
PEOPLE
ฟังเสียง ‘คนตัวเล็ก’ ไปจนถึง ‘คนตัวใหญ่’ ที่จะมาถ่ายทอดแนวคิด มุมมอง รวมถึงแรงบันดาลใจ เพื่อสะท้อนสังคมที่มีความหลากหลาย เพราะเสียงของทุกคนล้วนสำคัญ
เรื่องเล่ารายวิน 11 “จะเร็วหรือช้า มันก็ต่างกันไม่กี่บาท”
การขับขี่ยานพาหนะบนถนนเนี่ย นอกจากจะต้องระวังให้รอบด้านเพื่อความปลอดภัยของตัวเองแล้ว เรายังควรที่จะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของเพื่อนร่วมทางด้วยนะครับ ยิ่งถ้าเป็นผู้ขับขี่รับจ้างสาธารณะอย่างวินฯมอไซค์ด้วยแล้วล่ะก็ ยิ่งต้องระวังให้มากขึ้นไปอีกสองเท่าตัวเลย เพราะถ้าประสบอุบัติเหตุขึ้นมา มันจะไม่ใช่แค่คุณที่เจ็บ แต่ผู้โดยสารที่ซ้อนท้ายคุณอยู่ก็เจ็บด้วย หรือเกิดโชคร้ายสุดๆคือเสียชีวิตขึ้นมาเนี่ย ก็ไม่รู้ว่าจะรับผิดชอบกันยังไงไหวเหมือนกันนะ ฉะนั้น ในเมื่อผู้โดยสารเค้ามอบความไว้วางใจให้เราดูแลชีวิตเค้าจนถึงที่หมายแล้ว เราควรตอบแทนน้ำใจเค้าโดยการไม่ประมาทและส่งเค้าให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัยด้วยนะ ช่วงเช้าของชาววินฯผมนั้น เกือบทุกคนจะไปกระจุกตัวกันอยู้ที่ปากประตูนึง ซึ่งเป็นลานจอดรถของบริษัทนึงอีกนั่นแหละ ตรงนี้ช่วงเช้าจะมีผู้โดยสารขึ้นวินฯไปหน้าโรงงานเยอะเพราะเค้าจำเป็นจะต้องเอารถมาจอดตรงนี้และบางทีขี้เกียจเดินก็ขึ้นวินกันไปในระยะใกล้ๆ ค่าตอบแทนก็แค่คนละ 10 บาท อาศัยวิ่งระยะใกล้ไปกลับแป๊ปเดียว แต่ด้วยความที่มีวินฯมอไซค์หลายสิบคันมาจอดรอกันอยู่ มันจึงเลี่ยงไม่ได้ที่บางครั้งอาจจะต้องมีการทำความเร็วกันเพื่อรีบกลับมาเอารอบเข้าคิวเพื่อรอรอบต่อไป ซึ่งบางคันก็เร่งจนเกินงาม!! จนเกินงามในที่นี้คือมันดูน่าหวาดเสียวและอันตรายเกินไปน่ะนะครับ ยกตัวอย่างเช่น ขับแซงรถพ่วงหกล้อสิบล้อสิบแปดล้อในขณะที่มีผู้โดยสารซ้อนท้ายอยู่ คือในตอนเช้าเนี่ย อะไรๆมันก็จะไหลเข้ามาในสวนอุตสาหกรรมแห่งนี้ทั้งนั้นนะครับ โดยเฉพาะรถบรรทุกที่ต้องบรรทุกสิ่งของต่างๆเข้าออกอยู่ตลอดเวลา และการขับแซงรถใหญ่ประเภทนี้ในช่วงเวลาเร่งด่วนมันจึงดูไม่ค่อยเหมาะสมนักในสายตาของผมน่ะนะ บางครั้งผมออกตัวมาก่อนแล้วกำลังต่อท้ายรถพ่วงเพื่อรอจะเข้าโค้งไปหน้าโรงงานอยู่ มีอีกคันนึงตามมา เค้าแซงขวารถพ่วงไปเลยพร้อมบีบแตรลั่นตลอดทางเพื่อส่งเสียงให้รถชะลอให้จนไปแซงพ้นตรงก่อนจะเข้าโค้งแค่นิดเดียวซึ่งมันอันตรายมากๆ ผมสังเกตเห็นสีหน้าของผู้โดยสารสาวคนนั้นแล้วรับรู้ได้เลยว่าเธอเกร็งและเป็นกังวลเอามากๆ ไม่ชนไม่คว่ำมันก็ดีไป แต่อย่างที่รู้ๆกันนะครับว่าคำว่า”อุบัติเหตุ”เนี่ย มันสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ซึ่งถ้าทุกคนตระหนักตรงนี้ได้ ผมว่าจะลดปัญหาบนท้องถนนลงเยอะเลยแหละ ผมเคยถามพรรคพวกที่ชอบทำความเร็วแบบนี้นะครับ ว่าที่มาซอยเข้าออกโรงงานช่วงเช้าเนี่ย ได้เงินกี่บาท จำนวนเงินที่เค้าได้มากกว่าผมแค่ 20-30 บาทแค่นั้นเองนะ ตัวผมก็ขับเร็วในระดับหนึ่งไม่ได้ช้าจนอืดแต่ก็ไม่เร็วจนหวาดเสียว ไม่แซงทางโค้งและไม่ฉวัดเฉวียนใดๆ ผมจึงถูกแซงเอาบ่อยๆ แต่ก็นั่นแหละครับ 20-30 บาทแลกกับความปลอดภัยอันนี้ถือว่าคุ้มค่ามากๆ ผมมองไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องเร็วจนอันตรายขนาดนั้นเพื่อเงินเพียงไม่กี่บาทเลยนะ แต่ก็ไม่รู้ทำไมหลายๆคนจึงตั้งหัวความคิดของตัวเองไว้ว่าต้องเร็วและเร็วและเร็วด้วยก็ไม่รู้…. หรือบางทีตอนเย็นช่วง […]
เรื่องเล่ารายวิน 10 “คู่แฝดอภินิหาร”
คู่แฝดคู่นี้นานๆทีถึงจะเดินมาขึ้นวินสักครั้งนึง ซึ่งก็เข้าใจได้น่ะนะครับว่าค่าโดยสารค่อนข้างสูง ถ้าขึ้นทุกวันก็คงไม่เหลือเงินยาไส้หรอกครับสำหรับพนักงานไลน์ผลิตอย่างสองคนนี้ มันจึงเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะสเปเชียลมากๆเลยหากวันไหนได้ไอ้เจ้าคู่แฝดนี้มาครอบครอง
เรื่องเล่ารายวิน 09 : เพื่อนบ้าน AEC กับการสื่อสารที่ต้องเข้าใจ
ช่วงที่ผ่านมาผมมีอะไรหลายๆอย่างที่ต้องทำ ทั้งจำเป็นและไม่ค่อยจำเป็น ก็เลยไม่ค่อยมีเวลาไปขี่วินฯสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังต้องไปบ้างเพราะอย่างน้อยเมื่อใส่เสื้อวินมันก็ยังได้เงิน ถึงจะน้อยนิดแต่ก็ได้มาอย่างสุจริตชน ซึ่งตรงนี้ถือเป็นสิ่งที่พึงปฏิบัติของคนไทยทุกๆคนนะครับ มาว่ากันถึงเรื่องราวที่จะบอกเล่ากันดีกว่า ในสวนอุตสาหกรรมที่ผมประจำการวินฯอยู่นั้น คนงานส่วนมากก็จะเป็นคนไทยนี่แหละครับ ส่วนใหญ่จะเป็นคนต่างจังหวัดที่เดินทางมาหาเงินสร้างเนื้อสร้างตัว เช่าหอพักห้องเช่าอยู่กันตามอัต ภาพที่พึงมี และมีอีกจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวสำหรับแรงงานที่เป็นชาวประเทศเพื่อนบ้านเราอย่างเช่นกัมพูชา เมียนม่า หรือแม้กระทั่งสปป.ลาว ที่ข้ามน้ำข้ามภูเขาเข้ามาทำงานในโรงงานของประเทศไทยเพื่อหวังได้เม็ดเงินที่คุ้มค่าและกลับบ้านไปเยี่ยงวีรชนคนนึงของครอบครัว ผมไม่เคยติดไม่เคยเหยียดไม่เคยล้อหรือว่ากล่าวคนพวกนี้เลยนะเพราะมองว่าเค้าก็คนเราก็คน เค้าทำมาหากินเราก็ทำมาหากิน ขอให้มันเป็นสิ่งที่สุจริตและไม่ทำให้ใครเดือดร้อนก็พอ คนเหมือนกันน่ะนะ แต่!! ปัญหาเล็กๆน้อยๆมันอยู่ตรงไหนรู้มั้ยครับ? มันอยู่ตรงการสื่อสารกันนี่แหละ อย่างบางคนเข้ามาอยู่นานแล้วภาษาไทยก็พอจะคล่องจะชัดหน่อย ตรงนี้ไม่มีปัญหา บอกไปไหนอะไรยังไงถ้าเข้าใจก็เป็นอันจบ “แต่บางคนเพิ่งเข้ามาอยู่ได้ไม่นาน ภาษาไทยก็ไม่ค่อยได้ ไอ้ครั้นจะไปเว่าฝรั่งใส่กันก็คงจะมั่วกันไปใหญ่” เคยมีเพื่อนวินฯคนนึงเล่าให้ฟังว่า มีอยู่วันนึงรับผู้โดยสารเป็นชาวกัมพูชา ถามว่าจะไปไหน เค้าตอบกลับมาว่า “ข่อสะต่อสะ” อะไรประมาณเนี้ย วินฯมันได้ยินก็เข้าใจว่าอ๋อออ “ขอบสระ” เพราะในสวนอุตสาหกรรมแห่งนี้มีสระน้ำขนาดใหญ่ที่จะมีผู้คนมาใช้พื้นที่บริเวณรอบๆสระน้ำเพื่อนั่งพักผ่อนหย่อนใจกันมากมาย และคำที่ใช้เรียกสถานที่ตรงนี้ก็คือ “ขอบสระ”นั่นเอง พอไปถึงบริเวณของสระวินก็ถามว่า จะลงตรงไหน ผู้โดยสารชาวกัมพูชาคนนั้นทำหน้างงแล้วส่ายหัวบอกในทำนองว่าไม่ใช่ ทีนี้ก็เถียงก็คุยกันใหญ่ว่าตกลงจะไปไหน จนในที่สุดไอ้คำว่าสะก็ใช้ได้ผล วินฯคนนั้นร้องอ๋อขึ้นมาว่า “ต่อศักดิ์” ใช่มั้ย…? เค้าพยักหน้าในทีว่าใช่ๆ จึงไปส่งกันได้อย่างถูกที่ เล่นเอาเหนื่อยทั้งคนขับทั้งผู้โดยสารเหมือนกันนะกว่าจะถึงที่หมายเนี่ย 555 ซอยต่อศักดิ์มันเป็นซอยเล็กๆย่อยจากซอยใหญ่ที่ชื่อ ซอยบ่อยาง โซนนั้นเรียกได้ว่าเป็นแหล่งรวมชาว AEC เลยก็ว่าได้ เพราะแรงงานต่างชาติพวกนี้ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในซอยนี้ทั้งนั้น สังเกตได้จากช่วงเวลาเลิกงาน ไม่ว่าจะตอนห้าโมงเย็นหรือสองทุ่มหรือตอนเช้าตอนแปดโมง เราจะเห็นคาราวานจักรยานขี่กันเป็นขบวนตามๆกันออกถนนใหญ่แล้วไป ติดไฟแดงรอเลี้ยวขวาเข้าซอยบ่อยางและแยกเข้าต่อศักดิ์อีกที มันเป็นภาพชินตาที่คนแถวนั้นเค้าจะเห็นขบวนจักรยานเหล่านี้กันทุกวัน ช่วงแรกๆที่ผมไปขี่วินฯนั้นผมก็เคยเจอผู้โดยสารจะไปซอยต่อศักดิ์ เหมือนกันนี่แหละ พูดฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเหมือนกัน จนผมต้องค่อยๆบอกกับเค้าว่า “เอาอย่างงี้นะ จะให้เลี้ยวตรงไหนก็ชี้ทีละแยกแล้วกัน จะซ้ายจะขวาก็ว่ากันไป” พอถึงแยกนึงผมก็ทำมือชี้โบ๊ชี้เบ๊ทีนึงว่าจะซ้ายจะขวาจนในที่สุดผมก็ถึง เหนื่อยแทบแย่ 555 สิ่งนึงที่ผมสัมผัสได้จากแรงงาน ต่างด้าวต่างถิ่นพวกนี้ก็คือ เค้าดูจะไม่ค่อยไว้ใจคนไทยสักเท่าไหร่ อาจจะเพราะเราคนไทยบางคนชอบไปเอาเปรียบเค้าด้วยหรือเปล่าอันนี้ ไม่แน่ใจ มันเป็นเรื่องของนานาจิตตังน่ะนะ อย่างที่ผมเกริ่นไปเบื้องต้นว่า เค้าก็คนเราก็คน การให้เกียรติในความเป็นคนเหมือนกันคือสิ่งที่เราทุกคนพึงกระทำ ให้ติดเป็นนิสัยเข้าไว้ หลายคนที่ผมรู้จักชอบเหยียดคนพวกนี้ ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน หากเป็นไปได้ เคารพกันและกันจะดีกว่าเนอะโลกมันจะสวยงามและน่าอยู่ขึ้นอีกเยอะเลย เชื่อผมสิ!!
เรื่องเล่ารายวิน 8 “วินกะดึก”
อย่างที่เคยได้กล่าวไปว่าวินฯที่ผมประจำการอยู่นั้น มีสมาชิกมากหน้าหลายตาร่วมๆแปดสิบกว่าชีวิต สลับสับเปลี่ยนกันออกมาหากินกันไป บางคนมาแค่ช่วงเช้า บางคนมาแค่ช่วงเย็น หรือบางคนก็อยู่เฝ้าทั้งวันไปเลยแล้วแต่ว่าใครจะชอบจะพอใจแบบไหน ไม่ได้มีการบังคับขู่เข็นว่าจะต้องมาเวลานั้นเวลานี้ใดๆ มันขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของตัวเอง ซึ่งตรงนี้แหละที่มัน”อิสระ”กว่าอาชีพอื่นๆ ทีนี้มันจะมีอีกกลุ่มนึงที่จะอยู่จนดึกจนดื่น ถึงประมาณห้าทุ่มหรือห้าทุ่มครึ่ง ผมเรียกกลุ่มนี้ว่า “วินกะดึก” ช่วงแรกที่ผมเข้าไปขับวินฯใหม่ๆ ผมจะอยู่ดึกทุกวัน(ยอมรับว่าช่วงนั้นร้อนเงินมาก) คือยอมเสียเวลาอีกสองสามชั่วโมง เพื่อให้ได้มาซึ่งเงินอีกเพียงน้อยนิดเท่านั้นเอง คุณอาจจะคิดว่าอยู่ดึกคนน้อยรายได้จะงามใช่ม้า? เปล่าเลยครับมันตรงกันข้ามด้วยซ้ำ การที่จะอยู่กะดึกนั้นต้องใช้ความอดทนค่อนข้างสูงเลยทีเดียว อดทนต่อระยะเวลาที่ต้องรอคอย เพราะกว่าจะมีลูกค้าออกมาแต่ละคนนั้นนานแสนนานเหลือเกิน ไหนจะยุงที่มันจ้องจะดูดเลือดดูดเนื้อเราอย่างเคียดแค้นปานว่าเราได้ไปเผาบ้านมันไว้เมื่อชาติ ปางก่อนอีก55555 และบางทีนะรอมานานครึ่งค่อนชั่วโมงลูกค้าเรียกให้ไปส่งตรงเนี้ย ใกล้ๆได้ค่าโดยสาร 10 บาท!! แล้วกลับมาต่อคิวใหม่ มันเป็นอะไรที่โคตรช้ำเลยนะ ฉะนั้นจึงเป็นอย่างที่ผมว่านั่น แหละว่าวินกะดึกน่ะ ไม่ใช่ว่าจะรายได้งามอะไรหรอก แต่ที่เค้าอยู่กันเพราะอะไรรู้มั้ยครับ ผมคิดว่าเค้าอยู่กันเพื่อความสบายใจมากกว่า… ที่ว่าอยู่เพื่อความสบายใจนั้นหมายถึงว่า เหล่าขาประจำที่อยู่ดึกเค้าจะพูดคุยกันสัพเพเหระ คุยสนุกสนานสบายใจ ผมสังเกตเห็นว่าไม่มีใครเอาเรื่องเครียดๆมาคุยเลยนะ มีแต่สนุกสนานเฮฮาเหมือนได้ผ่อนคลายความเครียดที่สะสมมาทั้งวันแล้วในตอนดึกๆก่อนจะเข้าบ้านไปพักผ่อนแค่นั้นเอง ในช่วงแรกๆจะมีไม่กี่คันหรอกที่ อยู่ดึก มีผมเบอร์ 60 มีเบอร์ 1 เบอร์ 39 ไอ้อ้วนเบอร์ 79 ละก็เจ๊ผู้หญิงเบอร์ 13 ที่พูดมานี่คือขาประจำนะ บางวันก็จะมีเบอร์อื่นๆมาร่วมด้วยสนุกสนานกันไป เจ๊เบอร์ 13 แกจะไม่ได้มาร่วมคุยอะไรกับพวกผมมากนักหรอก แกจะนั่งฟังละก็หัวเราะตามไปกับเรื่องราวในแต่ละกัน แกจะหิ้วงานเสริมมาทำที่วินระหว่างช่วงรอลูกค้าตลอดนะ บางวันก็ถักกระเป๋าใบเล็กๆ บางวันก็ร้อยเชือกอะไรไม่รู้ งานทำนองเนี้ยนิดๆหน่อยๆพอได้เงินค่านมลูก แกว่างั้น… มีอยู่คืนนึง คืนนั้นฝนตกตั้งแต่หัวค่ำ ขาประจำคนอื่นๆเค้านัดแนะกันไปสังสรรค์กันที่ร้านยาดองร้านนึงที่เค้าว่าสาวๆเด็ดนักเด็ดหนาเนี่ยแหละ ผมปฏิเสธคำเชิญชวนของพวกเค้าเนื่องด้วยห่วงเงินที่จะต้องได้ในช่วงดึก จึงจำใจอยู่ต่อกะว่าคงมีเพื่อนอยู่ด้วยล่ะวะ ที่ไหนได้คืนนั้นอยู่คนเดียวเลย ด้วยอากาศอันหนาวเหน็บเพราะฝนยังคงตกปรอยๆและตัวผมก็เปียกมาตั้งแต่หัวค่ำแล้ว บวกกับลูกค้าที่ทยอยออกมาโบกกันอย่างไม่ขาดสาย สรุปคืนนั้นผมวิ่งไม่ทัน! ไม่ทันนี่คือ รับคนนึงไปส่ง อีกคนนึงออกมาไม่เจอวินเค้าก็ไม่รออะไรประมาณเนี้ยครับ จะเร็วมากก็ไม่ได้ถนนมันลื่น ล้มไปไม่คุ้มอีก ถามว่าเสียดายมั้ยต้องบอกว่าเสียดายนะ อยากจะรับให้ได้ทุกคนเลยจริงๆเพราะถ้าได้ทุกคนล่ะก็อิ่มแน่นอน 55555 แต่ก็อย่างว่า ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้นล่ะครับ ดีกว่าไม่มีใครอยู่วินเลยปล่อยให้ลูกค้าเดินกันหมด ถึงหนาวก็ต้องทนไปก่อนล่ะนะ คืนนั้นผมอยู่รอจนหยดสุดท้ายเลยประมาณห้าทุ่มครึ่ง จนแบบรปภ.หน้าโรงงานมองแล้วอะว่านี่มึงยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ ไม่มีใครเค้ามาขึ้นมึงแล้ว! อะไรประมาณนี้ ผมจึงค่อยๆบิดรถกลับบ้านอย่างหนาวๆ และผลสุดท้ายตื่นเช้าม ป่วย!!! ทนพิษบาดฝนไม่ไหว5555 ช่วงหลังๆมาผมสังเกตเห็นว่ามีวินมาอยู่รอสมทบช่วงดึกเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น จนเยอะ… ผมจึงไม่ค่อยได้อยู่ดึกแล้วเพราะลำพังอยู่กันสามสี่คันนี่ก็แทบจะไม่ได้อะไรเพิ่มอยู่แล้ว นี่เพิ่มมาอีกเพียบขนาดนี้ผมขอบายดีกว่า เค้าคงคิดว่าอยู่ดึกรายได้คงดีละมั้ง “ดังที่ผมบอกไปว่าขาประจำที่อยู่ดึกนั้น เค้าไม่ได้หวังเรื่องเงินอะไรหรอก เค้าแค่หาความผ่อนคลายให้ชีวิตเท่านั้น” บางครั้งบางทีเราเครียดจากสิ่งรอบข้างมาทั้งวัน การได้หัวเราะอย่างเบิกบานนี่มันเป็นตัวช่วยบำบัดความเครียดชั้นดีเลยนะครับ เค้าถึงได้มีคำกล่าวว่าคนที่ร่าเริงเนี่ยมักจะอายุยืน ซึ่งผมว่ามันก็น่าจะมีเค้าความจริงนะ เพราะอย่างน้อยการหัวเราะมันไม่ได้ทำร้ายเราเหมือนความเครียดหรอกจริงมั้ย และผลพลอยได้จากการอยู่ดึกก็คือ เงินเล็กๆน้อยๆจากการส่งผู้โดยสารกะดึกเช่นกัน ถือว่าสบายใจทั้งสองฝ่ายนะ… Photo Credit : http://tokyostreet.photo http://2wheelsstory.blogspot.com
สำหรับวิน… กลิ่นตัวไม่ใช่เรื่องตลก
เชื่อว่าหลายคนคงเคยมีประสบการณ์ การสัมผัสกับกลิ่นไม่พึงประสงค์ ที่ออกมาจากตัวของผู้คนรอบข้างมาบ้างไม่มากก็น้อยใช่มั้ยครับ ยิ่งถ้าไปประสบในสถานที่ๆมีผู้คนแออัดอย่างเช่นบนรถเมล์รถไฟฟ้า หรือที่อื่นๆแล้วล่ะก็ บอกเลยว่าเห็นนรกรำไรๆอยู่ตรงหน้าเลยแหละ
UC x JaJa
Be an Ordinary Girl ‘จ๊ะจ๋า’ จิณจุฑา คนพิการต้นแบบ ไม่ได้มองโลกในแง่บวกแต่มองในแบบที่มันเป็น
BANGKOKIAN EP.01
เฮลโล่!! Bangkokian พวกเราชาวกรุงเทพฯมาสำรวจกันหน่อยว่าเหล่าคนดังเค้าคิดยังไงกับย่านที่อยู่ของตัวเอง อะไรดี อะไรเซ็ง มาดูกัน!
เรื่องเล่ารายวิน 6 “ชีวิตที่ขาดเสียงเพลงไม่ได้ของวินมอ’ไซค์”
ผมเชื่อว่าทุกคนชอบฟังเพลง ผมก็ชอบฟัง สุขก็ฟังเพลงเศร้าก็ฟังเพลง มันปลอบประโลมและเยียวยาความรู้สึกของเราได้อย่างดีเยี่ยมกว่ายาไหนๆเลยทีเดียว เป็นเรื่องมหัศจรรย์มากๆเลยนะที่โลกใบนี้ให้กำเนิดเสียงเพลงขึ้นมา ต้องขอบพระคุณผู้คิดค้น (ใครวะ) เป็นอย่างมากเลย มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้เป็นหนี้บุญคุณท่านนะครับ….
ความอยู่รอดของแท็กซี่ไทยอยู่ที่พวกเขาหรืออยู่ที่ใคร?
แท๊กซี่ไทย ตัวเลือกการคมนาคมที่คนไทยและฝรั่งหลายคนยอมใจ พ่ายแพ้ เลิกใช้ไปแล้ว
‘จ๊ะจ๋า’ จิณจุฑา คนพิการต้นแบบ ที่ไม่ได้มองโลกในแง่บวกแต่มองในแบบที่มันเป็น
รู้จักตัวตนอีกด้านของ ‘จ๊ะจ๋า จิณจุฑา จุ่นวาที’ เจ้าของรางวัลเชิดชูเกียรติคนพิการ ที่ผ่านการผ่าตัดมาแล้วกว่า 34 ครั้ง แต่ยังใช้ชีวิตแบบคนปกติ อยู่กับปัจจุบัน และหาความสุขให้ตัวเอง
ในหลวงรัชกาลที่ 9 กับพระราชกรณียกิจที่ได้เปลี่ยนชีวิตของคนไทยไปตลอดกาล
หลายคนคงเคยได้เห็นและได้ยินกับประโยคที่ว่า “ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนอย่างไรได้” ในตอนนั้นคงไม่มีใครรู้ว่าสิ่งที่พระองค์ตรัสนั้นจะเป็นจริงหรือไม่ แต่ในตอนนี้ สิ่งที่พระองค์ได้ทรงทำมาตลอด 70 ปีที่ครองราชย์คงเป็นคำตอบที่ทำให้เราเชื่ออย่างสุดใจว่าพระองค์ไม่เคยละทิ้งประชาชนจริงๆ
บอกเล่าความสมถะของ “พ่อ” ผู้พอเพียง
กษัตริย์ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นพ่อของทุกคน ที่ไม่ใช่แค่ทรงปกครอง แต่ยังทรงสอนและเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูกๆ ประชาชนชาวไทย หนึ่งเรื่องที่เห็นได้ชัดคือความพอเพียงที่ไม่ได้เป็นแค่คำสอน แต่เห็นได้จากการใช้ชีวิตของท่าน ซึ่งทรงเป็นผู้สมถะและประหยัดอย่างเห็นได้ชัดเจนตามนี้