แต่ความจริงแล้วภายในห้องมีพื้นที่ใช้สอยมากกว่าที่เห็น เพราะเมื่อเปิดประตูผนังด้านหนึ่งออกมาก็จะเจอห้องนอนและห้องน้ำที่ซ่อนตัวอยู่ นอกจากผนังกั้นจะช่วยแบ่งห้องต่างๆ ออกจากห้องโถงแล้ว ยังมีหน้าที่เป็นของตกแต่งและเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่ช่วยจัดเก็บของได้ด้วย ส่วนเฟอร์นิเจอร์บางชิ้นที่ไม่มีตำแหน่งตายตัว ก็สามารถเคลื่อนย้าย เปลี่ยนตำแหน่งได้ตามใจ หรือหากไม่ใช้แล้วจะเก็บซ่อนไว้หลังผนังห้องก็ยังได้ การขยายพื้นที่แบบนี้จึงช่วยให้ผู้ใช้งานรู้สึกว่าพื้นที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ไอเดียนี้ดูจะเหมาะกับคนที่กำลังมองหาคอนโดฯ หรืออะพาร์ตเมนต์ในราคาที่เอื้อมถึง ซึ่งอาจจะต้องแลกมาด้วยความคับแคบและพื้นที่ใช้สอยที่จำกัด ใครที่กำลังหาไอเดียเพิ่มพื้นที่ห้อง ก็อาจลองนำวิธีเก็บซ่อนทุกอย่างไว้หลังผนังจาก 404 อะพาร์ตเมนต์ไปใช้ดูได้ Sources :Designboom | bit.ly/3TiHFxx […]
กฎหมายทำแท้งเปลี่ยนแล้ว แต่ทำไมการทำแท้งปลอดภัยยังเข้าถึงยาก คุยกับ ‘กลุ่มทำทาง’
ในฐานะคนที่สนใจเรื่องสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมทางเพศ ชื่อของ กลุ่มทำทาง ผ่านหูผ่านตาเราหลายหน เราเคยเห็นข่าวคราวของการรณรงค์เรื่องทำแท้งปลอดภัย เคยอ่านบทความที่ออกมาแชร์ประสบการณ์จริงของผู้หญิงที่เคยทำแท้งจากเว็บไซต์และเพจของพวกเธอ และเคยฟังพอดแคสต์ที่ชวนคิดชวนคุยในหัวข้อเดียวกันนี้มาบ้าง กระทั่งเมื่อต้นปีที่แล้ว ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยที่ชี้ว่าประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 301 ซึ่งกำหนดความผิดแก่หญิงที่ทำให้ตนเองแท้งว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ นำมาซึ่งการแก้ไขกฎหมายให้สามารถทำแท้งได้ภายในอายุครรภ์ 12 สัปดาห์โดยไม่ถือว่ามีความผิดทางอาญา นอกจากนี้ยังแก้กฎหมายอาญา มาตรา 305 ให้หญิงที่มีอายุครรภ์ 12 – 20 สัปดาห์สามารถยุติการตั้งครรภ์ได้เช่นกัน แต่ต้องตรวจและรับคำปรึกษาจากผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมและผู้ประกอบวิชาชีพอื่น การแก้ไขกฎหมายเรื่องนี้นำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์หลายขั้วจากคนในสังคม แม้จะล่วงเลยเวลามานานกว่าหนึ่งปีก็ยังเป็นที่พูดถึงบนหน้าไทม์ไลน์ฉันเสมอ ในวาระที่กลุ่มทำทางเพิ่งจัดงาน ‘Bangkok Abortion กรุงเทพทำแท้ง’ เสร็จไปหมาดๆ เราเลยไม่พลาดที่จะนัดคุยอัปเดตสถานการณ์เรื่องนี้กับพวกเธอ น่าสนใจที่เมื่อเราถามความรู้สึกของ ‘นิศารัตน์ จงวิศาล’ หนึ่งในสมาชิกที่มานั่งคุยกับเราวันนี้ต่อกฎหมายยุติการตั้งครรภ์ข้อปัจจุบัน เธอบอกว่า ‘ยังไม่แฮปปี้’ และการปรับเปลี่ยนข้อกฎหมายก็ไม่ได้แปลว่าผู้ที่อยากยุติการตั้งครรภ์เข้าถึงการรับการบริการมากขึ้น ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น-ให้บทสนทนาในบรรทัดถัดไปเล่าให้ฟัง ทำไมคุณถึงยังไม่แฮปปี้กับกฎหมายทำแท้งที่เพิ่งอัปเดต เราว่าการเปลี่ยนข้อกฎหมายมันก็ดี ในแง่ที่ทำให้ผู้ให้บริการสบายใจขึ้น และผู้รับบริการรู้สิทธิ์ตัวเอง มันดีหมดแหละ แต่สิ่งที่เราอยากได้จริงๆ ตั้งแต่แรกคือการยกเลิกมาตรา 301 ไปเลย คนที่ทำแท้งต้องไม่มีความผิดทุกกรณี อันนี้คือจุดมุ่งหมายแรกของเรา Pain Point ที่กลุ่มทำทางเจอคือการไม่มีสถานที่บริการทำแท้ง ซึ่งถึงจะแก้กฎหมายแล้วก็ไม่ได้ดีขึ้น […]