ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราสังเกตเห็นว่ามีชาวต่างชาตินั่งทำงานในคาเฟ่หรือ Co-working Space โดยเฉพาะในย่านใจกลางเมืองเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเทรนด์ Digital Nomad ที่คนหันมาทำงานออนไลน์จากประเทศที่ไม่ใช่ประเทศบ้านเกิดมากขึ้น โดยพวกเขามักเลือกเดินทางไปยังประเทศที่มีค่าครองชีพต่ำเมื่อเทียบกับรายได้ มีสาธารณูปโภคที่ดี และสัญญาณอินเทอร์เน็ตรวดเร็ว เพื่อจะได้มีอิสระในการท่องเที่ยว และใช้ชีวิตตามไลฟ์สไตล์ที่ต้องการได้
คนกลุ่มนี้แตกต่างจากคนที่ย้ายประเทศไปเรียนต่อหรือทำงานประจำ เพราะพวกเขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำความรู้จักคนท้องถิ่นในประเทศนั้นๆ ทำให้หลายๆ ครั้งพวกเขาไม่สามารถเข้าถึงวัฒนธรรมของประเทศที่ไปอาศัยอยู่ จนเกิดเป็นความรู้สึกแปลกแยก ไม่เป็นส่วนหนึ่งกับพื้นที่
ฟังดูเป็นประเด็นที่ไม่ได้ไกลตัวมากสักเท่าไหร่ แต่เรากลับไม่เคยคำนึงถึง จนได้อ่านหนังสือเรื่อง ‘Perfection’ โดย Vincenzo Latronico นวนิยายเรื่องแรกที่ได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษของนักเขียนชาวอิตาเลียนคนนี้ และได้รับคัดเลือกให้เข้าชิงรางวัล The International Booker Prize 2025

แม้เรื่องนี้จะไม่ใช่ประเด็นหลักของ Perfection แต่เราคิดว่านี่เป็นประเด็นที่น่าสนใจและร่วมสมัยมากทีเดียว โดยเฉพาะการสำรวจแง่มุมความรู้สึกไม่มั่นคงของการไม่มีที่ตั้งหลักปักฐานที่แน่นอน และความรู้สึกแปลกแยกจากสภาพแวดล้อมที่อาศัยอยู่ของคนกลุ่ม Digital Nomad ซึ่งยังไม่ค่อยถูกพูดถึงมากนัก
Perfection เล่าถึงแอนนาและทอม คู่รักนักออกแบบวัยหนุ่มสาวที่ย้ายถิ่นฐานไปใช้ชีวิตในฝันที่กรุงเบอร์ลิน อาศัยอยู่ในอะพาร์ตเมนต์ที่ตกแต่งอย่างพิถีพิถัน ทั้งเฟอร์นิเจอร์จากเดนมาร์ก ต้นไม้ประดับราคาแพง และคอลเลกชันแผ่นเสียงหายาก มีเวลาในการทำงานที่ยืดหยุ่น ได้ทำงานที่ใช้ความสร้างสรรค์ ใช้เวลาว่างไปกับการทำอาหาร ร่วมงานเปิดตัวแกลเลอรีศิลปะร่วมสมัย และปาร์ตี้มากมายที่เกิดขึ้นอย่างไม่หยุดไม่หย่อน
‘The life promised by these images is clear and purposeful, uncomplicated.’
(ชีวิตที่ถูกแสดงออกผ่านภาพเหล่านี้นั้นช่างชัดเจน เต็มไปด้วยความหมาย และไร้ซึ่งความซับซ้อน)
ในยุคที่ภาพในโซเชียลมีเดียและชีวิตจริงแทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ภาพนี้ถือเป็นภาพชีวิตในฝันของคนหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อย ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป พวกเขากลับค้นพบว่า ไม่ว่าไลฟ์สไตล์ที่เป็นอยู่จะถูกคัดสรรและเป็นไปตามอุดมคติมากเพียงใด ก็ไม่เพียงพอที่จะเติมเต็มชีวิตให้มีความหมายได้
‘They lived in a country whose language they didn’t speak, in a job with unclear boundaries and no fixed hours or base…The environment where they slept and worked, and which they themselves had chosen and shaped, was the one tangible manifestation of who they were.’
(พวกเขาไม่สามารถสื่อสารในภาษาของประเทศที่พวกเขาอาศัยอยู่ได้ ทำงานที่ไม่มีขอบเขตชัดเจน ไม่มีกิจวัตรหรือสถานที่ทำงานตายตัว…มีเพียงอะพาร์ตเมนต์ไว้ใช้อาศัยอยู่และทำงาน ซึ่งทั้งคู่ได้เลือกและรังสรรค์ขึ้นมาเองเท่านั้นที่เป็นสิ่งแสดงตัวตนเดียวของพวกเขาที่จับต้องได้)


จากที่เคยสนุกกับสิ่งแวดล้อมและประสบการณ์ใหม่ๆ พวกเขาเริ่มรู้สึกว่าชีวิตที่เป็นอยู่นั้นว่างเปล่า ไร้ความหมาย นำมาสู่การตั้งคำถามถึงความเป็นตัวตนของพวกเขา ที่มากกว่าเพียงสิ่งของที่ทั้งคู่บริโภคเพื่อแสดงถึงรสนิยมและตัวตน
การอาศัยอยู่ที่เบอร์ลินของแอนนาและทอมไม่เหมือนการไปใช้ชีวิตอยู่ หากแต่เป็นการ ‘บริโภค’ ไลฟ์สไตล์และภาพในอุดมคติที่เมืองสร้างให้เท่านั้น เพราะแม้พวกเขาจะไม่สามารถสื่อสารภาษาเยอรมันได้ ก็ไม่ได้เป็นปัญหาใดๆ เนื่องจากสังคมรอบตัวที่นั่นต่างประกอบไปด้วยผู้คนจากหลากหลายประเทศทั่วโลก แต่แทบไม่มีใครเป็นคนเยอรมัน พวกเขาสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษเป็นหลัก ถึงแม้จะไม่ใช่ภาษาแม่ของใครเลยก็ตาม
และด้วยความที่พวกเขาไม่สามารถสื่อสารภาษาเยอรมันได้มากพอที่จะเข้าใจข่าวสารจากสื่อท้องถิ่น จึงเลือกที่จะอ่านข่าวจากสื่อในอเมริกาแทน เพื่อนๆ ของพวกเขาก็เช่นกัน
‘In their world, Barack Obama’s speeches and high school shootings existed far more vividly than the laws passed just a few U-Bahn stations away, or the refugees drowning two hours’ flight south.’
(ในโลกของพวกเขา เหมือนว่าคำปราศรัยของบารัก โอบามา และเหตุกราดยิงในโรงเรียนที่อเมริกายังอยู่ใกล้ตัวพวกเขายิ่งกว่ากฎหมายใหม่ที่เพิ่งผ่านไป ณ ระยะทางห่างจากพวกเขาเพียงไม่กี่สถานีรถไฟใต้ดิน หรือผู้อพยพที่กำลังจมน้ำอยู่ทางตอนใต้ซึ่งห่างไปเพียงไฟลต์บินสองชั่วโมง)

ความใกล้ในแง่ของระยะทางแต่แสนไกลในความรู้สึกนี้เอง ส่งผลให้ความเข้าใจในประเด็นของสังคมที่พวกเขาอาศัยจำกัดอยู่เพียงเรื่องราวเดิมๆ ไม่กี่เรื่องราว ที่ทั้งคู่สลับกันถกเถียงซ้ำไปซ้ำมา คล้ายกับต้องการแสดงออกว่าพวกเขาใส่ใจเมืองที่ไปอยู่ ไม่ใช่ว่าไม่พยายามที่จะเข้าใจประวัติศาสตร์และบริบทของสังคมเบอร์ลินอย่างที่คนทั่วไปคิด
‘From the outside, it was easy enough to identify the cause of their alienation, but to them, paradoxically, no explanation revealed itself. Anna and Tom lived in a bubble, one even more insular and limited than those just starting to appear on social media.’
(มองจากภายนอก มันไม่ยากที่จะหาสาเหตุความรู้สึกแปลกแยกของพวกเขา แต่สำหรับแอนนาและทอม กลับไม่มีคำอธิบายใดๆ ปรากฏออกมาเลย ทั้งสองคนใช้ชีวิตอยู่ในโลกของตัวเอง โลกที่คับแคบและจำกัดยิ่งกว่าโลกเล็กๆ ที่เพิ่งเริ่มปรากฏบนโซเชียลมีเดียเสียอีก)
เมื่อเวลาผ่านไป เริ่มมี Expat จากอังกฤษและอเมริกาย้ายเข้ามาในเบอร์ลินมากขึ้น ปัญหาที่เกิดขึ้นเหมือนกันทุกที่ที่เงินดอลลาร์เข้าถึงอย่างค่าเช่าและค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้นก็ตามมา
‘What was happening to the city – the replacement of its historical inhabitants with younger wealthier newcomers and the resulting price hike and decline in diversity – was gentrification, a term used also exclusively by the people that caused it.’
(สิ่งที่เกิดขึ้นกับเมืองนี้ คนกลุ่มใหม่ที่อายุน้อยกว่าและร่ำรวยกว่าเข้ามาแทนที่ผู้ที่เคยอาศัยอยู่ ราคาที่เพิ่มขึ้นและความหลากหลายที่ลดลง หรือที่เรียกกันว่า การเปลี่ยนแปลงพื้นที่เพื่อเปลี่ยนชนชั้น (Gentrification) คำที่ใช้เฉพาะโดยกลุ่มคนที่เป็นต้นเหตุของการเปลี่ยนแปลงนี้)
เราจะค่อยๆ เห็นความเข้มข้นของภาวะความเป็นอื่นที่แอนนาและทอมประสบขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดเมื่อมีวิกฤตผู้ลี้ภัยเข้ามา พวกเขาก็ได้ออกจากโลกแคบๆ ที่สร้างขึ้น มาร่วมกับเมืองที่อาศัยอยู่จริงๆ เป็นครั้งแรก
และแล้วทั้งคู่ก็พบกับความเป็นจริงว่า กลางค่ายผู้ลี้ภัยแห่งนี้ที่พวกเขาไม่สามารถเข้าใจทั้งคำถามของผู้ลี้ภัย หรือคำตอบของเจ้าหน้าที่รัฐชาวเยอรมัน ต่อให้ทั้งสองจะมีความกระตือรือร้นอยากช่วยเหลือ และความสามารถในการออกแบบกราฟิกที่เก่งกาจแค่ไหน Expat ที่สื่อสารแต่ภาษาอังกฤษคู่นี้ก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้มากกว่าการหลีกทางเลย

พออ่านเล่มนี้จบ อดไม่ได้ที่จะมองย้อนกลับมาที่บ้านเมืองตัวเอง เราเชื่อว่า Expat ที่อาศัยอยู่ในไทยส่วนใหญ่ก็ไม่มีความเข้าใจในวัฒนธรรม ไม่ต่างจากแอนนาและทอม เพียงแต่เหตุผลที่ประเทศไทยถูกเรียกว่าเป็นจุดหมายของ Digital Nomad นั้นเพราะค่าครองชีพ ความสะดวกสบาย และความเร็วของสัญญาณอินเทอร์เน็ตมากกว่า
หรือต่อให้มีบางคนที่เอนจอยกับวัฒนธรรมไทย ในท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็มีโอกาสสัมผัสความเป็นท้องถิ่นบ้านเราเพียงผิวเผิน ร่วมกับชุมชนชาว Expat คนอื่นๆ ซึ่งแม้ว่าจะมาทำงานอยู่ในไทยเป็นหลักหลายเดือนหรือเป็นปี ก็ไม่ได้แปลว่าจะมีความพยายามเข้าถึง ‘ความเป็นไทย’ มากไปกว่านักท่องเที่ยวที่มาเพียงไม่กี่สัปดาห์
และแม้ว่าจะมีสื่อที่นำเสนอข่าวสารในไทยเป็นภาษาอังกฤษ ก็คงยากที่จะสามารถเข้าถึงและมีส่วนร่วมกับประเด็นสังคมที่เกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง เมื่อเทียบกับชาวต่างชาติที่ย้ายเข้ามาเรียนหรือทำงานประจำ ที่ได้เข้าร่วมสังคมคนไทยในชีวิตประจำวัน
นอกจากนี้ การเข้ามาของ Expat และ Digital Nomad ที่มีศักยภาพในการเช่าซื้อที่มากกว่าคนท้องถิ่น ก็กลายเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ค่าเช่าและค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้นในหลายประเทศ โดยเฉพาะในย่านใจกลางเมือง ซึ่งอาจทำให้คนในพื้นที่รู้สึกว่าเมืองที่ตัวเองอยู่ถูกแปรเปลี่ยนไปรองรับ Expat มากจนเกินไป และยิ่งสร้างความรู้สึกแปลกแยก ระหว่างคนท้องถิ่นและชาวต่างชาติที่เข้าไปอาศัยอยู่ ถึงแม้ว่าในหลายๆ กรณีพวกเขาจะเป็นเพียงสาเหตุส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ที่ว่าก็ตาม
นิยายหนา 130 กว่าหน้านี้ทำให้เราครุ่นคิดถึงการที่ชาวต่างชาติและคนท้องถิ่นต่างคนต่างอยู่ ต่างสนใจเพียงเหตุการณ์ในโลกของตนเองแทนการพยายามทำความเข้าใจและหลอมรวมเป็นสังคมเดียวกัน ซึ่งอาจทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดีในอนาคต โดยเฉพาะในยุคที่การเข้ามาของ Digital Nomad มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
จะดีกว่าไหม หากเราสามารถอยู่ร่วมกันในพื้นที่เดียวกัน และสร้างโอกาสการรับรู้ต่อเหตุการณ์ในพื้นที่นั้นๆ ที่เชื่อมต่อกันได้มากขึ้น ไม่ว่าจะด้วยนโยบายของภาครัฐ อย่างในประเทศญี่ปุ่น ฝรั่งเศส หรือเยอรมนี ที่ผลักดันนโยบายส่งเสริมให้ชาวต่างชาติที่ย้ายเข้าไปอยู่ในระยะยาวได้เข้าถึงการเรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรม และปรับตัวเข้าสู่สังคมได้มากขึ้น
หรือในระดับประชาชนเองที่เราเริ่มเห็นในประเทศไทยแล้ว อย่างการจัดกิจกรรมร่วมกันระหว่างคนในพื้นที่แบบเฟรนด์ลีต่อชาวต่างชาติ เริ่มจากความสนใจร่วมกันอย่าง Book Club หรือ Run Club ที่เป็นช่องทางให้ชาวต่างชาติได้ทำความรู้จักกับคนในพื้นที่ และพาตัวเองเข้าสู่สังคมในต่างแดนได้อย่างสบายใจมากขึ้น
เพราะต่อให้ในห้องที่เป็นพื้นที่ส่วนตัวของเราจะสุขสบายเพอร์เฟกต์แค่ไหน แต่ถ้าเดินออกไปพ้นรั้วอาคารที่อยู่อาศัยแล้วรู้สึกอ้างว้าง ไม่รู้สึกเชื่อมโยงกับผู้คนและเมืองที่โอบล้อมได้เลย ก็คงเป็นความเพอร์เฟกต์ที่มีขอบเขตแสนจำกัดและว่างเปล่าน่าดู
Sources :
BAMF | t.ly/ZMOYu
JaLS GROUP | t.ly/CX1AI
Service Public | shorturl.asia/JhHV9