ในยุคที่หนังสือและผู้คนดูจะห่างไกลกัน แต่รู้ไหมว่ามีหลายเมืองทั่วโลกใช้หนังสือเล่มน้อยใหญ่มาขับเคลื่อนเมืองให้มีชีวิตชีวา และดึงดูดหนอนหนังสือให้อยากตบเท้าเข้ามาเปิดหูเปิดตาดูสักครั้ง ซึ่งเราขอชวนทุกคนไปสัมผัส ‘6 เมืองหนังสือ’ ที่จะพาด่ำดิ่งสู่โลกแห่งตัวอักษร กลิ่นกระดาษ และบรรยากาศชวนให้หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านสักเล่มสองเล่ม
![](https://urbancreature.co/wp-content/uploads/2020/10/photo-bookcity-02-1024x1024.jpg)
Paju, South Korea
เมืองที่มีสำนักพิมพ์มากกว่า 200 แห่ง
‘เกาหลีใต้’ เป็นอีกหนึ่งประเทศผู้รันวงการสิ่งพิมพ์โลกให้ยังมีลมหายใจ โดยรัฐบาลกับเอกชนร่วมกันเนรมิต ‘เมืองพาจู’ ให้เป็น ‘Paju Book City’ ซึ่งไม่ได้มาแบบเล่นๆ เพราะตั้งใจให้ที่นี่เป็นเมืองแห่งหนังสือ ด้วยการยกสำนักพิมพ์กว่า 200 แห่งมาไว้ในที่เดียว เพื่อให้คนในแวดวงสิ่งพิมพ์ได้ใกล้ชิดกัน สร้างสรรค์ผลงานร่วมกัน และแบ่งปันความรู้ด้านสิ่งพิมพ์ให้แก่นักท่องเที่ยว
แถมยังดึงดูดผู้คนด้วยการออกแบบวิวทิวทัศน์ผ่านพื้นที่สีเขียว ซึ่งหลอมรวมศิลปะจากสถาปัตยกรรมอันโดดเด่น จนออกมาเป็นห้องสมุดที่มีหนังสือกว่า 5 แสนเล่ม โรงพิมพ์ ร้านหนังสือ มิวเซียม หอศิลป์ โรงแรม คาเฟ่ และมีพื้นที่เพื่อจัดเทศกาลหนังสือในทุกๆ ปี โดยสิ่งที่น่าปลื้มใจคือ เมืองหนังสือพาจูสามารถสร้างรายได้กว่า 1 พันล้านเหรียญต่อปี เป็นเครื่องบ่งบอกว่าแดนกิมจินั้นไม่ได้มีดีแค่ K-POP
![](https://urbancreature.co/wp-content/uploads/2020/10/photo-bookcity-06-1024x1024.jpg)
Jimbocho, Japan
ย่านที่คนชอบหนังสือเก่าต้องตกหลุมรัก
บินลัดฟ้ามาที่ย่านเล็กๆ อย่าง ‘จิมโบโช’ ณ เมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เป็นแหล่งจำหน่ายหนังสือมือสอง สิ่งพิมพ์ และวัตถุโบราณ จนได้ชื่อเป็นย่านหนังสือที่คลาสสิกและใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเป็นย่านที่หนอนหนังสือและนักสะสมรู้จักกันมานานกว่า 100 ปี
เหตุผลที่ทำให้จิมโบโชเป็นย่านหนังสือเก่า มาจาก ‘ชิเกะโอะ อิวะนะมิ’ ลาออกจากการสอนมหาวิทยาลัยมาเปิดร้านหนังสือมือสอง และสำนักพิมพ์ Iwanami Shoten โดยสร้างชื่อด้วยการจัดพิมพ์นวนิยายเรื่อง ‘โคะโคะโระ’ จากปลายปากกาของ ‘นัทซึเมะ โซเซะคิ’ จนขึ้นหิ้ง ทำให้แฟนนิยายต่างแห่กันมาตามหาหนังสือที่นี่ จนปัจจุบันย่านนี้มีหนังสือรวมกันกว่า 10 ล้านเล่ม จากร้านหนังสือกว่า 180 ร้าน และเป็นจุดหมายปลายทางชั้นดีในการตามหาหนังสือหายาก
![](https://urbancreature.co/wp-content/uploads/2020/10/photo-bookcity-07-1024x1024.jpg)
Helsinki, Finland
เมืองที่ให้ความสำคัญกับห้องสมุด
‘ฟินแลนด์’ ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีการศึกษาดีที่สุดในโลก ผู้คนมีความสุขที่สุดในโลก คุณภาพชีวิตก็ติดท็อปๆ ของโลก มาจนถึง ‘วัฒนธรรมการอ่าน’ ที่หยั่งรากลึกอยู่ในสายเลือดของคนฟินแลนด์ จนได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีคนใช้ห้องสมุดสูงที่สุดในโลก!
และในปี ค.ศ. 2019 ฟินแลนด์ฉลองครบรอบ 100 ปี ด้วยการมอบห้องสมุดยักษ์ใหญ่ Helsinki Central Library Oodi ให้เป็นของขวัญแก่ชาวเมือง ผ่านการโหวตซึ่งมาจากความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง โดยออกแบบให้เป็นพื้นที่แห่งการใช้ชีวิต ทำอะไรได้มากกว่าแค่มานั่งอ่านหนังสือ เพราะนอกจากการสถาปัตยกรรมจะเตะตาแล้ว ยังออกแบบมาให้เป็นพื้นที่สำหรับทุกคน เช่น มีโรงหนัง คาเฟ่ เครื่องพิมพ์สามมิติ โซนพบปะสังสรรค์
หากไม่นับห้องสมุด Oodi ที่เมืองหลวงเฮลซิงกิ ฟินแลนด์ก็มีห้องสมุดคุณภาพเพื่อประชาชนอยู่ทั่วทุกมุมเมือง เรียกได้ว่าที่ไหนมีคนอาศัยอยู่ ที่นั่นย่อมมีห้องสมุด ซึ่งเป็นบริการขั้นพื้นที่ฐานที่ชาวฟินแลนด์ต้องได้รับ
![](https://urbancreature.co/wp-content/uploads/2020/10/photo-bookcity-03-1024x1024.jpg)
Hay-on-Wye, Wales
ดินแดนที่ใช้หนังสือสร้างเมืองให้มีชีวิต
‘เฮย์ ออน ไวย์’ ประเทศเวลส์ ได้ชื่อว่าเป็นเมืองหนังสือแห่งแรกของโลก จนกลายเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้ทั่วโลกหยิบหนังสือขึ้นมาสร้างเมืองให้มีชีวิต โดย ‘ริชาร์ด บูธ’ ชายผู้เดินทางกลับมาเยี่ยมบ้านเกิดที่เฮย์ ออน ไวย์ และรู้สึกแปลกใจที่เห็นบ้านเมืองตัวเองช่างว้าเหว่ ซึ่งบูธเติบโตมากับกองหนังสือ บวกกับได้รับมรดกเป็นอาคารหลังเก่า ทำให้ในปี ค.ศ. 1962 เขาทุ่มทุนเปิดร้านหนังสือโดยนำเข้าหนังสือจากห้องสมุดจากอเมริกาที่ปิดตัวลง
จากเมืองที่เงียบเหงาก็เริ่มมีร้านหนังสือเพิ่มขึ้นหลายสิบร้าน โดยเฉพาะการมีเทศกาลวรรณกรรมและศิลปะ Hay Festival of Literature & Arts เป็นของตัวเอง ซึ่งดึงดูดให้คนรักสิ่งพิมพ์ทั่วโลกตบเท้าเข้ามาได้มากกว่าแสนคนในแต่ละปี เรียกได้ว่าเป็นอีเวนต์ที่ยกระดับเวลส์และเมืองเฮย์ ออน ไวย์ ให้มีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น
![](https://urbancreature.co/wp-content/uploads/2020/10/photo-bookcity-04-1024x1024.jpg)
Redu, Belgium
สวรรค์ของคนรักหนังสือในเบลเยียม
‘Redu’ เมืองเล็กๆ ในเบลเยียมที่ยังคงอนุรักษ์งานช่างฝีมือด้านหนังสือให้อยู่คู่วงการสิ่งพิมพ์ ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนร้านเย็บหนังสือที่ใช้เทคนิคดั้งเดิม การครีเอทงานศิลปะจากฝีมือช่างทำกระดาษแฮนด์เมด การมีมิวเซียมเพื่อแสดงงานสิ่งพิมพ์ ไปจนถึงคนรุ่นใหม่ที่เปิดเกสต์เฮาส์ คาเฟ่ และร้านหนังสือให้เป็นพื้นที่ของทุกคน
นอกจากนี้ แนวคิดของเมืองเฮย์ ออน ไวย์ ก็บันดาลใจให้ ‘โนล อองซโลต์’ นักหนังสือพิมพ์ชาวเบลเยียมกลับมาบ้านเกิดที่เมือง Redu หลังจากไปชมเมืองเฮย์ ออน ไวย์ ซึ่งเขาเขียนจดหมายถึงตัวแทนขายหนังสือหลายเจ้าให้มาเปิดร้านหนังสือที่หมู่บ้านเล็กๆ ของเขา จนมีร้านหนังสือเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นปลายทางในการจัดเทศกาลหนังสือแทบทุกปี
![](https://urbancreature.co/wp-content/uploads/2020/10/photo-bookcity-05-1024x1024.jpg)
Bhilar, India
เมืองหนังสือแห่งแรกของอินเดีย
อีกหนึ่งเมืองที่หยิบไอเดียของเฮย์ ออน ไวย์ มาใช้ จนกลายเป็นเมืองหนังสือแห่งแรกของอินเดีย ก็คือ เมือง Bhilar แห่งรัฐมหาราษฏระ ซึ่งเกิดขึ้นโดยหน่วยงานท้องถิ่นที่ตั้งใจให้เมืองหนังสือแห่งนี้ดึงดูดนักท่องเที่ยวมากขึ้น และต้องการเผยแพร่การใช้ภาษาทางการของรัฐอย่างภาษามราฐีปกติแล้วที่นี่ถือเป็นเมืองเกษตรกรรมที่กว่าร้อยละ 90 ทำไร่สตรอว์เบอร์รี
การเพิ่มบทบาทให้ Bhilar เป็นเมืองหนังสือ พร้อมชวนศิลปินท้องถิ่นมาสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ รัฐก็เชื่อว่าจะทำให้เมืองมีสีสัน และมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น โดยทุ่มทุนซื้อหนังสือหลากหลายแนวที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเมืองและภาษามราฐีกว่าหมื่นรายการ ซึ่งนำไปวางตามจุดต่างๆ ของเมือง และในอนาคตก็จะมีการเพิ่มหนังสือภาษาฮินดูและอังกฤษเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก
Sources
Paju Book City
The Guardian
CNN
All About Japan
Book Riot
TCDC
The Guardian
ThaiPost
New Statesman
Hay-on-Wye
Chicago Tribune
Solosophie
The Word Magazine
The Guardian
Hindustan Times
Firstpost