คุยเรื่อง Cluster Tourism กับผศ. ดร.ณัฐพงศ์ พันธ์น้อย - Urban Creature

‘แทนที่จะเที่ยวในประเทศ เก็บเงินเพิ่มอีกนิดหน่อยแล้วบินไปต่างประเทศเลยดีกว่าไหม’

ช่วงหลังมานี้ แนวคิดทำนองนี้เริ่มเกิดขึ้นบ่อย ไม่ใช่แค่เพราะค่าเดินทางในประเทศที่สูงขึ้น รวมถึงค่าครองชีพในบางพื้นที่แทบไม่ต่างจากเมืองในต่างประเทศ แต่มีส่วนมาจากในช่วงที่ผ่านมาการท่องเที่ยวในเมืองไทยไม่สามารถสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ที่น่าสนใจ แถมแหล่งท่องเที่ยวหลายแห่งก็ขาดมาตรฐานด้านความสะดวก ปลอดภัย และคุณภาพการบริการ

ทำให้คนไทยเริ่มรู้สึก ‘ไม่คุ้ม’ กับการท่องเที่ยวภายในประเทศ แต่ถ้าเมืองเราออกแบบมาอย่างดีพอ เดินทางง่าย สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ แนวคิดนี้อาจเปลี่ยนไป

กุญแจสำคัญของการปลดล็อกสิ่งนี้อาจอยู่ที่การออกแบบ ‘Cluster Tourism’ ที่เป็นกลยุทธ์การเชื่อมโยงการท่องเที่ยวในเมืองต่างๆ ภายใต้การพัฒนากิจกรรม แหล่งท่องเที่ยวที่เป็นเอกลักษณ์ และโครงสร้างพื้นฐานที่ได้มาตรฐาน เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้นักท่องเที่ยวไปพร้อมกับการส่งเสริมการพัฒนาท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นขนส่งมวลชน สิ่งอำนวยความสะดวก แหล่งเรียนรู้ และส่วนหนึ่งในการช่วยกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจไปยังท้องถิ่นและชุมชนอย่างยั่งยืน

ตาม Urban Creature ไปคุยกับ ‘อาจารย์อั๋น-ผศ. ดร.ณัฐพงศ์ พันธ์น้อย’ อาจารย์ประจำภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อยู่เบื้องหลัง CU Social Design Lab หรือศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการออกแบบเพื่อสังคม ซึ่งก่อนหน้านี้เขาได้ริเริ่มโครงการ Data Playground ร่วมกับ True ด้วยการดึงข้อมูลการเดินทาง (Mobility Data) ของนักเดินทางเป็นระยะเวลากว่าหนึ่งปี มาวิเคราะห์จนได้ออกมาเป็น 6 คลัสเตอร์เส้นทางท่องเที่ยวแบบกลุ่มจังหวัด เพื่อนำร่องแนวคิดนี้ให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทย

ก่อนอื่นอยากทราบว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวบ้านเรากำลังเผชิญสถานการณ์แบบไหนอยู่ ทำไมคุณถึงบอกว่าเป็นเรื่องน่ากังวล

เรามักได้ยินว่า การท่องเที่ยวเป็น ‘เครื่องจักรทางเศรษฐกิจที่สำคัญ’ ของประเทศไทย เหตุสำคัญที่เป็นเช่นนี้เพราะการท่องเที่ยวช่วยให้เรามี ‘ประชากรชั่วคราว (ผู้มาเยือน)’ ที่มีรายได้สูงมากพอที่จะบริโภคสินค้าและบริการที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและการจ้างงานเป็นจำนวนมากให้กับชาวไทย

ทำให้ถึงแม้ประเทศไทยจะมีประชากรเพียง 60 ล้านคน แต่เรามีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอีกเกือบ 40 ล้านคนต่อปี ที่ล้วนแต่เป็นกลุ่มคนที่มีกำลังจ่ายเข้ามาช่วยบริโภคสินค้าและบริการในประเทศ

แต่ในปัจจุบันอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่น่ากังวลอยู่ 2 มิติ คือ การสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อการพัฒนาท้องถิ่น และการแข่งขันกับต่างประเทศ

ตลอดระยะเวลา 20 กว่าปีที่ผ่านมา เราพบว่าการท่องเที่ยวไม่ได้สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อการพัฒนาท้องถิ่นในแต่ละภูมิภาคเท่าที่ควร ทั้งๆ ที่การท่องเที่ยวจัดเป็นอุตสาหกรรมการบริการที่มีโอกาสกระจายรายได้ไปสู่ท้องถิ่นที่หลายประเทศนำมาใช้เป็นกลยุทธ์พัฒนาเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น แต่ข้อมูลสถิติการท่องเที่ยวของประเทศไทยกลับชี้ว่า นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมีแนวโน้มกระจุกตัวอยู่ในไม่กี่จังหวัด เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต ชลบุรี และสุราษฎร์ธานี ทำให้สัดส่วนนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปพำนักในจังหวัดเมืองรองมีน้อยกว่ามาก

ส่งผลให้แม้ไทยจะมีรายได้สูงจากการท่องเที่ยวเป็นลำดับต้นๆ ของโลก ก็ยังไม่สามารถกระจายผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจการท่องเที่ยวไปสู่ท้องถิ่นและชุมชนได้เท่าที่ควร และในขณะเดียวกัน เราเองก็ปล่อยปละละเลยการบริหารจัดการเชิงพื้นที่อยู่มาก ทำให้กิจกรรมการท่องเที่ยวส่งผลเสียต่อมรดกวัฒนธรรม วิถีชีวิต และสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติในหลายพื้นที่ ถ้าพูดง่ายๆ คือ เรายังใช้เครื่องจักรทางเศรษฐกิจที่มีได้ไม่คุ้มค่า และยังจัดการกับผลกระทบเชิงลบได้ไม่ดีพอ

มากไปกว่านั้น ในด้านการแข่งขันกับต่างประเทศ ไทยเองก็มีคู่แข่งในตลาดการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น เวียดนาม หรือคู่แข่งที่ตามหลังเรามาติดๆ อย่างอินโดนีเซียและสิงคโปร์ ไปจนกระทั่งประเทศจีน ทำให้หลังการฟื้นตัวจากการระบาดของโรคโควิด-19 เราเริ่มสูญเสียแรงดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพสูงที่ช่วยส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และการรักษาสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้อัตราการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้จากการท่องเที่ยวของไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลงเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่ง สร้างผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจและการจ้างงานของประเทศไทยอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน

คุณคิดว่าอะไรที่ทำให้การท่องเที่ยวของประเทศไทยก้าวถอยหลังมาถึงจุดนี้ 

ต้องบอกว่าครั้งหนึ่งประเทศไทยเคยมีข้อได้เปรียบในตลาดการท่องเที่ยวทั้งในด้านทรัพยากรทางธรรมชาติ มีมรดกวัฒนธรรมที่โดดเด่น งดงาม และวิถีชีวิตของชาวไทยที่เป็นเอกลักษณ์ อีกทั้งบุคลากรด้านการท่องเที่ยวต่างมีความพร้อมต่อการให้บริการชาวต่างชาติ

แต่ปัญหาใหญ่ของประเทศเราคือ เราปล่อยปละละเลยการบริหารจัดการพื้นที่ท่องเที่ยวทั้งในเชิงการควบคุมทรัพยากรและคุณภาพ และเชิงการส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงไม่มีการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการในท้องถิ่นและชุมชนสามารถพัฒนาธุรกิจ สินค้า และการบริการด้านการท่องเที่ยวให้มีคุณภาพระดับสากล โดยเฉพาะในจังหวัดเมืองรอง

อีกทั้งสถานที่ให้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกที่อยู่ในรูปแบบของพิพิธภัณฑ์ ศูนย์ให้ความรู้ แหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม หรือแม้กระทั่งทรัพยากรธรรมชาติเอง ส่วนใหญ่มีสภาพเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา เนื่องจากไม่ได้รับการพัฒนาปรับปรุงพื้นที่และการให้บริการสาธารณะให้ทันสมัย หรือบางแห่งถูกเปลี่ยนแปลงไปจนสูญเสียคุณค่าเดิม

ถ้าใครเคยไปเที่ยวชายทะเลที่ Bondi Beach ประเทศออสเตรเลีย จะเห็นว่าแค่ที่อาบน้ำและที่เปลี่ยนเสื้อสาธารณะของเขาทั้งสะอาด สะดวก ปลอดภัย และสวยงามจนอยากถ่ายรูปเก็บเอาไว้ แต่กลับกันเวลาไปชายหาด น้ำตก หรือบ่อน้ำพุร้อนในไทย เราแทบจะหาพื้นที่สาธารณะสำหรับเปลี่ยนเสื้อผ้าและอาบน้ำที่มีมาตรฐานในระดับสากลได้ยาก อีกทั้งการบริหารจัดการของเสียก็มีปัญหา สภาพการจราจรติดขัด ทรัพยากรธรรมชาติถูกบุกรุก ไปจนถึงการที่นักท่องเที่ยวถูกหลอกลวงอยู่บ่อยครั้ง ทั้งหมดล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ลดเสน่ห์ด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทย

ผลลัพธ์เหล่านี้ทำให้เราขาดแคลนแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ที่มีกิจกรรมและสถานที่ที่น่าสนใจ สร้างประสบการณ์แปลกใหม่ให้นักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมาย คนต่างชาติที่มาเมืองไทยบ่อยๆ เริ่มเบื่อแหล่งท่องเที่ยวเดิมๆ และเริ่มมองหาจุดหมายปลายทางใหม่ในประเทศอื่น ส่วนคนไทยเองก็รู้สึกไม่คุ้มค่ากับการท่องเที่ยวภายในประเทศ จนหลายคนหันไปเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น นี่เป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยเริ่มสูญเสียความเป็นผู้นำในตลาดการท่องเที่ยวปัจจุบัน

แล้วเราจะแก้เกมปัญหาการท่องเที่ยวที่ไทยกำลังเผชิญอยู่ได้อย่างไร

ประเทศไทยพยายามแก้ปัญหานี้กันมาโดยตลอด หนึ่งในความพยายามที่สำคัญคือ การพัฒนา ‘การท่องเที่ยวเมืองรอง’ เนื่องจากเป็นโอกาสสำคัญในการพัฒนาต่อยอดทรัพยากรในท้องถิ่นไปสู่ซัปพลายการท่องเที่ยวใหม่ๆ ให้กับตลาดการท่องเที่ยวทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ รวมถึงเป็นกลไกในการกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจไปสู่แต่ละภูมิภาคในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวของประเทศไทยได้ในระดับหนึ่ง

แต่สัดส่วนปริมาณและรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในเมืองรองยังเพิ่มขึ้นไม่มากนัก รวมถึงปริมาณการเดินทางไปท่องเที่ยวในต่างประเทศของชาวไทยยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณการท่องเที่ยวเมืองรองภายในประเทศ สะท้อนให้เห็นว่า เรายังมีช่องว่างที่จะพัฒนาต่อยอดทรัพยากรการท่องเที่ยวในพื้นที่เมืองรองให้เป็นกลไกในการกระจายรายได้ไปสู่ท้องถิ่น และสร้างความสามารถทางด้านการแข่งขันทางการท่องเที่ยวให้กับประเทศไทยได้อีกมาก

และสาเหตุที่ทำให้เมืองรองยังไม่สามารถสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวได้มากเท่าที่ควร น่าจะมีเหตุผลหลักอยู่ 2 – 3 เรื่องด้วยกัน ดังนี้

หนึ่ง จังหวัดเมืองรองแต่ละจังหวัดมักไม่มีกิจกรรมที่น่าสนใจมากพอจะดึงดูดคนให้เดินทางไปพำนัก สองคือ การเดินทางที่ไม่สะดวก และสามคือ โครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกยังมีคุณภาพไม่พร้อมต่อการรองรับนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง

การแก้ไขปัญหาเหล่านี้จำเป็นต้องมีการลงทุนร่วมกันจากทั้งภาครัฐและเอกชนในช่วงเวลาที่เหมาะสม และในรูปแบบที่ส่งเสริมการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างเป็นระบบ ทั้งในด้านการพัฒนากิจกรรม การจัดเตรียมพื้นที่และโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการสื่อสารประชาสัมพันธ์

กลยุทธ์หนึ่งที่หลายประเทศมักใช้เพื่อกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในเมืองรอง หรือ Less Visited Area คือ ‘การพัฒนาการท่องเที่ยวในรูปแบบคลัสเตอร์’ (Cluster Tourism Development) โดยมีกลุ่มจังหวัดที่มีเมืองรองเป็นองค์ประกอบ ทั้งในรูปแบบของการจับกลุ่มเมืองรองกับเมืองหลัก หรือกลุ่มเมืองรองกับเมืองรองด้วยกันเอง เพื่อกำหนดทิศทางการลงทุนของภาครัฐและการส่งเสริมการพัฒนาธุรกิจด้านการท่องเที่ยวของเอกชนในพื้นที่ให้มีความสอดคล้องและส่งเสริมกันอย่างเป็นระบบ

การจับคลัสเตอร์ในลักษณะนี้จะช่วยแก้ปัญหาเมืองรองที่ในหนึ่งจังหวัดอาจไม่มีกิจกรรมและแหล่งท่องเที่ยวมากพอที่จะดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางไปพำนัก เพราะเราสามารถเชื่อมโยงกิจกรรมและพื้นที่การท่องเที่ยวในกลุ่มจังหวัด ผ่านการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและกิจกรรมการท่องเที่ยวที่สร้างประสบการณ์ที่น่าสนใจ ส่งเสริมการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไปจนถึงการจัดทำสินค้าและบริการที่ดึงดูดการบริโภค การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่ง รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีคุณภาพและปลอดภัย ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสให้นักท่องเที่ยวตัดสินใจไปเยือนในกลุ่มจังหวัดเมืองรองมากขึ้น

ต้องทำอย่างไรถึงจะเกิดการท่องเที่ยวแบบคลัสเตอร์ได้

อันดับแรก การพัฒนาการท่องเที่ยวแบบคลัสเตอร์จำเป็นต้องมีการลงทุนจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชนร่วมกันอย่างเป็นระบบ ดังนั้นการกำหนดพื้นที่ที่มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นคลัสเตอร์การท่องเที่ยวจึงมีความจำเป็นมาก โดยมักถูกกำหนดขึ้นจากรูปแบบการเดินทางของนักท่องเที่ยวและลักษณะทรัพยากรด้านการท่องเที่ยวในกลุ่มจังหวัดนั้นๆ ซึ่งที่ผ่านมาการจับกลุ่มในรูปแบบนี้มีความท้าทายมาก เนื่องจากขาดข้อมูลเชิงประจักษ์ที่แสดงถึงพฤติกรรมการเดินทางจริงของนักท่องเที่ยว ทำให้การกำหนดนโยบายการพัฒนาการท่องเที่ยวแบบคลัสเตอร์ต้องลองผิดลองถูกเป็นเวลานาน

แต่ปัจจุบันเราพบว่า ‘ข้อมูลการใช้โทรศัพท์มือถือ’ (Call Detail Record Data) สามารถบ่งบอกได้ว่า เมื่อนักท่องเที่ยวเดินทางไปยังจังหวัดหนึ่งแล้ว ในทริปเดียวกันมีการแวะไปเที่ยวในจังหวัดใดอีกบ้าง ทำให้เรานำข้อมูลนั้นมาวิเคราะห์กลุ่มจังหวัดเมืองรองที่สอดคล้องกับรูปแบบการเดินทางของนักท่องเที่ยวได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

และหลังจากที่ CU Social Design Lab ของเราได้รับความอนุเคราะห์จากบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด ให้นำข้อมูลการใช้โทรศัพท์มือถือที่ผู้ใช้งานอนุญาตเพื่อประโยชน์สาธารณะได้ และมีการดำเนินการคัดกรองข้อมูลตามกฎหมาย PDPA มาทดลองวิเคราะห์ ค้นหาแนวทางการจัดกลุ่มจังหวัดเมืองรองในการส่งเสริมการท่องเที่ยวรูปแบบคลัสเตอร์ในประเทศไทย ภายใต้การสนับสนุนโดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ทำให้เราพบว่า จังหวัดเมืองรองในประเทศไทยของเราสามารถจับกลุ่มเป็นคลัสเตอร์ได้ถึง 21 กลุ่มด้วยกัน

โดยตามหลักการพัฒนาคลัสเตอร์การท่องเที่ยวแล้ว พื้นที่การพัฒนาเหล่านี้จะประกอบด้วยพื้นที่ศูนย์กลาง พื้นที่เมืองบริวาร และพื้นที่ส่งเสริมพิเศษ

พื้นที่ศูนย์กลาง คือพื้นที่หลักสำหรับรองรับการกระจุกตัวของนักท่องเที่ยว มักเป็นพื้นที่ที่มีการพัฒนาสถานที่พักแรม ร้านค้า ร้านอาหาร สิ่งอำนวยความสะดวก โดยเฉพาะศูนย์คมนาคม รวมถึงศูนย์การเรียนรู้หรือพิพิธภัณฑ์ที่ช่วยอธิบายความหมายของทรัพยากรการท่องเที่ยวในกลุ่มจังหวัด ทั้งในแง่ของการเรียนรู้คุณค่าทางวัฒนธรรมและระบบนิเวศ รวมถึงสถานที่และกิจกรรมการท่องเที่ยวที่สำคัญในคลัสเตอร์นั้น

ส่วนพื้นที่เมืองบริวารมักเป็นพื้นที่ที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นองค์ประกอบสำคัญ จึงมีความจำเป็นต้องพัฒนาสถานพักแรมและสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อดึงดูดผู้มาเยือนให้พำนักในพื้นที่ให้นานขึ้น รวมถึงพัฒนาจุดเชื่อมต่อการเดินทางไปยังพื้นที่ส่งเสริมพิเศษ ซึ่งหมายถึงพื้นที่ที่อาจยังไม่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวนัก แต่ท้องถิ่นและชุมชนต้องการดึงดูดผู้คนให้มาเยือน เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่ ซึ่งมีความจำเป็นต้องจัดเตรียมให้มีสถานที่และกิจกรรมการท่องเที่ยวที่น่าสนใจ มีสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับนักเดินทาง

นอกจากนั้น การร่วมมือกันระหว่างผู้ประกอบการท้องถิ่นและชุมชนในแต่ละจังหวัดในการพัฒนาสินค้าและบริการที่ช่วยเพิ่มรายได้ให้กับแต่ละพื้นที่ รวมไปถึงการร่วมมือกันสร้างแบรนด์เมือง (City Branding) เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญในการกระจายผลลัพธ์จากการท่องเที่ยวไปสู่แต่ละจังหวัด

อยากให้อธิบายเพิ่มเติมถึงความสำคัญและบทบาทในการพัฒนาคลัสเตอร์การท่องเที่ยวของศูนย์การเรียนรู้และพิพิธภัณฑ์

โดยทั่วไป พิพิธภัณฑ์คือพื้นที่สำหรับเก็บรวบรวมและถ่ายทอดองค์ความรู้เชิงลึกที่สำคัญในแต่ละด้านให้ผู้เชี่ยวชาญและบุคคลทั่วไป ด้วยการออกแบบการนำเสนอข้อมูลและองค์ความรู้ที่เข้าใจง่ายและน่าสนใจ ผ่านการเล่าเรื่อง การจัดนิทรรศการ และการออกแบบพื้นที่ให้สวยงาม ทำให้พิพิธภัณฑ์กลายเป็นพื้นที่สำคัญของการท่องเที่ยวในหลายเมืองทั่วโลก

เมื่อมันถูกรวมเข้ากับการส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบคลัสเตอร์ที่ต้องเชื่อมโยงกิจกรรมและสถานที่ท่องเที่ยวในหลายจังหวัด พิพิธภัณฑ์จึงเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเข้าใจร่วมกันให้กับผู้มาเยือนเกี่ยวกับองค์ความรู้และคุณค่าที่ต้องการให้เขาได้รับจากการมาเยือนกลุ่มจังหวัดนั้นๆ ยกตัวอย่าง การลิ้มลองวัฒนธรรมอาหาร ความเข้าใจในความเชื่อ ความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศ ความน่าสนใจของภูมิประเทศ เป็นต้น

ยิ่งคุณค่าที่พิพิธภัณฑ์สื่อสารออกไปมีลักษณะเป็น ‘Universal Value’ หรือคุณค่าร่วมที่คนทั่วโลกให้ความสำคัญ ก็ยิ่งทำให้กลุ่มจังหวัดนั้นดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้มากขึ้น

การท่องเที่ยวแบบคลัสเตอร์จึงมักมีการพัฒนาพื้นที่ศูนย์กลางการเรียนรู้และพิพิธภัณฑ์ให้เป็นพื้นที่แรกที่นักท่องเที่ยวไปเยือน โดยอาจออกแบบให้เป็นอาคารขนาดเล็กกระจายตัวอยู่ในย่านท่องเที่ยว หรือเป็นสถานที่เปิดบนเส้นทางเชื่อมโยงคุณค่าที่สำคัญของกลุ่มจังหวัด เพื่อถ่ายทอดความรู้และสร้างความเข้าใจในคุณค่าการเดินทางท่องเที่ยวแต่ละจังหวัด และกระจายผู้คนให้เดินทางไปยังท้องถิ่นและชุมชนในเมืองรองมากขึ้น

อีกทั้งยังเป็นการทำให้นักท่องเที่ยวทราบถึงภารกิจของการเดินทาง เช่น การไปตามเก็บสิ่งที่ควรไปชม ไปลอง ไปกิน หรือไปซื้อ ซึ่งจะสร้างประสบการณ์ที่ดีในการเดินทางไปท่องเที่ยวในกลุ่มจังหวัดนั้น สิ่งนี้น่าจะเป็นอีกบทบาทหนึ่งที่พิพิธภัณฑ์สามารถช่วยส่งเสริมการพัฒนาการท่องเที่ยวแบบคลัสเตอร์ได้เป็นอย่างดี

อยากให้คุณยกตัวอย่างประเทศที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาการท่องเที่ยวแบบคลัสเตอร์ และแนวทางที่น่านำมาปรับใช้กับประเทศไทย

ญี่ปุ่นนับเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาการท่องเที่ยวแบบคลัสเตอร์ นับตั้งแต่ปี 2553 เนื่องจากรัฐเข้ามาลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและกระตุ้นให้ภาคเอกชนพัฒนากิจกรรม สินค้า และบริการด้านการท่องเที่ยวผ่านการผ่อนปรนกฎหมาย การสนับสนุนงบประมาณ และการสื่อสารประชาสัมพันธ์ จนเกิดเป็นกลุ่มพื้นที่ท่องเที่ยวมากถึง 10 คลัสเตอร์ ส่งผลให้ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศดาวรุ่งด้านการท่องเที่ยวในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

ยกตัวอย่าง ‘คลัสเตอร์คันไซ’ คลัสเตอร์ดั้งเดิมที่ประกอบด้วยเมืองโอซากา เกียวโต โกเบ และนารา ที่พัฒนาด้วยการเชื่อมโยงการเดินทางด้วยรถไฟและสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่รอบสถานี จากการลงทุนของกลุ่มบริษัท Hankyu Hanshin ร่วมกับการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม การส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และการรักษาทัศนียภาพของเมืองโดยภาครัฐ

‘คลัสเตอร์คิวชูเหนือ’ ที่ชูเรื่องราวของเมืองด้วยอาหารและวัฒนธรรมสมัยปฏิวัติอุตสาหกรรม หรือ ‘คลัสเตอร์คิวชูใต้’ ที่นำเสนอความอุดมสมบูรณ์ด้านเกษตรกรรมและทรัพยากรธรรมชาติ ผ่านการพัฒนารถไฟสายท่องเที่ยวที่ออกแบบทั้งการบริการ สถานที่ และการสื่อสารอย่างมีอัตลักษณ์ เพิ่มประสบการณ์การท่องเที่ยวอย่างน่าประทับใจให้กับผู้มาเยือน

รวมถึง ‘คลัสเตอร์หมู่เกาะเซโตอุจิ’ พื้นที่หมู่เกาะกลางทะเลระหว่างเกาะฮอนชู ชิโกกุ และคิวชู ที่มีการร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชนในการพัฒนาพิพิธภัณฑ์ศิลปะระดับโลก พร้อมระบบการเดินทางและโครงสร้างพื้นฐานใหม่ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นในหมู่เกาะชุมชนประมงที่เคยเข้าสู่ขั้นวิกฤติเนื่องจากการก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ

ถ้ามองถึงประเด็นสำคัญที่น่านำมาประยุกต์ใช้กับประเทศไทย อย่างแรกคือ การพัฒนาระบบขนส่งมวลชนที่ทั้งสะดวก ปลอดภัย และราคาประหยัด เพราะไม่เพียงทำให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติทุกวัยได้รับประสบการณ์ที่ดีจากการเดินทางไปท่องเที่ยวในพื้นที่ห่างไกล แต่ยังเป็นการพัฒนาระบบบริการสาธารณะให้ประชาชน ทั้งเยาวชนและผู้สูงอายุสามารถเดินทางในชีวิตประจำวันได้อย่างสะดวก

ถ้าประเทศไทยหันกลับมาปรับปรุงการให้บริการระบบรถไฟ ส่งเสริมภาคเอกชนในแต่ละภูมิภาคให้ดีขึ้น รวมไปถึงเปิดให้บริการการเดินทางผ่านระบบออนไลน์ ก็อาจเป็นอีกหนทางหนึ่งที่ช่วยให้เราสามารถส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองได้อย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ

ในเมื่อเรามีแนวทางแล้ว อะไรคือความยากและความท้าทายของการพัฒนาการท่องเที่ยวในรูปแบบคลัสเตอร์ของประเทศไทย

ความท้าทายของการพัฒนาการท่องเที่ยวในรูปแบบคลัสเตอร์มีอยู่หลายประการ ทั้งในมิติของการขับเคลื่อนเชิงนโยบาย การจัดสรรงบประมาณ การสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม ตลอดจนการปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ

แต่ประเด็นสำคัญที่สุดที่ผมอยากเน้นคือ ‘การขาดองค์กรบริหารจัดการการพัฒนาพื้นที่ท่องเที่ยว’ ที่ทำหน้าที่เป็นกลไกกลางในการประสานการดำเนินงานระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนอย่างจริงจัง

เพราะการพัฒนาการท่องเที่ยวในรูปแบบคลัสเตอร์จำเป็นต้องดำเนินการอย่างเป็นองค์รวม ทั้งในด้านการพัฒนาพื้นที่ การออกแบบกิจกรรมการท่องเที่ยว การสร้างสินค้าและบริการ การสื่อสารประชาสัมพันธ์ รวมถึงการส่งเสริมให้ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

ดังนั้นแต่ละคลัสเตอร์จึงจำเป็นต้องมีองค์กรที่มีความพร้อมในการบริหารจัดการและประสานงานกับทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดการบูรณาการการพัฒนาให้ไปในทิศทางเดียวกันและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อท้องถิ่น ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว เป้าหมาย วิธีการ และความรวดเร็วของการพัฒนาการท่องเที่ยวของภาครัฐและภาคเอกชนมักแตกต่างกันตามลักษณะขององค์กร

หลายครั้งที่ภาครัฐมักมุ่งเน้นประโยชน์ส่วนรวมและความยั่งยืนในระยะยาว จนอาจทำให้การตัดสินใจเชิงนโยบายล่าช้าหรือไม่ทันต่อสถานการณ์ ในขณะที่ภาคเอกชนมักให้ความสำคัญกับผลตอบแทนทางเศรษฐกิจเป็นหลัก ซึ่งหากขาดการกำกับดูแลที่สมดุลอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม วิถีชีวิต และความรู้สึกของคนในพื้นที่ จนกลายเป็นแรงต่อต้านที่ทำให้การพัฒนาไม่สามารถเดินหน้าได้อย่างราบรื่น

สิ่งหนึ่งที่การพัฒนาในลักษณะคลัสเตอร์จำเป็นต้องมีคือ ‘องค์กรกลาง’ ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงและประสานความร่วมมือระหว่างรัฐ เอกชน และชุมชนให้ก้าวไปด้วยกันอย่างสมดุล ทั้งในด้านผลประโยชน์และความรับผิดชอบต่อพื้นที่ ด้วยการจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะที่เรียกว่า ‘Destination Management Organization (DMO)’ ในลักษณะองค์กรร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อทำหน้าที่กำหนดทิศทาง กลยุทธ์ และบริหารจัดการการพัฒนาการท่องเที่ยวของพื้นที่นั้นอย่างเป็นระบบ

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีองค์กรในลักษณะดังกล่าว ทำให้การพัฒนาพื้นที่ท่องเที่ยวจำเป็นต้องอาศัยการประสานกับหน่วยงานหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาที่ดิน ระบบคมนาคม สาธารณูปโภค การค้า การบริการ หรือการมีส่วนร่วมของชุมชน ทำให้ขาดความต่อเนื่องและไม่สามารถดำเนินการได้อย่างเป็นระบบเท่าที่ควร

ความท้าทายจึงไม่ได้อยู่ที่การขาดทรัพยากรหรือศักยภาพของพื้นที่ แต่อยู่ที่การขาด ‘กลไกกลาง’ ที่จะบูรณาการทุกภาคส่วนให้ขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากไทยสามารถจัดตั้งองค์กรลักษณะนี้ขึ้นได้ การพัฒนาการท่องเที่ยวในรูปแบบคลัสเตอร์จะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของผู้คนในท้องถิ่นในวงกว้าง

ถ้าอย่างนั้นเราควรแก้ไขปัญหาไหนก่อน เพื่อให้การจับคลัสเตอร์เกิดขึ้นได้จริงและไวที่สุด

การพัฒนาการท่องเที่ยวในรูปแบบคลัสเตอร์จำเป็นต้องอาศัยทั้งการลงทุนด้านพื้นที่และโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการประสานงานกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจำนวนมากในทุกระดับ และจะเป็นเรื่องยากมากที่การพัฒนาคลัสเตอร์จะเกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรมหากขาดหน่วยงานภาครัฐที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการบริหารจัดการและกำกับทิศทางโดยรวม

ผมคิดว่าขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุดคือ การส่งเสริมให้เกิดการรวมกลุ่มของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในระดับกลุ่มจังหวัด ทั้งหน่วยงานส่วนภูมิภาค องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องสามารถกำหนดทิศทางการพัฒนาผ่านการหารือ วางแผนการดำเนินงาน และกำหนดบทบาทหน้าที่ที่ชัดเจนของแต่ละฝ่าย

เพราะการพัฒนาการท่องเที่ยวแบบคลัสเตอร์ไม่ได้จำกัดเพียงการพัฒนาพื้นที่หรือกิจกรรมเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงการออกแบบสินค้า บริการ และการสื่อสารประชาสัมพันธ์ในระดับภูมิภาค การมีกลไกบริหารจัดการเฉพาะพื้นที่ที่สามารถทำงานร่วมกับทุกฝ่ายได้อย่างบูรณาการ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาให้เกิดผลทั้งในระยะสั้นและระยะยาวจึงเป็นเรื่องจำเป็น

จากนั้นหน่วยงานภาครัฐส่วนกลางควรมีบทบาทในการกระตุ้นและสนับสนุนการพัฒนาคลัสเตอร์ ผ่านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่เอื้อให้เกิดการพัฒนาธุรกิจท่องเที่ยวที่สะดวกและปลอดภัย พร้อมกับพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวหลักในกลุ่มจังหวัดให้ได้มาตรฐานระดับสากล ควบคู่ไปกับการสนับสนุนงบประมาณให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และภาคประชาชน

ในขณะเดียวกัน ภาครัฐควรสร้างแรงจูงใจให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาซัปพลายด้านการท่องเที่ยวในแต่ละกลุ่มจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นการผ่อนปรนข้อกำหนดบางประการสำหรับธุรกิจนำเที่ยวและระบบคมนาคม การสนับสนุนด้านเงินทุน หรือการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ภาคเอกชนที่มีส่วนช่วยในการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยว เพื่อให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพ

และอีกประเด็นสำคัญคือ ควรมีการจับคู่ระหว่างชุมชนกับภาคเอกชน เพื่อเปิดโอกาสให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการออกแบบ พัฒนา และแบ่งปันผลประโยชน์จากการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ได้เข้ามามีบทบาทในธุรกิจท่องเที่ยวมากขึ้น ซึ่งจะช่วยสร้างแรงดึงดูดให้แรงงานวัยหนุ่มสาวกลับคืนสู่ถิ่นฐาน และทำให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับพื้นที่อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ เราอาจเริ่มต้นจากพื้นที่ที่มีความพร้อมก่อน โดยส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในแต่ละกลุ่มจังหวัดที่มีความพร้อมในด้านทรัพยากรและโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยว และถ้าการดำเนินงานประสบผลสำเร็จจึงค่อยขยายผลไปยังพื้นที่อื่นในแต่ละภูมิภาค ภายใต้การดำเนินการที่มีการติดตามและประเมินผลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถปรับกลยุทธ์การพัฒนาการท่องเที่ยวในรูปแบบคลัสเตอร์ให้ตอบสนองต่อบริบทการพัฒนาภายในประเทศ รวมถึงสถานการณ์การแข่งขันในระดับนานาชาติได้อย่างทันท่วงที

เราต้องใช้ระยะเวลากี่ปีถึงจะเห็นผลลัพธ์ของการสร้างคลัสเตอร์อย่างเป็นรูปธรรม

ผมคิดว่าเราสามารถคาดหวังผลลัพธ์ได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ในระยะสั้น หากมีการปรับปรุงพื้นที่ท่องเที่ยวให้มีความน่าสนใจ ควบคู่กับการพัฒนากิจกรรมที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย และการประชาสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงเรื่องราวซึ่งสะท้อนคุณค่าของการเดินทางไปเยี่ยมชมพื้นที่ในแต่ละกลุ่มจังหวัดอย่างเป็นระบบ เราน่าจะได้เห็นผลลัพธ์ของการพัฒนาการท่องเที่ยวในรูปแบบคลัสเตอร์อย่างเป็นรูปธรรมภายในระยะเวลา 1 – 3 ปี โดยเฉพาะในแง่ของภาพลักษณ์ การเพิ่มปริมาณนักท่องเที่ยว และการสร้างความตื่นตัวให้กับภาคส่วนต่างๆ ในพื้นที่

แต่หากการดำเนินงานหยุดอยู่เพียงแค่ระยะเริ่มต้นนี้ อาจเป็นเรื่องยากที่เราจะคาดหวังผลลัพธ์ต่อการกระจายมูลค่าทางเศรษฐกิจไปสู่ท้องถิ่นและชุมชน หรือสร้างซัปพลายด้านการท่องเที่ยวใหม่ๆ ที่สามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในตลาดสากล

ดังนั้นในระยะยาว เราจำเป็นต้องยกระดับการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ให้ครอบคลุมทั้งมิติของการสร้างสรรค์สุนทรียภาพจากการต่อยอด และรักษาคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรมและทรัพยากรธรรมชาติ ควบคุมผลกระทบจากการท่องเที่ยวที่อาจเกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน รวมถึงการปรับปรุงระบบคมนาคมและสาธารณูปโภคให้มีมาตรฐาน เพื่อสร้างความสะดวกและปลอดภัยแก่ผู้มาเยือน 

กล่าวได้ว่า การปฏิรูประบบการพัฒนาพื้นที่ท่องเที่ยวของประเทศไทย คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้การท่องเที่ยวในรูปแบบคลัสเตอร์เติบโตอย่างยั่งยืน และกลายเป็นเครื่องจักรทางเศรษฐกิจที่ทรงพลังของประเทศ ซึ่งจะช่วยยกระดับเมืองหลัก เมืองรอง ตลอดจนสร้างประโยชน์ให้กับภาครัฐ เอกชน ท้องถิ่น และชุมชนได้อย่างเป็นรูปธรรม

สุดท้ายนี้ คุณอยากฝากอะไรต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวของประเทศไทย

ผมอยากชวนทุกท่านมองว่า การลงทุนเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวไม่ได้เป็นเพียงการลงทุนเพื่อดึงดูดผู้มาเยือนเท่านั้น แต่คือการสร้างกลไกการพัฒนาที่เปิดโอกาสให้ผู้มาเยือนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนประเทศ ทั้งในระดับชาติ ภูมิภาค และท้องถิ่น โดยเฉพาะในมิติของการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและการให้บริการสาธารณะ

การมีผู้มาเยือนในท้องถิ่นไม่เพียงช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นแรงผลักดันให้เรากล้าลงทุนพัฒนาระบบการเดินทางที่มีคุณภาพ ซึ่งนอกจากจะอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวแล้ว ยังช่วยให้เยาวชนและผู้สูงอายุสามารถเดินทางในชีวิตประจำวันได้อย่างสะดวกและปลอดภัยมากขึ้น 

นอกจากนี้ การพัฒนาศูนย์การเรียนรู้และพิพิธภัณฑ์ในพื้นที่ท่องเที่ยว ยังเป็นโอกาสในการพัฒนาพื้นที่แห่งการเรียนรู้สำหรับคนในเมือง และเป็นเครื่องมือสำคัญในการสืบสานคุณค่าทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น

ในอีกมุมหนึ่ง การเติบโตของภาคการท่องเที่ยวยังเปิดโอกาสให้เราสามารถจัดเก็บภาษีจากการลงทุนในธุรกิจต่างๆ เพื่อนำกลับมาใช้ในการจัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะสำหรับกลุ่มเปราะบางในสังคม สร้างวัฏจักรแห่งการพัฒนาที่เชื่อมโยงกันระหว่างภาคเศรษฐกิจและภาคสังคมได้อย่างเป็นรูปธรรม

และอนาคตอันใกล้นี้ การท่องเที่ยวอาจไม่ได้เป็นเพียงเครื่องจักรทางเศรษฐกิจที่ดึงดูดผู้บริโภคที่มีกำลังจ่ายสูงให้มาเยือนเท่านั้น แต่จะกลายเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยพยุงระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ท่ามกลางบริบทที่ประชากรไทยกำลังลดลงและเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การมี ‘ประชากรชั่วคราว’ จากการท่องเที่ยวที่เข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การบริหารจัดการเมือง และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม อาจกลายเป็นพลังใหม่ที่ช่วยเสริมความยั่งยืนให้กับประเทศไทย

ดังนั้นผมอยากฝากไว้กับทุกภาคส่วนว่า แม้การแข่งขันในตลาดท่องเที่ยวนานาชาติจะทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ แต่การลงทุนเพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยวของประเทศไทยไม่ควรถูกมองเพียงในฐานะการอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อสร้างผลลัพธ์ระยะสั้น แต่ควรมองในฐานะการลงทุนเพื่อพัฒนาเมืองและชุมชนในระยะยาว โดยมุ่งให้ทั้งเมืองหลักและเมืองรองเป็น ‘เมืองที่น่าท่องเที่ยว’ ด้วยมรดกทางวัฒนธรรมและทรัพยากรธรรมชาติที่งดงาม ‘เมืองที่น่าอยู่’ ด้วยบริการสาธารณะที่มีคุณภาพสูงและครอบคลุมทุกกลุ่มประชากร และ ‘เมืองที่น่าลงทุน’ สำหรับทั้งผู้ประกอบการรุ่นใหม่และผู้เกษียณอายุที่ต้องการสร้างอาชีพและคุณภาพชีวิต

เมื่อทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกอยากอยู่ต่อ อยากกลับมาอีก หรือแม้แต่เลือกพำนักระยะยาว เราอาจได้เห็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่แท้จริงของประเทศ จากเมืองท่องเที่ยวที่รองรับผู้มาเยือนชั่วคราวสู่เมืองคุณภาพที่เปิดรับ ‘พลเมืองร่วมพัฒนา’ ซึ่งช่วยพยุงทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมให้เติบโตไปพร้อมกัน

การลงทุนพัฒนาการท่องเที่ยวในฐานะกลไกของการพัฒนาสังคมระยะยาว จึงเป็นมุมมองที่สำคัญที่จะทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลายเป็นเครื่องจักรแห่งการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทยได้อย่างแท้จริง

Graphic Designer

Photographer

SEND YOUR STORY

REQUEST INTERVIEW

ติดตามอ่าน “Urban Creature”
นิตยสารออนไลน์ที่จะทำให้คุณรักเมืองที่คุณอยู่ รักตัวเองมากขึ้นด้วยการเปิดมุมมองและนำเสนอแนวทางการใช้ชีวิตอย่างสร้างสรรค์ และสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ในการใช้ชีวิต
Better Life. Better Living.

Max. file size: 256 MB.