วันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา ควรจะเป็นวันธรรมดาวันหนึ่ง แต่โลกก็หม่นลงไปอีกเฉด ด้วยข่าวการเสียชีวิตของดาราดัง ‘แมทธิว เพอร์รี’ (Matthew Perry) วัย 54 ปี ที่ถูกพบว่าสิ้นลมในอ่างอาบน้ำที่บ้านของเขาในเมืองลอสแอนเจลิส
แมทธิวโด่งดังจากบทแชนด์เลอร์ บิง (Chandler Bing) ในซีรีส์เรื่อง Friends กับบทบาทชายหนุ่มที่มักสร้างเสียงหัวเราะให้คนดูรู้สึกอบอุ่นใจเสมอ
‘ตั้งแต่แมทธิวตาย ฉันดิ่งเลยว่ะ ไม่รู้จะทำยังไงดี ดู Friends ต่อไปไม่ไหวแล้ว ร้องไห้ทุกครั้งเลย เขาคือตัวละครที่ฉันชอบมาก ปกติดูทุกคืนเลย มันเคยทำให้ฉันมีความสุขมาก ไม่รู้จะจัดการชีวิตยังไงต่อ ฉันไม่รู้จะคุยกับใครจริงๆ’
นี่คือถ้อยคำที่เราได้รับในช่วงที่ข่าวเศร้านี้ออกมา แม้ว่าตัวเราเองจะไม่ได้สนิทกับรุ่นพี่คนนี้มากนัก แต่การที่เธอพิมพ์มาหารุ่นน้องที่ทำงานด้านสภาพจิตใจอย่างเรา คงเป็นส่วนหนึ่งที่บอกได้ว่า สิ่งนี้เป็นความเจ็บปวดที่ละเอียดอ่อนและมีความเฉพาะ เสียจนไม่กล้าระบายออกมาให้คนทั่วไปรับรู้ เพราะคงยากจะเชื่อว่ามีคนเข้าใจหรือรับรู้ว่าการสูญเสียครั้งนี้เป็นแผลช้ำใหญ่ในใจของใครบางคนจริงๆ
ความสัมพันธ์ของเขาและเรา มันเป็นมากกว่าตัวละครและผู้ชม
‘สายสัมพันธ์ของเรากับคนดังคนหนึ่ง มันมาจากความสำคัญในการมีอยู่ของเขา ต่อช่วงเวลายิ่งใหญ่ในชีวิตของเรา’
คำอธิบายจากบทสัมภาษณ์ของนักจิตบำบัด ‘อาเนียซา แฮนสัน’ (Aniesa Hanson) ในเว็บไซต์สุขภาพจิต Psychology Today พอจะทำให้เราเข้าใจความรู้สึกของรุ่นพี่คนนั้น
เพราะรุ่นพี่ของเรามีซีรีส์เรื่อง Friends ไว้เป็นเพื่อนคอยกล่อมนอนทุกคืน กิจกรรมประจำนี้คือหมุดหมายของความผ่อนคลาย ไม่ว่าวันนั้นเธอจะเจอเรื่องราวหนักขนาดไหน ช่วงเวลานี้คือความปลอดภัยของเธอ
จนเมื่อวันหนึ่งมาเจอความจริงว่า หนึ่งในตัวละครนั้นเสียชีวิตลงจริงๆ พื้นที่ปลอดภัยที่ดูมั่นคงตรงนี้ ไม่มีทางเลยจะไม่สั่นสะเทือนตาม
เช่นเดียวกับบางคนที่มีความทรงจำกับเพลงบางเพลงของนักร้องบางคน เนื่องจากเพลงนี้อยู่กับเขาในช่วงเวลาอกหักครั้งแรกหรือเปิดตัวกับครอบครัวครั้งแรกว่าเป็นเกย์ รายการและพิธีกรคนนี้ทำให้เขาก้าวผ่านช่วงเวลาที่โดนบุลลี่ในโรงเรียนมาได้ หรือกระทั่งนักแสดงคนนี้เป็นแรงบันดาลใจทำให้เขาเลิกยาเสพติดได้ ฯลฯ
พวกเราต่างพัฒนาสายสัมพันธ์แบบพิเศษ กับคนที่เราไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวแต่มีผลงานที่ยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม คนดังคนนี้ได้อยู่เคียงข้างเราในช่วงเวลาสำคัญหรือสำหรับบางคนก็เป็นช่วงเวลาที่เปลี่ยนชีวิตไปเลยก็ว่าได้
การรับรู้ว่าคนคนนั้นจากเราไปอย่างไม่มีวันกลับ อาจทำงานกับศรัทธาของเราที่มีต่อประเด็นบางอย่างในชีวิตไปเหมือนกัน เพราะเขามีพลังต่อเรามากขนาดนั้น
เมื่อผูกพันกับอะไรในโลกเสมือนจริง เรามักเผลอเชื่อว่าสิ่งนี้จะไม่เปลี่ยนแปลง
ผู้เขียนมีหนังเรื่องหนึ่งที่น่าจะดูไปเป็นร้อยรอบได้แล้ว ดูซ้ำๆ ในวันที่อยากรู้สึกสนุกอย่างอบอุ่นใจ ไม่ต้องคอยลุ้น คอยคาดเดา ผู้เขียนจำบทของทุกตัวละครได้ รวมไปถึงทุกการร้องคำรามของไดโนเสาร์ด้วย ใช่แล้ว เรื่องนั้นคือ จูราสสิค พาร์ค
ความสวยงามในอารมณ์ระหว่างการดูหนังเรื่องนี้คือ การหนีออกจากชีวิตที่วุ่นวายในปัจจุบันชั่วคราว แล้วย้อนกลับไปนึกถึงช่วงเวลาตอนเด็กระหว่างนั่งดูหนังเรื่องนี้ ที่ใช้ชีวิตอย่างสบายๆ ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรใหญ่ๆ มีความสุขกับอะไรง่ายๆ
ความคิดที่ว่า ‘มันจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากความสมบูรณ์แบบที่เราได้ดื่มด่ำมาตลอด’ คือความรู้สึกที่สุดปลอดภัยมั่นคง เพราะไม่ว่าจะเจอเรื่องแย่ๆ ไม่คาดฝันขนาดไหน อย่างน้อยเราก็มีที่พึ่งคอยปลอบประโลมเสมอ ผู้เขียนโชคดีที่มีหลักการันตีว่าชีวิตตัวละครหลักในหนังโปรดของตัวเองจะไม่มีทางเกิดการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากเป็นคุณไดโนเสาร์ทั้งหลาย และหนังก็เป็นแนวแฟนตาซีอยู่แล้ว
แต่กลับกัน เมื่อย้อนไปหลายปีก่อนที่นักแสดงหลายคนจากหนังแฮร์รี่ พอตเตอร์ทยอยเสียชีวิตกัน ความเศร้าปนความเหงาทำงานกับจิตใจหนักอยู่ เพราะหนังเรื่องนี้ช่วยเยียวยาความสดใสในตัวของผู้ชมหลายคนมาแสนนาน จนเกิดความรู้สึกว่า เราโตไปพร้อมๆ กับนักแสดงเหล่านี้ในแต่ละภาคที่ออกฉาย เหมือนๆ กับความรู้สึกเดียวดายในใจเมื่อแมทธิวจากเรื่อง Friends เสียชีวิตไปนี่แหละ
ความผูกพันของเรากับนักแสดงที่มีระยะห่างทางกายภาพ ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว แต่กลับมีความแนบแน่นในจิตใจ มันมีพลังสุดพิเศษที่ทำให้เราเชื่อว่าเขาจะอยู่กับเราตลอดไป เมื่อข่าวร้ายจากโลกแห่งความจริงสั่นสะเทือนมายังโลกแห่งความฝัน เราจึงทำใจไม่ได้ เพราะไม่รู้จะวางความโหวงของใจไว้ตรงไหน
ข่าวการจากไปที่เกลื่อนโลกออนไลน์ ทำให้หนีจากความเจ็บปวดยากขึ้น
ทุกวันนี้เราใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในโลกออนไลน์ มันจึงกลายเป็นสถานที่ที่ให้เราทั้งมาหาความสนุกและปลีกวิเวกจากความโศกเศร้าในชีวิตประจำวัน
แต่พอเกิดเหตุแบบนี้ขึ้น กลายเป็นว่าโซเชียลมีเดียกลับทำให้เราติดอยู่ในเขาวงกตแห่งความเจ็บปวด เพราะข่าวการสูญเสียของคนดังจะขึ้นมาให้เห็นเสมอ ไม่ว่าจะย้ายไปแพลตฟอร์มไหนก็ตาม ตอกย้ำความรู้สึกอันหนักหน่วงอยู่เรื่อยไป แต่จะพักจากโลกออนไลน์ก็ยาก เพราะการพักของเราก็คือการดูซีรีส์ที่เขาเล่นนั่นแหละ
การ Grief หรือการปล่อยให้ตัวเองได้แช่อยู่ในห้วงอารมณ์ที่หม่นหมองนั้น สามารถใช้วิธีและมีกระบวนการเดียวกันได้ ไม่ว่าเราจะเศร้าด้วยการจากไปของคนที่รักเรา หรือคนที่เรารักเขาด้านเดียวอย่างศิลปินคนโปรด เพื่อให้เวลาค่อยๆ ช่วยเยียวยา
และขณะเดียวกันก็ไม่ต้องปฏิเสธทุกความเศร้าที่รู้สึกขึ้นมา ถึงแม้เราจะคิดว่ามันเล็กน้อยก็ตาม ค่อยๆ ใจเย็นกับการทำความเข้าใจความรู้สึกของเราว่ามันทั้งเศร้าทั้งสุขในเวลาเดียวกันได้ เหมือนกับที่วันหนึ่งเราจะสามารถชมผลงานของเขาได้อย่างอบอุ่นใจ แม้จะมีบางความจริงที่เจ็บปวด เขาถึงเรียกมันว่า Bittersweet ยังไงล่ะ
สิ่งสำคัญคืออย่ารู้สึกผิดที่จะมีความสุข หมั่นตามหาอะไรใหม่ๆ ที่ทำให้เรายิ้มได้ และหากวันหนึ่งเราเจอความสุขรูปแบบใหม่ นั่นไม่ได้แปลว่าช่วงเวลาที่เราเคยมีความสุขจากเขานั้นมันไม่จริง เพราะเขายังคงอยู่ในใจของเราเสมอ
Sources :
Daily Mail | tinyurl.com/yrrdcuz2
Independent | tinyurl.com/yn9z4dbj
Psychology Today | tinyurl.com/yq5tvh7e