หลายคนคงเคยได้ยินความเชื่อที่ว่า ‘การเช่าบ้านคือการทิ้งเงินเปล่า’ เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนเพื่อให้ได้มาซึ่ง ‘พื้นที่อยู่อาศัย’ แต่คนจำนวนไม่น้อยกลับมองว่า การจ่ายค่าเช่าทุกๆ เดือนนั้นไม่ใช่การลงทุนหรือทำให้ผู้เช่ามีทรัพย์สินที่จับต้องได้ แต่ถ้าหากนำค่าเช่านั้นไปลงทุนซื้อบ้านของตัวเองสักหลัง ท้ายที่สุดแล้วบ้านหลังนั้นก็จะเป็นทรัพย์สินที่เราถือครองได้ตลอดชีวิต
ขณะเดียวกัน ไม่ใช่ทุกคนจะมีเงินก้อนใหญ่สำหรับซื้อบ้านได้ แถมการกู้เงินซื้อบ้านยังอาจสร้างภาระผูกพันให้ผู้ซื้อนานถึง 20 – 30 ปี ซึ่งยอดผ่อนแต่ละเดือนอาจมีราคาสูงกว่าค่าเช่าบ้านรายเดือน ทำให้กว่าจะได้เป็นเจ้าของบ้านเต็มตัว ว่าที่เจ้าของบ้านคนใหม่คงต้องประหยัดอดออมรวมไปกับการซื้อบ้าน จนอาจไม่มีเวลาหรือไม่มีเงินที่จะใช้จ่ายให้กับกิจกรรมที่ยังไม่จำเป็น
ระหว่างการซื้อบ้านหรือการเช่าบ้านอยู่ ตกลงแล้วตัวเลือกไหนจะดีและเหมาะสมกับเราที่สุด เราขอชวนผู้อ่านไปเปรียบเทียบเงื่อนไขและความคุ้มค่าพร้อมกัน
ที่อยู่อาศัยในเมืองมีราคาสูง
จากการวิเคราะห์ของเว็บไซต์อสังหาริมทรัพย์ Realtor.com พบว่า พื้นที่ของเมืองใหญ่ในสหรัฐอเมริกานั้นมีราคาสูง เนื่องจากเป็นแหล่งเศรษฐกิจขนาดใหญ่จนทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยเติบโตไปด้วย ส่งผลให้ราคาที่อยู่อาศัยในบริเวณนี้มีมูลค่าที่สูงขึ้น ซึ่งถ้าหากจะต้องใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่แล้ว การจ่ายค่าเช่าเฉลี่ยต่อเดือนจะช่วยประหยัดเงินได้มากกว่าค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของผู้ซื้อบ้านถาวร
เช่นเดียวกันกับในกรุงเทพฯ ที่แหล่งงานส่วนใหญ่กระจุกอยู่ในเมือง ทำให้ผู้คนจากหลายพื้นที่ต้องเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในเมือง แน่นอนว่าราคาของอสังหาริมทรัพย์ในทำเลทองหรือใกล้ตลาดแรงงานจึงมีราคาสูงขึ้นตามความต้องการ ยกตัวอย่างเช่น คอนโดมิเนียมใกล้รถไฟฟ้าสถานีเพลินจิต ราคาซื้อจะอยู่ที่ 4.29 – 6.8 ล้านบาทต่อห้อง ซึ่งในบริเวณใกล้เคียงสถานีเดียวกันนั้น หากเป็นราคาเช่าจะเริ่มต้นตั้งแต่ 13,900 บาทต่อเดือนขึ้นไป
จะเช่าหรือซื้อขึ้นอยู่กับการวางแผนอนาคต
สำหรับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเป็นส่วนใหญ่ การจะซื้อบ้านหรือคอนโดฯ ที่มีราคาจับต้องได้จึงอาจเป็นไปได้ยากในตอนนี้ แต่ในขณะเดียวกัน ในตลาดอสังหาฯ ยังมีที่อยู่อาศัยจำนวนมากที่ปล่อยเช่าในราคาหลายระดับ ตั้งแต่ราคาต่ำกว่า 10,000 บาทต่อเดือน ไปจนถึงมากกว่า 30,000 บาทต่อเดือน ขึ้นอยู่กับทำเลและสิ่งอำนวยความสะดวกของแต่ละพื้นที่ ทำให้ผู้เช่าสามารถเลือกราคาที่ตัวเองจ่ายไหว ซึ่งหากไม่ได้วางแผนจะมีครอบครัว หรือเป็นคนที่เปลี่ยนย้ายงานบ่อย หรือยังไม่มั่นใจว่าอยากจะปักหลักที่ไหน การเช่าอยู่ก็อาจจะตอบโจทย์ชีวิตมากกว่า
แต่หากมีการวางแผนอนาคตเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งใจอยู่อาศัยระยะยาว หรือสร้างครอบครัว หรืออยากมีทรัพย์สินถือครองในมือ การมีบ้านเป็นของตัวเองถาวรก็อาจตรงกับจุดประสงค์มากกว่า ทั้งการมีพื้นที่เป็นของตัวเอง สามารถดูแลจัดการภายในบ้านได้อย่างเต็มที่ รวมถึงยังสามารถนำดอกเบี้ยที่กู้ธนาคารไปลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย
พร้อมมีภาระผูกพันทางการเงินหรือไม่
ภาระใหญ่ที่จะมาพร้อมกับการลงทุนซื้อบ้านหนึ่งหลังหรือคอนโดฯ หนึ่งห้องคือ ‘หนี้ก้อนใหญ่’ ที่มีตั้งแต่เงินดาวน์ การผ่อนชำระรายเดือน ค่าดอกเบี้ยธนาคารต่างๆ ที่อาจต้องใช้เวลานานถึง 30 ปีในการจ่ายคืนให้ครบ
เพราะฉะนั้นหากใครตั้งใจว่าจะซื้อบ้านสักหลังก็ควรมั่นใจก่อนว่า ตัวเองมีรายได้ที่มากพอ มีเงินสำรองสำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงมีการวางแผนการใช้เงินให้ดี เพราะนอกจากรายจ่ายที่บอกไว้ข้างต้น ในอนาคตยังอาจมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่งอกออกมา ไม่ว่าจะเป็นค่าตกแต่งภายใน ค่าบำรุงรักษา ค่าซ่อมแซมบ้าน ฯลฯ
แม้ว่าการซื้อบ้านจะเป็นภาระที่ผู้ซื้อต้องแบกไว้นานหลายปี ส่วนบางคนอาจต้องใช้ชีวิตอย่างประหยัดเพื่อให้มีเงินพอจ่ายค่าบ้านแต่ละเดือน แต่ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อผ่อนบ้านจนครบกำหนด สิ่งตอบแทนที่จะได้รับจากการอดทนระยะยาวก็คือสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่เราสามารถเก็บไว้ลงทุนหรือส่งต่อให้รุ่นลูกรุ่นหลานได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ค่าใช้จ่ายต่อเดือนของการซื้อและการเช่าอาจจะไม่ได้แตกต่างกันมากเท่าไรนัก แต่สิ่งที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัดคือ การซื้อมีภาระผูกพันอย่างที่อธิบายไปข้างต้น ขณะที่การเช่าอาจทำให้ผู้อยู่อาศัยมีอิสระทางการเงินมากกว่า และเหมาะกับผู้มีรายได้ไม่สูงมาก เพราะพวกเขาสามารถเลือกราคาค่าเช่าเหมาะสมกับรายได้ของตัวเอง และไม่ต้องแบ่งเงินสำหรับบำรุงรักษาและดูแลที่อยู่ให้ดูดีตลอดเวลา ที่สำคัญ พวกเขายังวางแผนและเก็บเงินส่วนนั้นไว้ใช้กับกิจกรรมอื่นๆ หรืออาจเก็บเป็นทุนสำหรับการเช่าที่ใหม่ในราคาที่สูงขึ้นกว่าเดิมก็ได้เช่นกัน
ดังนั้นหากถามว่าระหว่างการซื้อบ้านและการเช่าอยู่ ตัวเลือกไหนคุ้มค่ากว่ากัน คงต้องบอกว่าไม่มีคำตอบที่ถูกหรือผิด เพราะท้ายที่สุดแล้ว การเลือกที่อยู่อาศัยคือการตัดสินใจที่ต้องพิจารณาจากเงื่อนไขการใช้ชีวิตรวมถึงข้อจำกัดของแต่ละคน แต่ไม่ว่าจะเลือกเช่าอยู่หรือซื้อขาด สิ่งที่เราต้องถามตัวเองก่อนก็คือ เรามีรายได้เพียงพอที่จะจ่าย รวมถึงมีความพร้อมที่จะแบกรับภาระและความเสี่ยงที่จะตามมาหรือไม่
Sources :
Forbes | t.ly/Bsll
Investopedia | t.ly/G-DE
Realtor.com | t.ly/wcjR
SoftbizPlus | t.ly/4ILU
workpointTODAY | t.ly/k7RX
Writer
ณิชกมล บุญประเสริฐ
Graphic Designer
