ปกติแล้วทุกคนเดินทางในเมืองกันยังไงบ้าง รถยนต์ส่วนตัว รถเมล์ วินมอเตอร์ไซค์ รถไฟฟ้า หรือเดินใช่ไหม แล้วเคยมีความคิดที่จะลองปั่นจักรยานบ้างหรือเปล่า
‘กรุงเทพฯ กับการปั่นจักรยาน’ ดูเป็นแนวคิดเซอร์เรียลๆ เป็นไปได้ยากสำหรับใครหลายคน แม้กระทั่งเราเองก็ตาม ทั้งที่เราเองก็ชอบเดินและเดินสำรวจเมืองเป็นประจำ แต่ไม่เคยมีความคิดลองใช้จักรยานเดินทางเลย เนื่องจากกลัวอุบัติเหตุ และไม่รู้ว่าจะปั่นได้ยังไงกับถนนหนทางแบบนี้ของกรุงเทพฯ
แต่พอได้อ่านบทสัมภาษณ์ของ BUCA ภาคีจักรยานเมือง กรุงเทพฯ รวมถึงเห็นการกลับมาของบริการเช่าจักรยานทั่วกรุงเทพฯ ที่ดูเข้าถึงง่าย มีที่จอดเยอะ และตัวจักรยานดูสะดวกน่าใช้ เราจึงตัดสินใจนัดกับเพื่อนที่เคยปั่นจักรยานเดินทางแถวเอกมัยมาทดลองใช้จักรยาน HelloRide ที่มีที่จอดตามสถานีรถไฟฟ้าในวันเสาร์หนึ่งของเดือนสิงหาคม
และจากทริปปั่นจักรยานจากพร้อมพงษ์สู่บรรทัดทองครั้งนั้นเองที่ทำให้เรากล้าใช้บริการเช่าจักรยานอย่างต่อเนื่อง ลองปั่นคนเดียวในเส้นทางแถวบ้านที่ทั้งใกล้และไกลจนใช้งานเป็นประจำ จากที่เคยต้องใช้บริการแกร็บไบค์ก็เปลี่ยนมาเดินแล้วใช้จักรยานเป็น First-Last Mile (การเดินทางต่อแรก-สุดท้ายจากที่หมาย) ทำให้สะดวกสบาย ประหยัดเวลา ประหยัดเงิน และบางครั้งยังรู้สึกว่าปลอดภัยมากกว่าการซ้อนมอเตอร์ไซค์ด้วยซ้ำ
ด้วยเหตุนี้ เราเลยอยากมาแชร์ประสบการณ์การปั่นจักรยานเดินทางในกรุงเทพฯ ผ่านคอลัมน์ Experimentrip ครั้งนี้ เผื่อใครที่อยากปั่นจักรยานแต่ลังเลใจ จะได้เห็นแนวทางและเติมความกล้าหาญให้มากขึ้น

Hello PunPun
Bike Sharing ที่เชื่อมต่อ BTS / MRT / ท่าเรือ ได้สะดวก
ก่อนอื่นเราอยากเล่าถึงบริการเช่าจักรยานหรือ Bike Sharing ในกรุงเทพฯ ก่อนว่ามีมานานเกินสิบปีแล้ว ซึ่งเราเองก็เคยเห็นโครงการปันปั่น (Share the Road) เมื่อสมัยเรียนมหาวิทยาลัย แต่ตอนนั้นในใจก็ครุ่นคิดว่า ใครจะกล้าปั่นกันนะ
เมื่อมองย้อนกลับไปตอนนั้น คิดว่านอกจากภาพที่ดูอันตราย เสี่ยงตาย จากข่าวที่มีคนปั่นจักรยานโดนรถชน ก็ยังมีเรื่องของตัวสถานีที่จอดที่มีน้อย และโครงสร้างสถานีที่ดูทำให้การปั่นจักรยานเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต ยังไม่นับเรื่องขาดการผลักดันผ่านการทำโครงสร้างถนนหนทางและทางเท้าให้รองรับการปั่นจักรยานอีก พอเป็นแค่โปรเจกต์ที่ชวนคนมาปั่นโดยมี Bike Sharing รองรับแต่ไม่มีการทำส่วนอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย เลยรู้สึกว่าจะปั่นจักรยานในกรุงเทพฯ ให้ปลอดภัยได้ยังไงอยู่ดี
ตัดภาพกลับมาตอนนี้ กรุงเทพฯ นำ Bike Sharing กลับมาให้บริการอีกครั้งเมื่อปีที่แล้ว และตอนนี้ก็มีผู้ให้บริการถึง 3 – 4 เจ้าที่เห็นกันบ่อยๆ ได้แก่ Leo, Anywheel, GCOO และ HelloRide ซึ่งเจ้าสุดท้ายนี่แหละที่เราใช้บริการอยู่

มีที่จอดเยอะ
ส่วนใหญ่อยู่ตามใต้สถานีรถไฟฟ้า
เช็กจุดให้บริการในแอปฯ ได้
ด้วยความที่ใช้บริการอยู่เจ้าเดียว เราจึงขอพูดถึงแค่ HelloRide ซึ่งจริงๆ คนน่าจะคุ้นตากับแบรนด์นี้ เนื่องจากเป็น Bike Sharing ที่ฮิตมากในหลายประเทศ อย่างในสิงคโปร์นักท่องเที่ยวก็ใช้กันแพร่หลาย
ตอนนี้ Bike Sharing สีน้ำเงินเจ้านี้มีจุดให้บริการและจุดจอดค่อนข้างเยอะ อย่างจุดที่มีแน่ๆ คือใต้สถานีรถไฟฟ้า หากต้องการเลี่ยงช่วงแออัดคนเยอะบนรถไฟฟ้า แนะนำให้ปั่นจักรยานแทน (ถ้าพิจารณาระยะทางแล้วคิดว่าปั่นไหว) หรือถ้าต้องการเช็กว่าจุดจอดจักรยานมีอยู่แถวๆ จุดหมายที่เรากำลังจะไปไหม ให้ไปเช็กได้ในแอปฯ ของ HelloRide ก่อน

วิธีการใช้งาน Bike Sharing ไม่ยาก แค่ต้องโหลดแอปฯ HelloRide แล้วสมัครให้เรียบร้อย จะเซตวิธีการชำระเงินแบบไหนก็ได้ตามสะดวก อย่างของเราผูกบัตรเครดิตเพราะคิดว่าน่าจะใช้บ่อยแน่ๆ แต่ถ้าใครสะดวกใช้ TrueMoney หรือ Top Up เงินในระบบก็ได้ ค่าบริการ 10 บาทต่อ 30 นาที นับว่าถูกมาก หรือถ้าจะใช้งานนานๆ หรือใช้งานบ่อยๆ เราแนะนำให้ซื้อแพ็กเกจไปเลย มีตั้งแต่
1 วัน/50 บาท
7 วัน/100 บาท
30 วัน/200 บาท
150 วัน/750 บาท
365 วัน/1,000 บาท
จากนั้นเลือกปลดล็อกจักรยานคันที่ชอบด้วยการสแกน QR Code เพื่อใช้งาน ส่วนตัวเราชอบที่โครงสร้างจักรยานดูแข็งแรง เบรกสะดวก ที่กดกริ่งเป็นแบบให้หมุน (หลายคนอาจเข้าใจว่าเป็นเกียร์) และเบาะที่ปรับความสูงได้ โดยมีการระบุเป็นความสูงตามเซนติเมตรไว้ที่ก้านเบาะ

ตรวจสอบโครงสร้างก่อนปั่น
ทั้งนี้ พอใช้ Bike Sharing เป็นประจำ เรามักจะตรวจสอบโครงสร้าง ล้อ และส่วนต่างๆ ของจักรยานให้เรียบร้อยว่าจะไม่เป็นปัญหา อย่างปัญหาเล็กๆ ที่เราเจอคือ พวกฝุ่นที่เกาะตามส่วนต่างๆ ของรถ ใช้กระดาษทิชชูเช็ดๆ ออกหน่อยก็ดี
อีกข้อที่เราชอบคือ ตะกร้าใส่ของด้านหน้ากว้างและแข็งแรงมาก ปกติเวลาบังคับแฮนด์เลี้ยว ตะกร้าจะเลี้ยวไปด้วย ทำให้รถแกว่งได้ แต่จักรยานของ HelloRide ตะกร้าถูกล็อกกับรถ ไม่เลี้ยวซ้ายขวาตาม ทำให้ขี่ง่ายขึ้นมาก บวกกับตัวจักรยานมีไฟที่จะฉายส่องบริเวณหน้ารถเองโดยอัตโนมัติตั้งแต่เวลา 19.00 – 07.00 น. ยิ่งช่วยให้การปั่นจักรยานในเมืองของเราปลอดภัยขึ้น

ปั่นบนทางเท้าเป็นหลัก
ให้สิทธิคนเดินเท้าก่อน
ถึงเวลาออกแรงปั่น ด้วยความที่เป็นคนปั่นจักรยานแข็งอยู่แล้วจึงไม่กังวลเรื่องการบังคับรถ โดยจุดเริ่มต้นของเราอยู่ใต้สถานีรถไฟฟ้าพร้อมพงษ์ เพื่อปั่นไปยังสวนเบญจกิติ
ด้วยถนนของกรุงเทพฯ ไม่ได้มีเลนจักรยานโดยเฉพาะ (หรือถึงมีก็โดนรถยนต์แย่งชิงไปเสียหมด) ชาวจักรยานจึงแนะนำให้ปั่นกันบนทางเท้าเป็นหลัก ถ้าย่านไหนทางเท้ากว้างขวางจะปั่นได้สะดวกหน่อย ถึงอย่างนั้นเราเองก็ต้องตระหนักไว้เสมอว่า ควรให้สิทธิคนเดินเท้าก่อน ไม่ควรไปบีบแตรใส่คนเดิน ค่อยๆ ปั่นอย่างช้าๆ ถ้าตรงไหนที่คนเยอะ ให้ลงมาจูงจักรยานแทนจะปลอดภัยกว่าทั้งกับคนรอบข้างและเราเอง

ระมัดระวังการข้ามถนนใหญ่
พื้นที่ไหนที่ไม่มั่นใจ ให้ลงมาจูงจักรยานเดิน
สำหรับพื้นที่ที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษคือ การข้ามถนนใหญ่ ถ้าบริเวณไหนมีทางม้าลายและรถเยอะ เราจะเลือกลงจากจักรยานมาจูงแล้วเดินเคียงข้างคนเดินเท้าคนอื่นๆ หรือถ้าตรงไหนที่ทางแคบ มีเสากั้นมอเตอร์ไซค์ติดตั้งอยู่แล้วไม่ชัวร์ว่าจะปั่นพ้นไหม เราจะไม่เสี่ยงปั่นไปแล้วล้ม คิดว่าลงมาจูงจักรยานเสียเวลานิดเดียวแต่ลดความเครียดที่จะทู่ซี้ไปให้ได้ดีกว่า ยังไงมันก็ถึงเร็วกว่าเดินอยู่แล้ว
ขณะเดียวกัน ถ้าต้องการเลี้ยวแล้วกังวลว่ารถยนต์จะไม่เห็น ให้ใช้สัญญาณมือช่วย แต่ก็ต้องมั่นใจว่าขี่รถมือเดียวได้ ซึ่งตรงนี้เรายังไม่ค่อยเก่งนัก จะอาศัยการค่อยๆ ปั่น ค่อยๆ ไปมากกว่า

จอดให้เรียบร้อย ไม่เกะกะทางเดิน
หลังจากปั่นจักรยานเล่นในสวนจนหนำใจ เราปั่นไปที่บรรทัดทองต่อด้วยการเลือกใช้เส้นทางหลังสวน สวนลุมฯ สามย่าน และจบที่บรรทัดทอง ซึ่งเอาจริงถือว่าเป็นการเข้าอินเทนซีฟคอร์สเลยก็ว่าได้ เพราะลองปั่นจักรยานในเมืองครั้งแรกก็เล่นปั่นยาวกินเวลาสองชั่วโมงเลย
พอถึงที่หมายก็ไปจอดตรงที่จอดของ HelloRide และกด End Trip ในแอปฯ แล้วสแกน QR Code ของที่จอดจักรยานภายใน 10 นาที เท่านี้เป็นอันเรียบร้อย ข้อเสียคือ ที่จอดอาจจะอยู่ไกลจากจุดหมายที่เราต้องการไปเสียหน่อย ต้องวางแผนดีๆ เพราะ Bike Sharing เจ้านี้จำกัดให้คืนรถที่ที่จอดจักรยานเท่านั้น ไม่สามารถจอดตรงไหนก็ได้เหมือนของ GCOO

ที่ยืนรอข้ามถนนของหลายพื้นที่มีเนื้อที่น้อย
พยายามยกหัวและท้ายจักรยานให้พ้นองศารถยนต์
และจากการปั่นจักรยานผ่านหลายย่านทริปนี้นี่เองที่ทำให้ตระหนักได้ว่า การปั่นจักรยานในกรุงเทพฯ (ชั้นใน) ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น ถ้าเรามีสติ เคารพกฎ ให้สิทธิคนเดินเท้าก่อน และรู้ว่าตรงไหนที่ควรปั่น ตรงไหนที่ควรลงมาจูงจักรยานเดิน ใช้ข้อได้เปรียบของจักรยานให้เกิดประโยชน์
อีกอย่างคือ แม้ว่าบริเวณรอข้ามถนนจะเล็กไปหน่อยในหลายๆ พื้นที่เวลายืนจูงจักรยานด้วย แต่คนอื่นๆ ที่รอข้ามถนนเหมือนกันกับเราก็ดูเข้าใจ พยายามแบ่งพื้นที่ให้เรานำจักรยานมาไว้ในโซนปลอดภัย ไม่ให้โดนรถยนต์เฉี่ยว

เมื่อได้ทดลองปั่นจักรยานยาวๆ กับเพื่อนจนพอรู้แนวทาง พร้อมเสริมความกล้าหาญแล้ว หลังจากนั้นเราลองปั่นคนเดียวในเส้นทางแถวบ้านตรงบริเวณพญาไท-สยาม ก็พบว่า ต้องมีช่วงที่ลงถนนใหญ่ ซึ่งให้ปั่นชิดซ้ายเอาไว้จะปลอดภัยที่สุด หรือถ้าไม่มั่นใจในช่วงที่รถเยอะเป็นพิเศษ ให้วางแผนดูเส้นทางปั่นอ้อมไปทางที่ไม่ต้องลงถนนใหญ่ดีกว่า อาจจะถึงช้าหน่อยแต่มั่นใจกว่า แถมยังเป็นการสำรวจเส้นทางจักรยานใหม่ๆ ไปด้วย
ขณะเดียวกัน พอได้ลองทั้งเดินเยอะๆ และปั่นจักรยานผสมกัน จะยิ่งทำให้มองเห็นสภาพกับข้อจำกัดของถนนหนทางของกรุงเทพฯ กว้างขึ้น เพราะปกติแล้วเวลาเดิน ถ้าเราเจออุปสรรคหรือเลเยอร์ของทางที่ไม่เท่ากันก็แค่ก้าวเท้าให้กว้างขึ้นหรือยกเท้าให้พ้นก็เพียงพอ แต่กับจักรยานที่เป็นพาหนะมีล้อไม่สามารถทำแบบนั้นได้ มีบางครั้งที่เราต้องลงมายกจักรยานให้พ้นสิ่งกีดขวาง โดยมีคนอื่นๆ มาช่วยยกด้านหลังให้ ซึ่งนั่นทำให้นึกถึงสิ่งที่คนใช้วีลแชร์ต้องประสบพบเจอในการเดินทางขึ้นมา
ยังไม่นับรวมเรื่องอุปสรรคบนทางเท้าที่เกิดจากแผงเสากั้นป้องกันไม่ให้มอเตอร์ไซค์ขึ้นมาขับขี่บนทางเท้าอีกนะ ที่น่าตลกคือ ตรงบริเวณสเตเดียมวันมีเครื่องหมายเลนจักรยานบนทางเท้าแต่กลับมีแผงเสาเหล็กกั้นทุกบล็อกทางเท้า เราต้องลงมาจูงจักรยานอยู่อย่างนั้นหลายรอบ ก็รู้สึกย้อนแย้งดี

เพิ่มจุดจอด
พัฒนาโครงสร้างให้รองรับการปั่นจักรยาน
ผลักดันให้คนหน้าใหม่ใช้งาน Bike Sharing
เชื่อมต่อจักรยานกับขนส่งสาธารณะให้ครอบคลุม
ตั้งแต่ทริปแรกจนมาถึงตอนนี้ เราใช้ Bike Sharing เดินทางมาได้ 2 เดือนแล้ว เส้นทางที่ใช้บ่อยๆ คือ พญาไท-สยาม-บรรทัดทอง และ พร้อมพงษ์-อโศก-สยาม-พญาไท ตามตำแหน่งสถานที่ทำงาน สถานที่ไปบ่อยๆ และบ้าน
ด้วยความที่เราปั่นในกรุงเทพฯ ชั้นใน มีทางเท้าค่อนข้างกว้าง คิดว่าการปั่นจักรยานในกรุงเทพฯ ไม่ได้ปั่นดีขนาดนั้น แต่ถามว่าปั่นได้ไหม คำตอบคือปั่นได้ ซึ่งสถานการณ์ของเมืองจักรยานที่กรุงเทพฯ อยากเป็น ก็ดูเป็นไปในทางที่ดีขึ้นกับโครงการซ่อมแซมปรับปรุงทางเท้าให้รองรับการเดินทางที่ กทม.ได้เดินหน้าทำอย่างต่อเนื่อง
แต่คงจะดีกว่านี้ถ้ากรุงเทพฯ มีจุดจอดจักรยานที่เยอะขึ้น ทำโครงสร้างให้รองรับการปั่นจักรยานมากกว่านี้ ยกตัวอย่าง พื้นผิวถนนที่ไม่เรียบหรือพวกฝาท่อส่งผลต่อจักรยานมากกว่าที่คิด เพราะกับเราที่ใช้ Bike Sharing ถ้าไปเจอทางที่ไม่เอื้อ หรือเหนื่อย ร้อน ไม่อยากปั่นต่อ ก็แค่คืนจักรยานแล้วไปใช้งานขนส่งสาธารณะหรือบริการรับ-ส่งอื่นๆ ได้ แต่กับคนที่ใช้จักรยานเป็นประจำทุกวัน ซึ่งมีส่วนอย่างมากในการลดรถติด ไม่สร้างมลพิษให้สิ่งแวดล้อม พวกเขาไม่สามารถที่จะจอดจักรยานทิ้งไว้ได้ เมืองควรออกแบบพื้นที่และส่งเสริมให้คนที่ปั่นจักรยานอยู่แล้วเดินทางได้อย่างราบรื่น และดึงดูดนักปั่นหน้าใหม่ให้เข้ามาร่วมขบวนการปั่นจักรยานมากขึ้น
ไม่แน่ว่ากรุงเทพฯ อาจลบทุกคำสบประสาทที่บอกว่า เมืองนี้ไม่มีทางเป็นเมืองจักรยาน ในอนาคตอันใกล้นี้ก็เป็นได้