เหตุใดเราถึงไว้ใจเล่าเรื่องส่วนตัวให้คนแปลกหน้าฟัง - Urban Creature

ก่อนจะเริ่มเขียนเรื่องนี้ ผู้เขียนเพิ่งเข้าไปใน TikTok และบังเอิญไปเจอหมอดูคนหนึ่งกำลัง Live เปิดไพ่อยู่ ก็เลยถามคำถามที่อยากรู้กับหมอดู ‘แปลกหน้า’ คนนี้ ซึ่งผู้เขียนไม่เคยรู้จักหรือได้ยินชื่อเขามาก่อน

แต่เราก็ไว้ใจเหลือเกินที่จะให้เขาตอบหน่อยว่า “การเงินเดือนนี้จะเป็นอย่างไรคะ”

โชคดีที่เป็นเรื่องเงิน ซึ่งสำหรับตัวผู้เขียนไม่ได้กลัวว่าจะได้ยินอะไรบาดใจ และโชคดีอีกที่คำตอบออกมาในระดับที่พอรับได้

“คุณไม่ต้องกังวลนะคะ มีพอใช้ ไม่ได้เยอะ แต่พอใช้แน่นอน”

ตัดภาพมาที่คุณผู้หญิงอีกคนที่ถามคุณหมอดูว่า “สามีกำลังนอกใจอยู่หรือเปล่า”

“นอกใจค่ะ เขาไม่ได้มีคุณคนเดียว” หมอดูเปิดไพ่อย่างรวดเร็ว แล้วรีบตอบแบบไม่มีการเกริ่นใดๆ

จนถึงตอนนี้ ผู้เขียนก็ยังนึกถึงหญิงสาวคนนั้นอยู่ว่าจิตใจจะเป็นอย่างไรบ้างนะ

การทำนายอนาคตคงต้องใช้ศาสตร์เฉพาะ หากต้องการรู้ก็ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์นี้เป็นคนตอบให้

แต่ก็มีหลายเรื่องราวส่วนตัว โดยเฉพาะปัญหาที่มีความซับซ้อนและเจ็บปวดใจ ที่หลายคนไว้ใจให้คนแปลกหน้าหรือคนที่ไม่ได้สนิท ไม่ได้เข้าใจความเป็นเราขนาดนั้น เป็นผู้รับฟังและช่วยชี้แนะ มอบกำลังใจ

อะไรใน ‘ความไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว’ ของคนอื่น ที่ทำให้เราอยากเล่า ‘เรื่องราวส่วนตัว’ ให้ฟังขนาดนี้

เรากับคนแปลกหน้าไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียทางความรู้สึกต่อกัน

หลายครั้งหลายคราที่เรามีปัญหาเดิมๆ กับเรื่องเดิมๆ คอยฟังคำแนะนำ (หรือบางครั้งก็เป็นคำบ่น) จากคนที่สนิทกันจนชินชา กลายเป็นการฟังหูซ้ายทะลุหูขวา นั่นทำให้เราไม่มีแรงบันดาลใจมากพอที่จะลุกขึ้นมาแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่เป็นอยู่ แม้จะไม่ได้ชอบสถานการณ์ตอนนี้มากนักก็ตาม

hello stranger

แต่พอได้ฟังคำแนะนำจากคนที่ไม่เคยถามเขามาก่อน กลับรู้สึกเหมือนได้รับมุมมองแปลกใหม่ ไม่เคยลองมองสถานการณ์ที่เป็นอยู่ด้วยเลนส์นี้มาก่อน ราวกับได้รีเฟรช เห็นภาพชัดรอบด้าน อยู่ดีๆ ก็ฮึบลุกขึ้นมาตัดสินใจอย่างเด็ดขาดกับปัญหาที่เจออยู่ได้เฉยเลย

ที่เป็นแบบนั้นเพราะคนที่ไม่ได้สนิท ไม่ได้ผูกพันใดๆ ทั้งเราและเขาจะสบายใจกับการฟังเรื่องราวของกันและกันมากกว่า เนื่องจากเรื่องราวของเราไม่ได้มีส่วนกระทบใจเขาทางตรง

หลายครั้งที่เราปรึกษาคนใกล้ตัว ด้วยความรักที่เรามีต่อเขา และความเป็นห่วงจากเขาที่มีต่อเรา บวกรวมกับเนื้อหาที่เราระบายออกไปมีความสะเทือนใจ ซึ่งเราแค่อยากเล่าให้ใครฟังเพื่อจะได้ไม่ต้องเก็บไว้คนเดียว มันกลับทำให้อีกฝ่ายเป็นห่วงเรามากขึ้น ไปจนถึงเครียดกับเรื่องที่ได้ฟัง

ยกตัวอย่าง เราบ่นให้แม่ฟังว่ามีเพื่อนที่ทำงานคนหนึ่งไม่ชอบหน้าเรา หลังจากนั้นทุกวันเวลาเรากลับถึงบ้าน แม่ก็จะถามทุกครั้งว่าเพื่อนคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เขาทำอะไรเราไหม ฯลฯ จนทำให้เราอึดอัด แต่มันก็มาจากความรักและเป็นห่วงของแม่

hello stranger

เพราะเขาเองก็แบกความไม่สบายใจกลับไปเหมือนกัน แทนที่เราจะรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกเพราะได้ระบายความในใจ กลับกลายเป็นต้องคอยประคับประคองความรู้สึกของอีกฝ่ายต่อ เลยไม่ได้รู้สึกสบายใจขึ้นเท่าไหร่

แต่หากเราได้เล่าให้คนที่ไม่สนิท ไม่มีความรักลึกซึ้งกับเราขนาดนั้น มันก็มีความเป็นไปได้สูงว่ามวลอารมณ์หนักๆ ทั้งหลายจะจบลงเมื่อบทสนทนานี้สิ้นสุดไป ไม่น่ามีใครต้องแบกความเครียดความกังวลของอีกฝ่ายกลับบ้านไปขนาดนั้น ต่างคนจะได้ไม่ต้องเหนื่อยกันต่อ

คนหนึ่งสบายใจที่ได้เล่า อีกคนหนึ่งก็ดีใจที่เป็นผู้ถูกเลือกให้รับฟัง

คนแปลกหน้าไม่ค่อยมีอคติในการให้คำปรึกษา

อย่าลืมว่าบางที ‘ความรัก’ ก็ทำให้เกิดอคติ ทำให้อีกฝั่งตัดสินตัวละครต่างๆ ที่เราเล่าให้ฟังเพราะอยากโอบอุ้มหัวใจของเราไว้ และไม่อยากให้เราผู้ซึ่งเป็นคนที่เขารักต้องมาเจอกับความเจ็บปวด

“ความรู้สึกที่หนักที่สุดคือไม่รู้จะอธิบายให้เพื่อนฟังยังไงดี” คือคำพูดที่ผู้เขียนในฐานะนักจิตบำบัดได้ยินบ่อยจากผู้ที่มารับคำปรึกษา

กรณีที่เห็นคือ การที่คนคนหนึ่งมีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ซับซ้อนและคลุมเครือ ยากที่จะจัดการ แต่ก็ไม่กล้าเล่าให้คนที่รักฟัง เพราะไม่อยากทำให้เขาผิดหวังบ้าง เพราะไม่อยากฟังคำพูดแรงๆ ที่อาจทำให้เจ็บปวดใจกว่าเดิมบ้าง หรือไม่อยากทำให้คนที่ตัวเองรักมีมุมมองต่อตนในแบบที่เขาไม่เคยมีมาก่อนบ้าง

hello stranger

ยกตัวอย่าง พี่สาวที่ไม่อยากให้น้องสาวรับรู้ว่าตนกำลังมีปัญหาความรักที่จัดการไม่ได้ เพราะน้องสาวชื่นชมเขาในฐานะฮีโร่มาตลอด หรือกระทั่งการไม่อยากฟังคำพูดแสนเด็ดขาดจากเพื่อนสนิทอย่าง “เดินออกมาจากความสัมพันธ์นี้ได้แล้ว” หรือ “แกคือคนที่มีค่ามากนะ แกไม่คู่ควรที่จะต้องเจอเรื่องแบบนี้” หรือ “ทำไมคนอย่างแกถึงยอมให้กับเรื่องอะไรแบบนี้นะ”

แน่นอนว่าคำพูดเหล่านี้เป็นเรื่องจริง และเอาเข้าจริงมันก็ยากมากสำหรับคนสนิทที่จะรับฟังเรื่องราวหนักๆ ของคนที่รักได้ด้วยหัวใจที่เป็นกลาง หรือไม่มีความยึดติดอะไรเลย แต่ ณ ช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่ง เราแค่อยากได้คนรับฟังและเสนอมุมมองต่างๆ โดยที่ไม่มีอารมณ์หนักๆ จากความรักมาผสม

ไม่มีใครอยากโดนตัดสินจากคนที่รักและเชื่อในตัวเราหรอก

อยากได้การซัพพอร์ตจากใครก็ได้ เพื่อเสริมสร้างกำลังใจ

สำหรับใครที่แค่อยากได้ยินคำปลอบใจหรือคำที่เพิ่มพลังใจ ก็จะเลือกเล่าให้กับคนที่ไม่ได้สนิทฟัง และอาจเล่าให้ฟังด้วยมุมมองด้านเดียว เพราะคนที่กำลังรับฟังเราอยู่เขาไม่ได้รู้จัก รับรู้เรื่องราวของเราในองค์รวม หรือสัมผัสได้ว่าจริงๆ แล้วเราเป็นคนยังไง ผ่านอะไรมาบ้าง มีข้อดี-ข้อเสียอะไร

เขาก็เลือกให้คำปรึกษาหรือปลอบใจเราผ่านสิ่งที่เราเลือกเล่าให้เขาฟังนั่นแหละ และในช่วงเวลานี้มันก็ดันเป็นสิ่งที่เราต้องการฟังจริงๆ ด้วย

สำหรับวัยรุ่นยุคนี้จะมีคำเรียกตลกๆ ว่า Delulu ที่มาจาก Delusional แต่สำหรับเราขอเรียกมันว่า ‘ตัวช่วยเสริมสร้างกำลังใจให้ชีวิตไปต่อได้’ แล้วกัน

ใครสักคนที่มาลบล้างความเจ็บปวดจากคำพูดของคนที่รัก

แม้เป็นกรณีที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย แต่ก็เป็นหนึ่งในวิธีจัดการกับแผลใจของบางคนได้ จากการที่เราเคยเปิดใจเล่าเรื่องราวยากลำบากทางอารมณ์ให้กับคนที่รักฟัง อาจเป็นเรื่องราวที่ยุ่งเหยิงซับซ้อน เข้าใจยาก และเราไม่ได้ภูมิใจกับมันเท่าไหร่

แต่ก็ยังอยากเลือกคนเหล่านี้ที่เรารักมากๆ ให้ได้รับรู้เรื่องราวมืดหม่นหรือหนักหน่วงที่สุดของเรา

และก็อาจเป็นความตกใจ คาดไม่ถึง จนเขาเผลอพูดจาเจ็บๆ ออกมาเพื่ออยากสั่งสอนหรือดึงสติเรา ผ่านคุณค่าที่เขายึดถือในตอนนั้น โดยไม่ได้ให้เวลาบทสนทนาที่จะค่อยๆ ดำเนินเรื่องไปอย่างปลอดภัย เช่น “คนอย่างแกมีแต่จะทำพลาด ไม่มีวันประสบความสำเร็จได้หรอก” หรือ “สิ่งที่ลูกเป็นอยู่มันคือสิ่งที่เลวร้าย” ฯลฯ

hello stranger

ความแตกต่างของความเชื่อในการใช้ชีวิต อาจทำให้คนที่เรารักรู้สึกรับไม่ได้ และแสดงมันออกมาผ่านคำพูดที่เจ็บแสบ ซึ่งถ้อยคำเหล่านี้เมื่อยิ่งมาจากคนที่เรารัก มันจะฝังลึกลงไปข้างใน

และเมื่อเรารู้ว่าเราไม่มีทางได้ยินคำพูดชโลมใจจากคนที่เราคาดหวังคนนั้นแล้ว เราก็ขอเดินตามทางไปเรื่อยๆ เพื่อฟังเสียงของคนอื่นที่มีคำพูดอ่อนโยนมาให้เป็นยาใจ รักษาแผลที่เลือดไหลซิบๆ แทน

และหวังว่าสักวันแผลจากคำพูดนั้นจะไม่สดอีกต่อไป จนรักษาตัวเองได้

แต่ไม่ว่าเราจะอยากปรึกษาคนที่ไม่สนิทหรือคนที่สนิทสุดๆ แค่ไหน สิ่งสำคัญที่สุดคือการกลับมาถามหัวใจของเราอย่างซื่อสัตย์ว่า ลึกๆ แล้วตอนนี้หัวใจของเรารู้สึกยังไง เพราะไม่ว่าเราจะฟังมาเป็นล้านคำแนะนำ มันก็ต้องเป็นเราเองนี่แหละที่เลือกจัดการกับชีวิตและความรู้สึกหนักๆ ที่ถือไว้ 

ไม่มีใครตัดสินใจให้เราได้ ไม่ว่าจะเป็นคนสนิทหรือคนแปลกหน้าก็ตาม

Writer

Graphic Designer

SEND YOUR STORY

REQUEST INTERVIEW

ติดตามอ่าน “Urban Creature”
นิตยสารออนไลน์ที่จะทำให้คุณรักเมืองที่คุณอยู่ รักตัวเองมากขึ้นด้วยการเปิดมุมมองและนำเสนอแนวทางการใช้ชีวิตอย่างสร้างสรรค์ และสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ในการใช้ชีวิต
Better Life. Better Living.

Max. file size: 256 MB.