รายงานฉบับใหม่จาก Employment Hero ผู้ให้บริการด้านทรัพยากรบุคคล ได้สอบถามพนักงานชาวสิงคโปร์ 1,005 คน เกี่ยวกับการทำงานและคุณภาพชีวิตในการทำงาน ซึ่งคำตอบก็แสดงให้เห็นเลยว่า 62 เปอร์เซ็นต์ ของพนักงานแดนลอดช่องกำลังประสบกับภาวะหมดไฟ
งานวิจัยชิ้นเดียวกันนี้ยังระบุว่า พนักงาน 57 เปอร์เซ็นต์ระบุว่ามี Work Life Balance แต่ก็ไม่ได้อยู่ในระดับที่ดีนัก เรียกว่าสมดุลระหว่างชีวิตกับการทำงานอยู่ในขั้นปริ่มๆ เท่านั้น ซึ่งหลักที่ทำให้เกิดอาการเบิร์นเอาต์ของผู้ทำการวิจัย มาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กระทบต่อการทำงานและกระทบกับสุขภาพจิตด้วย
พนักงาน 43 เปอร์เซ็นต์ ยอมรับว่าการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ส่งผลกระทบในทางลบต่ออาชีพการงาน ขณะที่ 68 เปอร์เซ็นต์บอกว่าพวกเขาค่อนข้างเครียดเรื่องการเงิน และมีพนักงาน 65 เปอร์เซ็นต์ ยืนยันว่าระดับความเครียดของพวกเขาในที่ทำงานสูงขึ้นมากจากผลกระทบของโควิด-19
อาการหมดไฟในการทำงานไม่ใช่เรื่องล้อเล่น และส่งผลกระทบกับงานที่ทำโดยตรง ผลวิจัยบอกว่าพนักงาน 42 เปอร์เซ็นต์รู้สึกว่าสภาวะหมดไฟทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานต่ำลง และคนทำงานที่ปราศจาก Work Life Balance มีแนวโน้มที่จะรู้สึกหมดไฟถึง 52 เปอร์เซ็นต์ และพนักงานที่ผลงานส่วนตัวไม่ดีและไม่มีเวลาสำหรับชีวิตมิติอื่น ก็จะสร้างวงจรของความเหนื่อยหน่ายและความเครียดที่หนักกว่าเดิมด้วย
สถิติที่สำคัญอย่างหนึ่งสำหรับนายจ้างคือ 49 เปอร์เซ็นต์ของพนักงานยอมรับว่า อาชีพของพวกเขาไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองจะให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกอีกต่อไป แต่ให้ความสำคัญกับสุขภาพจิต และมองว่าสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานคือสิ่งสำคัญมากกว่าความก้าวหน้าในอาชีพ
แม้ตัวเลขจะยืนยันชัดเจนว่าพนักงานกำลังเหน็ดเหนื่อย แต่ก็เป็นเรื่องน่ายินดีที่งานวิจัยฉบับเดียวกันบอกว่า นายจ้างจำนวนมากเต็มใจที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องสุขภาพจิตในที่ทำงาน โดย 47 เปอร์เซ็นต์ของนายจ้างเห็นด้วยว่าบริษัทควรมีระบบในการช่วยดูแลเรื่องสุขภาพจิตให้พนักงาน
อย่างไรก็ตาม การพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาในที่ทำงานยังคงเป็นปัญหาสำหรับพนักงานในสิงคโปร์ เพราะพนักงานมากถึง 53 เปอร์เซ็นต์ยอมรับว่าไม่สะดวกใจที่จะพูดคุยเรื่องปัญหาสุขภาพจิตในที่ทำงาน เพราะกลัวว่าจะมีผลกระทบต่ออาชีพการทำงานในด้านลบ
Ben Thompson ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Employment Hero บอกว่า การก้าวเล็กๆ เข้าไปในทิศทางที่ถูกต้องเช่นการเพิ่มงบประมาณสนับสนุนด้านสุขภาพจิต การบริหารจัดการเงิน หรือการทำงานทางไกล เป็นนโยบายที่จะทำให้เกิดสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานมากขึ้น ซึ่งนายจ้างสามารถให้ความสำคัญกับพนักงานได้เร็ว ก็จะได้รับเสียงชื่นชมอย่างแท้จริงตามไปด้วย
Source : Mashable