สำรวจภัยธรรมชาติถล่มโลกปี 2023 - Urban Creature

ถ้าคุณคิดว่าสภาพอากาศของปีนี้ร้อนกว่าปีก่อนๆ หรือรู้สึกว่าตัวเองได้ยินข่าวคราวภัยพิบัติทางธรรมชาติบ่อยขึ้นก็ไม่ต้องแปลกใจ เพราะวิกฤตการณ์ Climate Change ทวีความรุนแรงขึ้นจริงๆ ยืนยันโดยสหประชาชาติที่ประกาศเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาว่า ยุคของ ‘ภาวะโลกร้อน’ (Global Warming) ได้สิ้นสุดลงแล้ว และโลกกำลังย่างเข้าสู่ยุคของ ‘ภาวะโลกเดือด’ (Global Boiling) อย่างเต็มตัว

คอลัมน์ Report อยากพาไปสำรวจผลพวงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศผ่านส่วนหนึ่งของภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นทั่วโลกในปีนี้ เพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงวิกฤตโลกร้อนที่แปรปรวนและน่ากังวลกว่าเดิม

คลื่นความร้อนปกคลุมทั่วโลก

สำรวจภัยธรรมชาติถล่มโลกปี 2023 ผลกระทบและความเสียหายที่เกิดจาก ‘ภาวะโลกเดือด’ (Global Boiling)

สัญญาณที่บ่งบอกว่าโลกของเราร้อนถึงขั้นเดือดแล้วคือการที่นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า เดือนกรกฎาคม ปี 2023 จะเป็นเดือนที่ร้อนที่สุดนับตั้งแต่โลกเริ่มมีการบันทึกสภาพภูมิอากาศ ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะอุณหภูมิอากาศเฉลี่ยพื้นผิวโลกเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาแตะระดับสูงถึง 16.95 องศาเซลเซียส สูงกว่าอุณหภูมิเฉลี่ย 16.63 องศาเซลเซียสที่เคยบันทึกไว้เมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2019

เพราะเหตุนี้ หลายภูมิภาคทั่วโลกจึงเผชิญกับ ‘คลื่นความร้อน’ (Heatwave) ที่รุนแรงเป็นประวัติการณ์ โดยเฉพาะทวีปอเมริกาเหนือ ยุโรป และเอเชีย

สำหรับสหรัฐอเมริกา ในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมามีชาวอเมริกันมากถึง 1 ใน 3 หรือราว 113 ล้านคน ได้รับการแจ้งเตือนอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากสภาพอากาศที่ร้อนจัด โดยพื้นที่ที่เจอคลื่นความร้อนหนักที่สุดคือรัฐทางตอนใต้ เช่น ฟลอริดา เท็กซัส และแคลิฟอร์เนีย

สำรวจภัยธรรมชาติถล่มโลกปี 2023 ผลกระทบและความเสียหายที่เกิดจาก ‘ภาวะโลกเดือด’ (Global Boiling)

ส่วนภูมิภาคยุโรปก็เจอคลื่นความร้อน ‘เซอร์เบอรัส’ (Cerberus) ที่รุนแรงเหมือนไฟนรกแผ่ปกคลุมหลายประเทศ เช่น กรีซ อิตาลี สเปน ฝรั่งเศส โครเอเชีย ตุรกี โปแลนด์ ฯลฯ หลายประเทศทุบสถิติวันที่ร้อนที่สุด ยกตัวอย่าง เมือง Gytheio ประเทศกรีซ ที่มีอุณหภูมิสูงถึง 46.4 องศาเซลเซียส ถือเป็นสถิติใหม่ของอุณหภูมิที่สูงที่สุดที่กรีซเคยบันทึกไว้นับตั้งแต่ปี 2006

อีกประเทศที่ระดับอุณหภูมิพุ่งสูงคืออิตาลี ทำให้ทางการต้องประกาศเตือนภัยระดับสูงสุดใน 16 เมืองทั่วประเทศ รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เช่น โรม ฟลอเรนซ์ และโบโลญญา โดยรัฐบาลอิตาลีแนะนำให้ผู้คนในพื้นที่สีแดงหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดโดยตรงระหว่างเวลา 11.00 – 18.00 น. ทั้งยังแนะนำให้ดูแลผู้สูงอายุและกลุ่มเปราะบางเป็นพิเศษด้วย

สำรวจภัยธรรมชาติถล่มโลกปี 2023 ผลกระทบและความเสียหายที่เกิดจาก ‘ภาวะโลกเดือด’ (Global Boiling)

ส่วนภูมิภาคเอเชียที่ขึ้นชื่อเรื่องสภาพอากาศร้อนอบอ้าวอยู่แล้วก็ได้รับผลกระทบจากคลื่นความร้อนเช่นกัน ทำให้หลายประเทศทุบสถิติอุณหภูมิสูงสุดในปีนี้ เช่น เมียนมาอุณหภูมิแตะ 44 องศาเซลเซียส ร้อนที่สุดในรอบ 44 ปี จีนทำลายสถิติครั้งใหม่ในรอบ 8 ปี หลังพบอุณหภูมิสูงถึง 52.2 องศาเซลเซียส สำหรับประเทศไทย ที่จังหวัดตากตรวจวัดอุณหภูมิได้สูงถึง 44.6 องศาเซลเซียสเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2023 ซึ่งถือเป็นอุณหภูมิสูงที่สุดของประเทศ เท่ากับสถิติเดิมที่เคยตรวจวัดได้ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2016

ไฟป่าใหญ่ลุกลามหลายประเทศ

สำรวจภัยธรรมชาติถล่มโลกปี 2023 ผลกระทบและความเสียหายที่เกิดจาก ‘ภาวะโลกเดือด’ (Global Boiling)

‘ไฟป่า’ (Wildfire) เป็นอีกหนึ่งภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นถี่และรุนแรงขึ้นในปีนี้ โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดการเผาไหม้ป่าขนาดใหญ่มีหลายปัจจัย เช่น การเผาป่า แคมป์ไฟ บุหรี่ ฟ้าผ่า รวมถึงสภาพอากาศที่แห้งแล้งและร้อนจัด ซึ่งเป็นผลกระทบจากวิกฤต Climate Change อีกทอดหนึ่งนั่นเอง

ประเทศที่เกิดไฟป่าบ่อยครั้งคือ ‘กรีซ’ โดยนักวิทยาศาสตร์ได้อธิบายว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้สถานการณ์ไฟป่าในประเทศนี้รุนแรงขึ้น ทำให้ปีนี้มีพื้นที่ในกรีซถูกเผาไปแล้วมากกว่า 120,000 เฮกตาร์ทั่วประเทศ (ข้อมูล ณ วันที่ 24 สิงหาคม 2023)

สำรวจภัยธรรมชาติถล่มโลกปี 2023 ผลกระทบและความเสียหายที่เกิดจาก ‘ภาวะโลกเดือด’ (Global Boiling)
สำรวจภัยธรรมชาติถล่มโลกปี 2023 ผลกระทบและความเสียหายที่เกิดจาก ‘ภาวะโลกเดือด’ (Global Boiling)

ด้านกลุ่มสังเกตการณ์ไฟป่าแห่งยุโรป (European Observatory of Forest Fires) สังเกตว่า พื้นที่ที่ถูกเผาไหม้จากไฟป่าในกรีซปีนี้ใหญ่กว่าพื้นที่ที่ถูกเผาไหม้โดยเฉลี่ยต่อปีถึง 3 เท่านับตั้งแต่ปี 2006 มากไปกว่านั้น ไฟป่าบนเกาะโรดส์ (Rhodes) ของกรีซยังทำให้มีการอพยพคนครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีในประเทศนี้ โดยเจ้าหน้าที่ต้องพาผู้คนออกจากพื้นที่มากถึง 30,000 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 23 กรกฎาคม 2023)

สำรวจภัยธรรมชาติถล่มโลกปี 2023 ผลกระทบและความเสียหายที่เกิดจาก ‘ภาวะโลกเดือด’ (Global Boiling)

ส่วนที่ ‘แคนาดา’ ก็กำลังเผชิญฤดูไฟป่าที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยในปีนี้มีไฟป่าที่ลุกไหม้ผืนดินของแคนาดาไปแล้วกว่า 6,118 จุด ทางการต้องออกคำสั่งให้ประชาชนกว่า 200,000 คนอพยพออกจากพื้นที่ และเฉพาะในปีนี้มีพื้นที่ในแคนาดาถูกไฟเผาไหม้แล้วกว่า 15 ล้านเฮกตาร์ (ข้อมูล ณ วันที่ 5 กันยายน 2023)

การศึกษาของ World Weather Attribution พบว่า วิกฤต Climate Change ยังเพิ่มความเป็นไปได้ที่จะเกิดสถานการณ์ไฟป่าที่รุนแรงบริเวณแคนาดาตะวันออกมากกว่าสองเท่า ขณะเดียวกัน การศึกษาของสถาบันไม่แสวงหาผลกำไร Angus Reid Institute ยังพบว่า มากกว่าครึ่งหนึ่งของชาวแคนาดาคาดการณ์ว่าสถานการณ์ไฟป่าจะรุนแรงขึ้นยิ่งกว่านี้ในอนาคต รวมถึง 1 ใน 4 ของชาวแคนาดาเชื่อว่า วิกฤตไฟป่าที่ทุบสถิติในปีนี้จะกลายเป็นความปกติใหม่ (New Normal) หมายความว่าทุกฤดูร้อนต่อจากนี้ ชาวแคนาดาอาจต้องเจอกับสถานการณ์ไฟป่าที่รุนแรงเช่นนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ฝนตกหนัก ดินถล่ม น้ำท่วมสูง

สำรวจภัยธรรมชาติถล่มโลกปี 2023 ผลกระทบและความเสียหายที่เกิดจาก ‘ภาวะโลกเดือด’ (Global Boiling)

นอกจาก Climate Change จะก่อให้เกิดคลื่นความร้อนและไฟป่าทั่วโลกแล้ว อีกปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่น่ากังวลคือลมมรสุมที่ตามมาด้วยสถานการณ์ฝนตกหนักและดินถล่มในหลายพื้นที่

ยกตัวอย่าง เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เกาหลีใต้เจอฝนตกหนักติดต่อกันหลายวันในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ทำให้เกิดเหตุน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่ม ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 47 คน และสูญหายอีก 3 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 22 กรกฎาคม 2023)

หลังจากเกาหลีใต้เจอฝนตกหนักที่สุดในรอบ 80 ปี ‘ชอง แทซุง’ ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำท่วมจากสถาบันวิจัยการจัดการภัยพิบัติแห่งชาติของเกาหลีใต้ได้ออกมาอธิบายว่า Climate Change คือหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ประเทศเจอฝนตกรุนแรงขึ้น ส่งผลให้ทางการเตรียมตัวรับมือกับน้ำท่วมเฉียบพลันได้ยาก

สำรวจภัยธรรมชาติถล่มโลกปี 2023 ผลกระทบและความเสียหายที่เกิดจาก ‘ภาวะโลกเดือด’ (Global Boiling)
สำรวจภัยธรรมชาติถล่มโลกปี 2023 ผลกระทบและความเสียหายที่เกิดจาก ‘ภาวะโลกเดือด’ (Global Boiling)

และเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ไต้หวัน ฮ่องกง และหลายเมืองของประเทศจีนยังเจอ 2 ไต้ฝุ่นถล่มอย่างหนัก ทำให้บ้านเมืองเผชิญกับเหตุน้ำท่วม ดินถล่ม และความเสียหายในวงกว้าง โดยเคสฮ่องกงถือเป็นสถานการณ์ฝนตกหนักที่สุดในรอบ 139 ปี หนักถึงขั้นที่มวลน้ำทะลักเข้าไปในรถไฟใต้ดินและอาคารต่างๆ ทำให้ทางการต้องสั่งปิดเมือง ผลที่ตามมาคือ ธุรกิจ ห้างร้าน และถนนหนทางต่างๆ ต้องปิดชั่วคราวเพื่อรอจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น

สำรวจภัยธรรมชาติถล่มโลกปี 2023 ผลกระทบและความเสียหายที่เกิดจาก ‘ภาวะโลกเดือด’ (Global Boiling)

อีกเหตุการณ์ที่น่ากังวลไม่แพ้กันเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2023 ประเทศลิเบียเจอพายุแดเนียลถล่มเมืองเดอร์นาอย่างรุนแรง ทำให้เกิดฝนตกหนัก น้ำท่วมใหญ่ รวมไปถึงเขื่อนแตก 2 แห่ง ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 11,300 คน และสูญหายมากกว่า 10,000 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 16 กันยายน 2023)

ส่วนต้นตอที่ทำให้ลิเบียเจอหายนะทางธรรมชาติที่รุนแรงขนาดนี้ ผู้เชี่ยวชาญอธิบายว่าเกิดจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นสภาวะโลกรวนที่ทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น สงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อ รวมถึงความล้มเหลวของรัฐบาลในการเตรียมรับมือกับภัยธรรมชาติและการดูแลรักษาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ

ด้านสถาบันวิจัยอิสระ World Weather Attribution ยังเปิดเผยว่า การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภาวะเรือนกระจกที่เกิดจากฝีมือมนุษย์คือสาเหตุที่ทำฝนตกหนักขึ้นมากถึง 50 เปอร์เซ็นต์ และยังทำให้ลิเบียมีแนวโน้มเผชิญภัยพิบัติน้ำท่วมหนักขึ้น 50 เท่าด้วย

น้ำแข็งขั้วโลกเหนืออาจหายไปหมด

สำรวจภัยธรรมชาติถล่มโลกปี 2023 ผลกระทบและความเสียหายที่เกิดจาก ‘ภาวะโลกเดือด’ (Global Boiling)

ปิดท้ายด้วยสถานการณ์บริเวณ ‘ขั้วโลกเหนือ’ หรือ ‘เขตอาร์กติก’ ที่แม้จะปกคลุมด้วยน้ำแข็งและมีสภาพอากาศสุดขั้วอย่างถาวร แต่ในอนาคตอันใกล้สภาวะโลกร้อนก็อาจทำให้อุณหภูมิในดินแดนนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เพราะเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เหล่านักวิทยาศาสตร์ได้เผยแพร่งานวิจัยในวารสารออนไลน์ Nature Communications ที่คาดการณ์ว่า หากมนุษย์ไม่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างรวดเร็ว หรือปล่อยให้ก๊าซเหล่านี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะทำให้ขั้วโลกเหนือไม่มีน้ำแข็งช่วงฤดูร้อนในช่วงทศวรรษที่ 2030 พูดง่ายๆ ก็คือ น้ำแข็งในอาร์กติกอาจกำลังจะหมดไปในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้

สำรวจภัยธรรมชาติถล่มโลกปี 2023 ผลกระทบและความเสียหายที่เกิดจาก ‘ภาวะโลกเดือด’ (Global Boiling)

มากไปกว่านั้น งานวิจัยเดียวกันยังชี้ให้เห็นว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของน้ำแข็งละลายเป็นผลกระทบจากภาวะโลกร้อนซึ่งเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ ส่วนที่เหลือเกิดจากปัจจัยทางธรรมชาติ หากนับตั้งแต่ปี 1979 ที่โลกเริ่มมีการบันทึกด้วยดาวเทียม น้ำแข็งบริเวณอาร์กติกลดลงมากถึง 13 เปอร์เซ็นต์ต่อหนึ่งทศวรรษ ถือเป็นหนึ่งในสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดของภาวะโลกรวน

ด้าน ‘ศาสตราจารย์เดิร์ก นอตซ์’ (Dirk Notz) จากมหาวิทยาลัยฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมนี หนึ่งในทีมวิจัยได้อธิบายว่า นักวิทยาศาสตร์ได้ออกคำเตือนเกี่ยวกับการสูญเสียน้ำแข็งช่วงฤดูร้อนในทะเลอาร์กติกมานานหลายสิบปีแล้ว แต่ผู้คนไม่ฟังคำเตือนของผู้เชี่ยวชาญเลย ซึ่งตอนนี้สถานการณ์อาจสายเกินกว่าที่จะหยุดยั้งไม่ให้น้ำแข็งในมหาสมุทรอาร์กติกละลายจนหมดในช่วงฤดูร้อนเสียแล้ว

Sources :
BBC | bit.ly/3RFWOLA, bit.ly/3tjHGJp
CBC | bit.ly/3F3eDwh
CNN | bit.ly/46uWZ0h
DW | bit.ly/3LKWI1h
EcoWatch | bit.ly/3LKWLdt
IRM India Affiliate | bit.ly/3M4bcK3
Le Monde | bit.ly/3Q6oUyt
MGR Online | bit.ly/3PVeTUp
Politico | bit.ly/3RF5q50
PreventionWeb | bit.ly/3tgYOji
Reuters | bit.ly/3tdFVxy
Scientific American | bit.ly/3ta4dIK
Spiel Times | bit.ly/46bqR1U
The Guardian | bit.ly/48vb3ZA, bit.ly/3LHLxqh, bit.ly/3ZDa3yg, bit.ly/3rvmC26
United Nations | bit.ly/3RK1f8d
World Weather Attribution | bit.ly/45aFJMD
Yahoo News | bit.ly/3rFvDpk

SEND YOUR STORY

REQUEST INTERVIEW

ติดตามอ่าน “Urban Creature”
นิตยสารออนไลน์ที่จะทำให้คุณรักเมืองที่คุณอยู่ รักตัวเองมากขึ้นด้วยการเปิดมุมมองและนำเสนอแนวทางการใช้ชีวิตอย่างสร้างสรรค์ และสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ในการใช้ชีวิต
Better Life. Better Living.

Max. file size: 256 MB.