ถนนบริพัตร ย่านสารพัดช่างในเขตเมืองเก่า - Urban Creature

ในเกาะรัตนโกสินทร์และเขตเมืองเก่าของกรุงเทพฯ มีถนนหลายสายตัดกันไปมาเป็นโครงข่าย หลายสายถูกมองข้าม และหลายสายคนไม่รู้จัก

เช่นกันกับ ‘ถนนบริพัตร’ หากเอ่ยเพียงแค่ชื่ออาจไม่คุ้นว่าถนนสายนี้อยู่ตรงไหน ซึ่งจริงๆ แล้วเส้นทางสายยาวเลียบไปตามคลองรอบกรุงนี้มีถนนอีกหลายสายตัดผ่าน แถมติดกับย่านสำคัญอีกหลายแห่ง ทั้งสำราญราษฎร์-ประตูผี สามยอด วรจักร คลองถม จนถึงเยาวราช เชื่อว่าต้องมีบางคนบ้างละที่เคยเดินหรือนั่งรถผ่านโดยไม่ทันรู้ตัว

ถนนบริพัตร ย่านเมืองเก่า กรุงเทพฯ

เมื่อมองจากแผนที่จะเห็นว่าถนนสายนี้เป็นเส้นตรงยาวอยู่พอตัว เชื่อมระหว่างถนนราชดำเนินกลาง เชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ กับถนนเยาวราช เชิงสะพานภาณุพันธุ์ ใกล้กับเวิ้งนาครเขษม โดยตลอดสองฟากฝั่งถนนมีอาคารพาณิชย์รุ่นเก่าวางตัวเรียงกันอย่างสวยงาม

คอลัมน์ Neighboroot รอบนี้อยากชวนออกแรงเดินเมืองสักนิด เหลียวซ้ายแลขวาโซนอื่นๆ ของถนนสายประวัติศาสตร์นี้ ดูกิจการร้านรวงที่สืบทอดมาแต่อดีต รวมถึงเปิดบทสนทนากับผู้คนดั้งเดิมและสมาชิกใหม่ๆ ที่เริ่มเข้ามาทำให้ย่านนี้เปลี่ยนหน้าเปลี่ยนตาจากที่เคยเห็น

ถ้าพร้อมแล้ว ไปเดินกัน!

ถนนสายประวัติศาสตร์และตลาดใหญ่ในความทรงจำ

เขตเมืองเก่ามีถนนหลายสายที่ตั้งชื่อตามพระนามของเหล่าเจ้านายพระองค์ต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นเส้นทางตัดใหม่ที่กระจายจากใจกลางเมืองออกสู่ชานพระนครในสมัยนั้น ถือเป็นพยานของการพัฒนาเมืองเมื่อกว่าร้อยปีที่แล้ว โดยปัจจุบันหลายแห่งกลายเป็นย่านการค้าที่มีเอกลักษณ์แตกต่างกันออกไป

ที่มาของชื่อถนนสายนี้คงเกิดขึ้นจากการที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ได้รับพระราชทานที่ดินจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แล้วจึงพัฒนาพื้นที่ย่านนี้โดยตั้งใจให้เป็นที่รื่นรมย์ของชาวเมือง ดังชื่อที่ตั้งว่า ‘นาครเขษม’ โดยเป็นที่อยู่อาศัยของชาวจีนแต้จิ๋วที่ตั้งบ้านเรือนร้านค้าขายสรรพสินค้านานาชนิด ตั้งแต่เครื่องทองเหลือง เครื่องดนตรี ข้าวของเครื่องใช้ ไปจนถึงของเก่าของสะสม

ถนนบริพัตร ย่านเมืองเก่า กรุงเทพฯ

หลายฝน หลายหนาว รอบข้างของถนนสายนี้เปลี่ยนแปลงไปหลายหน้าตา ผู้คนสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปมา กระทั่งเร็วๆ นี้ เราเพิ่งเห็นข่าวการพัฒนาพื้นที่ในเวิ้งนาครเขษมและตลาดปีระกา อดีตย่านการค้าระดับตำนานที่ปิดตัวลงไปหลายปี จนทำให้บรรยากาศแถวนี้แปรเปลี่ยนไป แทบจำภาพในวันที่เฟื่องฟูไม่ได้

เหตุผลหนึ่งที่ถนนสายนี้น่าสนใจและน่ามาทำความรู้จักคือ เราพบว่าตลอดทางเต็มไปด้วยช่างแขนงต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นช่างไม้ ช่างบาตร ช่างยนต์ ไปจนถึงคนทำดอกไม้ไฟ ถือเป็นอีกหนึ่งถนนที่มีประวัติศาสตร์และเอกลักษณ์สายหนึ่ง

หากเริ่มเดินจากบริเวณใกล้กับภูเขาทอง แถบนี้คือแหล่งค้าไม้ใหญ่และเก่าแก่แห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ เมื่อข้ามถนนมาสู่บล็อกถัดมาจะพบว่าเป็นที่ตั้งของ ‘บ้านบาตร’ ชุมชนทำหัตถกรรมบาตรพระเคียงคู่กับ ‘บ้านดอกไม้’ กลุ่มคนทำดอกไม้ไฟดั้งเดิมของเมืองหลวงที่ป้อนเข้าสู่แหล่งค้าพลุใหญ่แถบป้อมมหากาฬในอดีต มี ‘ชุมชนวังแดง’ ย่านชาวจีนเล็กๆ ด้านหลังตึก ขณะที่อาคารพาณิชย์ในแถบนี้จนถึงสามยอดส่วนใหญ่เป็นร้านขายอะไหล่ยนต์ ก่อนไปจบลงที่ย่านคนจีนในแถบเวิ้งนาครเขษมและตลาดปีระกา

‘ยู่ไถ่ หมูโรงไม้’ ร้านหมูแดง-หมูกรอบในอดีตโรงไม้ย่านภูเขาทอง

ยู่ไถ่ หมูโรงไม้ บริพัตร ร้านหมูแดง-หมูกรอบ ภูเขาทอง

วันนี้หากพูดถึงย่านค้าไม้ใหญ่ในกรุงเทพฯ ‘บางโพ’ กลายเป็นปลายทางของเหล่าช่างในการซื้อไม้ชนิดต่างๆ จนได้ชื่อว่าเป็น ‘ถนนสายไม้’ แต่อันที่จริงแล้วคนสมัยก่อนหากต้องการไม้ไปสร้างบ้าน หลังวัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร หรือภูเขาทอง ริมถนนบริพัตร รวมถึงริมคลองมหานาค คือจุดหมาย เพราะเป็นแหล่งรวมโรงเลื่อยและร้านขายไม้ที่ใหญ่มาก ก่อนที่จะมีบางร้านขยายกิจการไปในย่านบางโพในเวลาต่อมา

‘โรงขายไม้ยู่ไถ่’ ก็เป็นหนึ่งในหลายสิบร้านไม้ที่อยู่คู่ถนนสายนี้ แม้ว่าร้านรวงรอบข้างยังคงมีเสียงไสไม้ เลื่อยไม้ พร้อมกับมีไม้แปรรูปวางขายด้านหน้าเหมือนเก่า แต่วันนี้โรงไม้ยู่ไถ่ได้เปลี่ยนแปลงร้านขนาด 2 ห้องแถวนี้เป็นร้านขายหมูแดง-หมูกรอบในชื่อ ‘ยู่ไถ่ หมูโรงไม้’ กิจการใหม่ในตึกเก่าอายุเฉียดศตวรรษ

ยู่ไถ่ หมูโรงไม้ บริพัตร ร้านหมูแดง-หมูกรอบ ภูเขาทอง

‘พี่เบิร์ด-ศวิษฐ ศรีสิทธิพิศาลภพ’ และ ‘พี่เปิ้ล-ฐาปณี หล่อวิจิตร’ ทายาทของร้านค้าไม้แห่งนี้เป็นผู้รับไม้ผลัดดูแลบ้านต่อ นั่งเล่าให้ฟังว่า การเปลี่ยนแปลงจากโรงไม้สู่ร้านขายอาหารเริ่มต้นขึ้นในช่วงโควิด-19 ขณะที่กิจการไม้ไม่มีผู้รับช่วงต่อ ทั้งคู่ออกจากงานประจำ และเริ่มลองเปิดร้านขายอาหารเล็กๆ ด้านหน้าบ้านดู

“กลับมาตอนนั้นบ้านยังรกอยู่เลย ก็ขายๆ เหมือนเล่นขายของ” เจ้าของฝ่ายหญิงย้อนความอย่างอารมณ์ดี ก่อนเล่าต่อว่า ในตอนนั้นมีลูกค้ามากินอาหารที่ร้านแล้วได้ลองชิมหมูกรอบที่พี่เบิร์ดเป็นคนทำก็เลยติดใจ ทั้งคู่จึงเริ่มทำเป็นกล่องกิฟต์เซตออกขาย ก่อนที่ต่อมาจะเปิดร้านที่เน้นไปทางด้านหมูแดง-หมูกรอบ โดยตั้งใจให้ ‘ข้าวเฉโป’ ที่ประกอบไปด้วยเนื้อสัตว์ต่างๆ ทั้งหมู เป็ด ไก่ โปะลงบนข้าวสวย เป็นตัวชูโรงประจำร้าน

“จริงๆ ต้องบอกว่าเปิดร้านอาหารเพื่อทำให้ความเป็นร้านยู่ไถ่ยังคงอยู่” คู่สนทนาฝ่ายชายเล่าถึงความตั้งใจที่แท้จริงในการเปิดร้านอาหารบ้าง โดยอีกเรื่องหนึ่งในการทำเมนูนี้คือ ยังสามารถเชื่อมโยงไปถึงคุณย่าของพี่เปิ้ลซึ่งมาจากฮ่องกงด้วย

ยู่ไถ่ หมูโรงไม้ บริพัตร ร้านหมูแดง-หมูกรอบ ภูเขาทอง

แน่นอนว่าเมนูขึ้นชื่อของร้านคือพวกของย่างต่างๆ โดยเฉพาะหมูแดงและหมูกรอบ ทว่ากว่าจะทำแล้วอร่อยจนหลายคนชอบก็ผ่านการทดลองสูตรหลายต่อหลายหน เพื่อให้คล้ายกับรสชาติที่พี่เบิร์ดคิดถึงตอนไปกินที่มาเก๊า

และอีกเคล็ดลับความอร่อยในวันนั้นที่ไม่เหมือนใครคือ ‘กลิ่น’ ที่ได้จากการย่าง

“บ้านนี้ทำไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้สัก ไม้แดง ไม้พะยูง ก็จะเหลือเศษไม้ เราก็ลองเอามาย่างกินเล่นก่อน แล้วพบว่าหอมดี” พี่เบิร์ดเผยสูตรลับในช่วงที่เริ่มทำร้าน ที่เขานำเอาเศษไม้สักที่เหลือจากการแปรรูปเป็นวงกบมาเป็นเชื้อเพลิง ทำให้ได้กลิ่นหอมเฉพาะตัวและไม่เหมือนใคร

เมื่อเวลาผ่านไป ลูกค้าที่มีมากขึ้น ประกอบกับร้านตั้งอยู่ในเขตชุมชน เพื่อไม่ให้ควันไปรบกวนเพื่อนบ้าน เมนูย่างของร้านจึงเปลี่ยนมาใช้เตาแก๊สแทน ซึ่งเจ้าของร้านก็ยอมรับว่าทำให้ความดีงามของกลิ่นเลือนหายไปบ้าง แต่ลูกค้าเก่าๆ ก็ยังให้การตอบรับถึงรสชาติที่ยังคงที่เหมือนเดิม

ยู่ไถ่ หมูโรงไม้ บริพัตร ร้านหมูแดง-หมูกรอบ ภูเขาทอง

ก่อนหน้านี้เจ้าของบ้านไม่ค่อยได้อยู่อาศัยที่บ้านหลังนี้มากนัก ด้วยวัยที่โตขึ้นต้องออกไปทำงานที่อื่น แต่ทันทีที่ถามถึงความทรงจำของย่านในวันเก่าที่เธอยังจำได้ เธอตอบว่าคือ งานวัดภูเขาทอง เทศกาลประจำปีที่ทำให้ถนนสายนี้คึกคัก มีร้านค้าต่างๆ มากมาย รวมถึงการละเล่นต่างๆ เช่น ละครลิง สาวน้อยตกน้ำ รถไต่ถัง และเมียงู-ผีกระสือ ซึ่งถึงวัดจะกลับมาจัดงานอีกครั้งหลังจากหยุดพักไปในช่วงโควิด-19 แต่ก็ให้บรรยากาศไม่เหมือนเดิม

เช่นเดียวกับเครื่องจักรในโรงไม้ คนงานที่เดินเข้าออกกันขวักไขว่ ไม้ท่อนขนาดน้อยใหญ่ และวงกบประตูหน้าต่างวางจนล้นมาด้านนอก ภาพเหล่านี้หายไปจากอาคารพาณิชย์แห่งนี้มาหลายปีแล้ว เช่นกันกับกิจการร้านไม้รอบข้างที่อาจไม่ได้คึกคักเหมือนแต่ก่อน ด้วยพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป

อาจพูดได้ว่า ร้านยู่ไถ่ หมูโรงไม้ เป็นร้านเก่ากลุ่มแรกๆ ที่เริ่มปรับเปลี่ยนธุรกิจในย่าน ตามมาด้วยเพื่อนบ้านร้านอื่นๆ ใกล้เคียงกันที่เริ่มเปลี่ยนเป็นร้านกาแฟ ขณะที่ด้านนอกร้านผู้คนก็เริ่มเปลี่ยนหน้า ในช่วงกลางวันก็มีชาวต่างชาติมาเดินผ่านมากขึ้น โดยเท่าที่เราสังเกตอาจมีมากกว่าคนไทยเสียด้วยซ้ำ ขณะที่ด้านหลังร้านซึ่งติดกับคลองคูเมืองเดิมก็มีการปรับภูมิทัศน์ทำทางเดินริมคลอง รวมถึงรถไฟฟ้าสายใหม่ที่กำลังก่อสร้างไม่ไกลกัน

ยู่ไถ่ หมูโรงไม้ บริพัตร ร้านหมูแดง-หมูกรอบ ภูเขาทอง

แม้มีคนมาแถวนี้มากขึ้น แต่เมื่อมืดลงบรรยากาศแถบนี้ก็เปลี่ยนไป ข้อดีของย่านนี้จากปากเจ้าของบ้านจึงเป็นความสงบ มีสัตว์ต่างๆ แวะเวียนมาเยี่ยมบ้านอยู่เรื่อยๆ จากความร่มรื่นของต้นไม้ในวัดสระเกศฯ และริมคลองด้านหลังบ้าน ให้บรรยากาศที่คล้ายสวนในชานเมืองไม่น้อย ซึ่งผิดคาดจากทำเลที่ตั้ง เพราะอยู่แทบจะใจกลางเมืองเก่า แถมยังไม่ไกลจากแหล่งท่องเที่ยวในเกาะรัตนโกสินทร์

“คนที่มาเดินถนนเส้นนี้ สังเกตว่าเป็นคนที่เจาะจงมา และจุดที่ชอบบนถนนเส้นนี้คือตึก ตึกมันสวยดีจริงๆ” พี่เบิร์ดเล่า

“เราว่ามันเป็นกลางเมืองที่ไปไหนสะดวก จริงๆ ก่อนหน้านี้เงียบกว่า แต่ด้วยเขาทำรถไฟฟ้าแล้วปิดถนน รถเลยมาวิ่งทางนี้เยอะขึ้น แต่กลางคืนก็เงียบเลย” พี่เปิ้ลเสริม

สำหรับเทศกาล Bangkok Design Week 2025 ที่จัดขึ้นตลอดเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จะมีอีเวนต์บางส่วนที่แวะมาที่ร้านยู่ไถ่ หมูโรงไม้ ซึ่งน่าจะทำให้แถบนี้เป็นที่รู้จักและมีคนแวะเวียนเข้ามาในย่านมากขึ้น

เสียงจาก ‘บ้านบาตร’ ศูนย์รวมช่างทำบาตรพระที่สืบต่อกันมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา

บ้านบาตร ช่างทำบาตรพระ บริพัตร กรุงเทพฯ ชุมชน

เดินออกจากย่านค้าไม้ไปตามถนนบริพัตร เราจะได้ยินเสียงเคาะบาตรดังเป็นจังหวะ คล้ายเป็นสัญญาณต้อนรับว่าล่วงเข้าสู่แหล่งหัตถกรรมสำคัญของเกาะรัตนโกสินทร์

ถึงจะแทรกตัวอยู่ท่ามกลางอาคารพาณิชย์ แต่นอกจากเสียงที่ดังลั่นออกมาแล้ว อุปกรณ์และคนที่นั่งตีบาตรกันตั้งแต่ปากทาง รวมถึงป้ายชุมชนขนาดใหญ่ ก็เป็นสิ่งช่วยสำทับว่านี่คืออาณาบริเวณของ ‘บ้านบาตร’

บ้านบาตร ช่างทำบาตรพระ บริพัตร กรุงเทพฯ ชุมชน

เข้าจากถนนด้านหน้ามาไม่ไกล ‘ป้ากฤษณา แสงไชย’ ในวัย 73 ปี นั่งตีบาตรรออยู่ที่ด้านหน้าของบ้าน ทันทีที่เสียงตีบาตรจากค้อนของป้ากฤษณาเบาลงไป ก็แทนที่ด้วยเสียงเล่าเรื่องราวจากความทรงจำ

“บรรพบุรุษเป็นคนอยุธยา ผู้ใหญ่เล่าว่า เป็นการอพยพจากคลองบาตรพระที่อยุธยา” ป้าเล่าพร้อมกับชี้ให้ดูภาพเก่าของครอบครัวที่ด้านหลัง

ในอดีตบ้านบาตรมีกลุ่มช่างทำบาตรกระจายอยู่ทั้งชุมชน ไม่จำกัดเพศและวัย แต่ในวันนี้เหลือน้อยลงด้วยนานาเหตุผล ทั้งคนเก่าล้มหายตายจาก ไม่มีผู้สานต่อ รวมถึงบาตรปั๊มที่ทำจากเครื่องได้ทีละมากๆ เข้ามาแย่งส่วนแบ่งในตลาดของบาตรทำมือ

“เห็นความเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ตอนเรายังเด็ก จากเคยทำบาตรทุกบ้าน มันหายไปเลย ทั้งชุมชนมีเป็นสิบครอบครัว เป็นวิถีชีวิตคนชุมชนตั้งแต่เราจำความได้”

บ้านบาตร ช่างทำบาตรพระ บริพัตร กรุงเทพฯ ชุมชน

บาตรตำรับบ้านป้ากฤษณาเป็นงานคราฟต์ที่สืบทอดมาถึงรุ่นที่ 5 แล้ว โดยมีวิธีการเฉพาะที่ต่างไปจากบ้านอื่น คือการทำถึง 21 ขั้นตอน ตั้งแต่นำเหล็กมาประกอบ กระทั่งค่อยๆ ตีจนเชื่อมเป็นเนื้อเดียว และรูปทรงบาตรกลมเสมอกัน ซึ่งเรียนรู้จากคุณแม่ตั้งแต่อายุได้แค่ 7 ขวบ แม้วันนี้ไม่ได้อาศัยอยู่ในชุมชนแล้ว แต่ป้ากฤษณายังเดินทางมาที่บ้านเกิดเพื่อตีบาตร และพูดคุยกับลูกค้าที่เข้ามาหาซื้อบาตรทำมือซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ เธอจึงเสียดายไม่น้อยหากองค์ความรู้ด้านการทำบาตรของครอบครัวต้องสูญหายไป

“ในอนาคตจะมีผู้ใจบุญทำแกลเลอรีให้ เราก็อยากทำ เพราะไม่มีคนสานต่อเรื่องบาตร นับวันมันจะเลือนราง ไม่มีคนสนใจแล้ว” เธอเล่าถึงความหวังหากที่ดินจะเปลี่ยนเป็นแหล่งรวมข้อมูลให้ผู้สนใจได้เข้ามาศึกษา

บ้านบาตร ช่างทำบาตรพระ บริพัตร กรุงเทพฯ ชุมชน โหมโรง

“รู้จักเรื่องโหมโรงไหม” คู่สนทนาเอ่ยถามต่อ ก่อนบอกว่า เมื่อสมัยยังเด็กย่านนี้ยังเป็นที่ตั้งบ้านศิลปบรรเลง ของหลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ซึ่งป้ากฤษณาเป็นเด็กรุ่นสุดท้ายที่ยังทันวิ่งเล่นอยู่ในบ้าน ก่อนจะเปลี่ยนมือเจ้าของไป

“ถนนนี้มีสตอรีเล่าเยอะมาก จริงๆ ในเวิ้งนี้ก็มีบ้านของหลวงประดิษฐ์ฯ บ้านยายอยู่ติดกันเลย เราเป็นเด็กรุ่นสุดท้ายที่วิ่งอยู่ในนั้น ในบ้านเป็นเรื่องเกี่ยวกับศิลปะทุกอย่าง” ช่างบาตรพาย้อนเวลาถึงบรรยากาศในวันเก่า ที่เป็นแหล่งรวมของดนตรีและงานหัตถศิลป์ต่างๆ

นอกจากบ้านของ ‘ลุงหลวงประดิษฐ์’ ที่ป้ากฤษณาเรียกในวันนั้น เธอจำได้ว่า มากไปกว่าเครื่องดนตรีที่มีให้เห็นเต็มไปหมดแล้ว ใกล้กันยังมีบ้านของครูชิต แก้วดวงใหญ่ ปรมาจารย์ด้านการทำหัวโขนของกรมศิลปากรด้วย

ส่วนฝั่งตรงข้ามของบ้านบาตรคือ บ้านดอกไม้ แหล่งทำพลุ-ดอกไม้ไฟที่เก่าแก่พอๆ กัน โดยความทรงจำของป้าและชาวย่าน คือวันดีคืนดีที่มีพลุระเบิดและเลยเข้ามาถึงชุมชน

“พูดง่ายๆ วิ่งหนีไฟตั้งแต่ยังไม่นุ่งผ้า เหมือนยิงปืนใหญ่”

บ้านบาตร ช่างทำบาตรพระ บริพัตร กรุงเทพฯ ชุมชน

ไม่เพียงแต่งานศิลปหัตถกรรม อีกกิจการที่มีมากบนถนนบริพัตรคือ ร้านอะไหล่ยนต์ ด้านหน้าบ้านบาตรก็มีให้เห็นอยู่หลายร้าน เราจึงถือโอกาสถามที่มาที่ไปของร้านเหล่านี้จากมุมมองของชาวบ้านบาตรที่อาศัยมาแต่เด็ก

“ตอนแรกเป็นบ้านคน ตอนหลังมาเป็นร้านขายอะไหล่ เพราะอะไหล่ยุโรปดัง” ป้ากฤษณาบอกว่า ในช่วงที่เรียนอยู่ชั้นประถมฯ ร้านขายอะไหล่ค่อยๆ ย้ายเข้ามาจับจองพื้นที่เรื่อยๆ จนเป็นแหล่งค้าตลอดถนน โดยที่มาของอะไหล่เปลี่ยนไปตามความนิยมของยุคสมัย จนในที่สุดวันนี้หลายร้านก็ค่อยๆ หายไป

‘ชุมชนวังแดง’ ย่านคนจีนแต้จิ๋วอายุกว่าร้อยปีที่ซ่อนอยู่หลังแหล่งค้าอะไหล่ยนต์

ชุมชนวังแดง ย่านคนจีนแต้จิ๋ว กรุงเทพฯ บริพัตร

หากสังเกตอาคารพาณิชย์รุ่นเก่าในพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์และใกล้เคียง หลายแห่งมีรูปแบบหนึ่งที่คล้ายกันคือ การสร้างอาคารเลียบไปตามถนน แล้วโอบล้อมชุมชนที่อยู่ด้านในไว้ พร้อมกับเว้นอาคารไว้สำหรับใช้เป็นทางเข้า-ออก

ถัดมาจากบ้านบาตรไม่ไกลนัก จะพบกับ ‘ชุมชนวังแดง’ หนึ่งในชุมชนที่ซ่อนอยู่ด้านหลังตึกแถวค้าอะไหล่ ชื่อบ้านนามเมืองมาจากวังของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ที่อยู่ในละแวกนั้น ส่วนประชากรหลักแต่เดิมน่าจะเป็นชาวจีนแต้จิ๋ว เห็นได้จากศาลเจ้าปึงเถ้ากง บริเวณกลางชุมชน

“ศาลนี้ตั้งแต่มาอยู่ก็มีแล้ว ดูแลทั้งวังแดงเลย”

‘โกวเพ็ชรา ล้วนโกศลชัย’ รองประธานชุมชนวังแดง เล่าให้ฟังถึงที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวบ้าน ซึ่งทุกปีจะจัดงานใหญ่อย่างเสี่ยซิ้งหรือขอบคุณเทพเจ้าช่วงปลายปี และงานวันตรุษจีน-สารทจีน

ชุมชนวังแดง ย่านคนจีนแต้จิ๋ว กรุงเทพฯ บริพัตร

โกวเพ็ชราเล่าต่อว่า ในอดีตคนในชุมชนมีนับร้อยหลังคาเรือน ประกอบหลากหลายอาชีพ แต่ที่เพิ่งเคยรู้คือกลุ่มคนทำทองรูปพรรณ ที่ในชุมชนทำกันเกือบทุกขั้นตอน
“ผู้หญิงสาวๆ ขัดทอง ขัดเงา ดึงลวด ก็อยู่ในนี้หมด” รองประธานชุมชนเล่าถึงอาชีพดั้งเดิมที่วันนี้หลายคนเลิกไป บ้างก็ย้ายออกแล้วเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น “งานมันน้อยลง เดี๋ยวนี้เลยกลายเป็นโกดัง วางของอะไหล่”

ระหว่างนั่งฟังโกวเพ็ชราเล่าถึงบรรยากาศในชุมชน มีคนเข็นกล่องอะไหล่เข้ามาอยู่เนืองๆ โดยน่าสังเกตว่า ในบรรดาห้องแถวหลายห้องในชุมชนวังแดงที่ปิดตาย กลายเป็นว่าอะไหล่ต่างๆ ของร้านรวงริมถนนด้านหน้า รวมถึงในย่านวรจักร-คลองถม เข้ามาแทนที่ ส่วนจำนวนสมาชิกในชุมชนวังแดงนับวันจะลดลงสวนทางกับปริมาณอะไหล่ไปเรื่อยๆ

‘Heiwa Kissa’ คาเฟ่สไตล์ญี่ปุ่น สมาชิกใหม่ของถนนบริพัตร

Heiwa Kissa คาเฟ่สไตล์ญี่ปุ่น บริพัตร คิสสะเต็น

ติดกันกับชุมชน ท่ามกลางร้านค้าอะไหล่ยนต์มีตึกห้องหนึ่งหน้าตาดูต่างออกไปจากเพื่อนข้างๆ เมื่อมองผ่านกระจกเข้าไป ด้านในตกแต่งโทนสีน้ำตาล ไฟวอร์มไลต์ให้โทนอบอุ่น เฟอร์นิเจอร์แบบย้อนยุค ป้ายชื่อร้านบอกว่า ที่นี่คือคาเฟ่สไตล์ญี่ปุ่นแบบโบราณหรือที่เรียกกันว่า ‘คิสสะเต็น’ (Kissaten)

ด้านหลังเคาน์เตอร์ของร้าน ‘ธัน-อธิวัชร์ วงษ์ขวัญเมือง’ เจ้าของร้านเล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นของคาเฟ่แห่งนี้ว่า ด้วยความที่จบการศึกษาจากคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ในเขตเมืองเก่า ทำให้คุ้นเคยกับที่แถบนี้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังชอบมาหาของกินในย่านเก่าอยู่บ่อยๆ เช่น สำราญราษฎร์-ประตูผี ทำให้เมื่อมีความคิดอยากเปิดร้านขึ้นมาจึงโฟกัสพื้นที่แถบนี้เป็นพิเศษ

Heiwa Kissa คาเฟ่สไตล์ญี่ปุ่น บริพัตร คิสสะเต็น

“เรามีในหัวอยู่แล้วว่าต้องการพื้นที่ขนาดไม่ใหญ่มาก และอยากได้โอลด์ทาวน์” ธันบอกพร้อมเสริมว่า จริงๆ แล้วอยากเปิดร้านในแถบย่านประตูผี แต่ด้วยเป็นย่านที่บูมมาพักใหญ่แล้ว ทำให้ราคาถีบตัวสูงเกินไป เลยตัดสินใจขยับมาริมถนนบริพัตร ซึ่งก็มีรถไฟฟ้าสถานีสามยอดมาถึงแล้ว

ธันตั้งใจอยากให้คาเฟ่เป็นคิสสะเต็น ดังนั้นจึงพยายามเชื่อมโยงความเป็นญี่ปุ่นโบราณเข้ากับย่านประวัติศาสตร์ในไทย และด้วยความบังเอิญ เขายังพบว่าในอดีตไม่ไกลจากที่ตั้งร้าน แถบวัดชัยชนะสงครามหรือวัดตึกก็เคยมีโรงหนังญี่ปุ่นที่นำหนังญี่ปุ่นมาฉาย ซึ่งก็ลงล็อกเชื่อมโยงกับสิ่งที่อยากทำพอดี

“ถนนเส้นนี้ทำการค้าทั้งถนน ส่วนใหญ่ก็ขายเครื่องยนต์ อะไหล่รถยนต์ แต่บางร้านก็เป็นร้านตีทอง ยอมรับว่ามันค่อนข้างหายไปเยอะแล้ว เพราะทองแพง” เขาพูดถึงสภาพแวดล้อมรอบข้างของร้านเท่าที่เห็น หลังจากเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของย่านนี้ได้ 1 ปีพอดี

“คนค่อนข้างเป็นมิตร อย่างเปิดร้านวันแรก คนบ้านตรงข้ามมาอวยพร มาช่วยซื้อ ทุกวันนี้ก็ติดต่อกัน มีอะไรเราก็ขอความช่วยเหลือได้หมด หรือเฮียร้านข้างๆ เราขอยืมของได้เลย เพราะพื้นเพเป็นช่างกันมาก่อน เลยมีอุปกรณ์ครบครัน”

Heiwa Kissa คาเฟ่สไตล์ญี่ปุ่น บริพัตร คิสสะเต็น

Heiwa Kissa เป็นร้านกาแฟแสนสงบขนาด 2 ชั้น ด้วยทำเลที่ตั้งและเอกลักษณ์เฉพาะของร้านที่ไม่มีใครเหมือน รวมถึงรสชาติของเมนูแนะนำอย่างกาแฟที่ชงด้วยวิธีแบบดั้งเดิม พุดดิ้ง และครีมโซดา ทำให้วันนี้ที่นี่กลายเป็นจุดหมายของหลายคนที่มาเยือนเมืองเก่าไปด้วย

ธันมองว่า อันที่จริงแล้วถนนบริพัตรนี้เป็นอีกหนึ่งย่านที่มีศักยภาพของกรุงเทพฯ แม้บ้านหลายหลังเจ้าของยังคงอาศัยอยู่ หรือหากรีโนเวตก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงกิจการจากเดิม ทว่าด้วยการเดินทางที่สะดวกและยังจอดรถได้ ในอนาคตก็น่าจะมีร้านใหม่ๆ เพิ่มเข้ามา

ขณะเดียวกัน ยิ่งมีโครงการพัฒนาเวิ้งนาครเขษมที่ฝั่งหนึ่งของถนน เขาก็ยิ่งหวังว่าความเจริญและผู้คนจะเลยมาถึงในโซนอื่นๆ ของถนนบริพัตรด้วย ซึ่งน่าจะทำให้คนพลุกพล่านมากขึ้น

ย่าน บริพัตร กรุงเทพฯ ประวัติศาสตร์ ย่านเมืองเก่า

หากในช่วงสุดสัปดาห์ ใครยังมองหาย่านเก่าใหม่ๆ มาเดินเล่นมองเมือง เราขอฝากถนนบริพัตรเป็นอีกเส้นทางที่น่ามารู้จัก สัมผัสกลิ่นอายเมืองเก่า ซึมซับเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่แทรกอยู่ตลอดถนน ไม่แน่ว่าอาจเห็นความเชื่อมโยงของกิจการร้านค้าในแต่ละยุคสมัยที่มารวมอยู่ในถนนสายเดียวกันนี้

แน่นอนว่าสถานที่และผู้คนที่อยู่ในบทความนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสมาชิกในย่านนี้เท่านั้น และเราเชื่อว่า ตัวอักษรและภาพที่คุณเห็นขณะนี้ไม่สามารถถ่ายทอดมวลดีๆ ของถนนบริพัตรได้ทั้งหมดเท่ากับการมาย่ำเท้าเดินเมืองที่นี่ด้วยตัวเอง

Writer

Graphic Designer

SEND YOUR STORY

REQUEST INTERVIEW

ติดตามอ่าน “Urban Creature”
นิตยสารออนไลน์ที่จะทำให้คุณรักเมืองที่คุณอยู่ รักตัวเองมากขึ้นด้วยการเปิดมุมมองและนำเสนอแนวทางการใช้ชีวิตอย่างสร้างสรรค์ และสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ในการใช้ชีวิต
Better Life. Better Living.

Max. file size: 256 MB.