‘ถ้าสองคนนี้เลิกกันนะ ฉันจะไม่เชื่อเรื่องความรักอีกแล้ว’
หลายคนน่าจะเคยคิดอะไรแบบนี้ จากการเฝ้ามองคู่รักคนดังที่ตัวเองชื่นชอบ ที่ลุ้นให้พวกเขารักกันยั่งยืน แต่ที่สุดแล้วก็ไปไม่รอดถึงฝั่งฝัน
การได้รับรู้ข่าวเลิกราของคู่ที่เราเชียร์มานาน มันบาดใจเหมือนเราเจ็บแทนเขา ทั้งๆ ที่ ก็ไม่มีใครรู้จักชีวิตส่วนตัวของคู่รักคนดังอย่างลึกซึ้งและละเอียดเท่าเจ้าตัวเอง ต่อให้คนดังเหล่านั้นจะเล่าเรื่องความรักของตัวเองออกสื่อบ่อยแค่ไหนก็ตาม
ความสัมพันธ์ที่ดูมีเส้นขีดไว้ชัดเจน แต่ความรู้สึกเราเลยเถิดออกไปได้ยังไง
‘เธอไม่รู้จักเขาจริงๆ ด้วยซ้ำ’
อาจเป็นสิ่งที่คนนอกมองเข้ามา ด้วยความไม่เข้าใจในความสัมพันธ์ของคนคนหนึ่งที่หลงใหลคนดังอย่างหัวปักหัวปำ ทั้งในแง่ตัวตนที่เขานำเสนอออกมา หรือความคิดสร้างสรรค์อันสวยงามจากผลงานของเขา คอยติดตามชีวิตตลอด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็คอยเป็นกำลังใจหรือออกตัวปกป้อง หากศิลปินในดวงใจเจอความทุกข์ ความรู้สึกนั้นก็เสียดแทงใจเหมือนตัวเองเจ็บแทน
เว็บไซต์ findapsychologist.org อธิบายความสัมพันธ์พิเศษที่มีชื่อเรียกว่า Parasocial Relationship ว่า เป็นความสัมพันธ์ข้างเดียว ที่คนหนึ่งมอบทั้งพลังงานด้านอารมณ์ ความสนใจ และเวลาให้ โดยที่อีกคนไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของอีกฝ่าย ซึ่งมักเกิดในความสัมพันธ์ที่แฟนคลับมีต่อศิลปินหรือทีมกีฬา
อย่างในตอนนี้ อีกหนึ่งกลุ่มคนดังที่หลายคนเลือกมีความสัมพันธ์แบบ Parasocial ด้วยคือนักการเมือง
‘ความคุ้นชิน’ ทำให้เกิดความผูกพัน
เมื่อไหร่ก็ตามที่คนเราผูกพันกับอะไร เมื่อนั้นจะยิ่งทำให้ตนรู้สึกว่า เรารู้จักคนคนนี้หรือสิ่งสิ่งนี้ดีพอ
ยกตัวอย่าง พ่อแม่หลายคนที่คิดว่าตัวเองรู้จักนิสัยใจคอหรือความฝันของลูกดี ซึ่งเขาไม่ผิดที่จะคิดอย่างนั้น เพราะอยู่ด้วยกันในบ้านทุกวัน แต่จริงๆ แล้วก็มีอีกหลายเรื่องที่ลูกเลือกจะไม่แสดงออกมาให้พ่อแม่เห็น
ไม่ต่างจากศิลปินหรือคนดังที่เราหลงรัก ขนาดตัวอย่างแรกที่ยกมาเมื่อตอนเปิดเรื่อง แม้ตัวเองอาจไม่ได้เป็นแฟนคลับเหนียวแน่น แต่การแค่เห็นใครคนหนึ่งผ่านสื่อบ่อยๆ มันเป็นไปได้ง่ายมากที่ใจจะเกิดความผูกพันโดยไม่รู้ตัว และในความผูกพันนั้นเอง ย่อมบ่มเพาะให้เกิดความรู้สึก ‘มั่นใจ’ ว่าเรารู้จักคนที่เห็นผ่านตาผ่านสื่อบ่อยๆ เป็นอย่างดี
ยิ่งเมื่อเราได้เป็นแฟนคลับของใคร หลายครั้งความชื่นชอบอาจนำไปสู่ความทุ่มเทอย่างถึงที่สุดชนิดที่เรียกว่ารักอย่างไม่มีเงื่อนไขก็ว่าได้ และเมื่อเวลาผ่านไป เราเฝ้ามองศิลปินที่เรารักเติบโต มีพัฒนาการเป็นที่น่าปลื้มใจ ก็เกิดเป็นการยอมรับอย่างเต็มหัวใจว่า ‘เรารักคนถูกจริงๆ’
จนกระทั่งความรู้สึกอิ่มเอมได้พังครืนจากความผิดหวังที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว เมื่อมารู้ข่าวว่าศิลปินที่เรารักทำพฤติกรรมหรือสร้างเรื่องราวที่ต่างจากตัวตนที่เรารู้จัก รัก และเชื่อมั่นอย่างสิ้นเชิง
มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่รักใครมากแล้วจะไม่เจ็บมาก
ความผิดหวังที่บอกไป ไม่ใช่แค่ความผิดหวังในตัวคนคนนั้นที่เข้าไปเกี่ยวโยงในเรื่องราวที่ตรงกันข้ามกับคุณค่าที่เรายึดถือ เช่น มาเจอว่าศิลปินที่เรารักไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ทำร้ายคนอื่นในความสัมพันธ์ ล่วงละเมิดทางเพศผู้อื่น ฯลฯ
แต่มันคือความเสียใจที่วกกลับมามองตัวเองว่า ทำไมเราถึงมองไม่ออก ทำไมเราถึงไม่รู้เลยว่าคนคนนี้จะเลวร้ายหนักหนาถึงเพียงนี้ ทั้งๆ ที่เราติดตามอย่างใกล้ชิดตลอด กลับกลายเป็นเราไม่เคยรู้จักเขาจริงๆ เลย
มันเป็นไปได้ที่เราจะแช่อยู่ในบ่อแห่งการโทษตัวเองไปสักพัก รู้สึกเสียเวลา เสียเงิน ทับลงไปบนความเสียใจนี้ ทั้งๆ ที่เราต่างรู้ดีว่า หากรับรู้เหตุการณ์เหล่านี้ได้ตั้งแต่เริ่มรัก เราคงไม่เลือกเดินทางผิดหรอก
ความซับซ้อนมันอยู่ที่ แล้วหลังจากนี้เราจะจัดการกับความรักที่ให้อีกคนไป หรือความรักที่ยังหลงเหลืออยู่ยังไงมากกว่า
ความรักอันไม่มีเงื่อนไขของเราควรสิ้นสุดที่ตรงไหน
‘ความรัก’ เป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถกดปุ่มลบล้างได้ทันทีเมื่ออยากให้มันหมดไป ความรู้สึกสวยงามที่เราใช้เวลาบ่มเพาะหล่อเลี้ยงมานานแบบนี้ ไม่สามารถจางหายได้ในเร็ววัน แม้เราจะรับรู้ความจริงอันโหดร้ายของคนที่เรารักอย่างหมดเปลือก
สิ่งที่เราต้องให้เวลาตัวเองทำคือ การแช่อยู่ในความรู้สึกสูญเสียมหาศาลนี้ และเมื่อส่วนหัวใจที่เจ็บช้ำได้รับการมองเห็นแล้ว ก็ค่อยๆ ใช้เวลานี้ชื่นชมตัวเองกับความรักอันยิ่งใหญ่ที่เคยให้ไป นึกถึงอดีตที่เคยสนุกและสวยงาม พร้อมดึงตัวเองกลับมาให้เกียรติและเคารพคุณค่าที่เรายึดถือ
ความรักยังอยู่ไปนานเท่าไหร่ก็ได้ จะนานตลอดไปก็ได้ แต่เราสามารถรักใครอย่างห่างๆ แบบไม่เข้าร่วมกิจกรรม รับรู้ข่าวสารหรือสนับสนุนเขา แล้วค่อยๆ ถอยออกมาให้ตัวเองได้ทำใจ
โอบอุ้มหัวใจของเราให้ดี ในวันที่ความผิดหวังทำมันพังไม่เป็นท่า
เมื่อขึ้นชื่อว่าความรัก ย่อมไม่มีทางสูญเปล่า
ไม่ว่าความรักจะเกิดขึ้นในรูปแบบคนรักโรแมนติก หรือความรักที่มีแต่ให้อย่างกว้างใหญ่ไพศาล
เมื่อความรักที่มีค่าเหล่านั้นได้ถูกส่งออกไปแล้ว มันไม่เคยสูญเปล่าเลย เพราะมันคือบทพิสูจน์อยู่เสมอว่า หัวใจของเราใหญ่ถึงขั้นเคยส่งพลังงานดีๆ นี้ออกไปได้ยาวนานขนาดนั้น
แต่ความลึกซึ้งที่ผู้เขียนเชื่อว่ากลุ่มแฟนคลับผู้อกหักจากศิลปินที่ตนชื่นชอบได้แบ่งปันร่วมกันคือ แรงสนับสนุนและความเป็นปึกแผ่น เป็นคอมมูนิตี้ที่น่ารัก ที่ผูกพันกันผ่านสิ่งที่ชอบหรือคนที่รักคนเดียวกัน สายสัมพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นมานี้ไม่มีวันสูญเปล่าในจิตใจ และ Collective Grief หรือการร่วมกันแช่อยู่ในความตรอมใจ จะทำให้ต่างคนต่างเดินทางก้าวผ่านความเจ็บนี้ได้ง่ายขึ้นอย่างแน่นอน