Sustainability Expo 2023 สมดุลที่ดีเพื่อโลกที่ดี - Urban Creature

ยุคนี้ถ้าไม่รู้เรื่องของ ‘ความยั่งยืน’ หรือ ‘Sustainability’ ก็คงไปคุยกับใครไม่รู้เรื่อง เพราะปัญหาสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนคือสิ่งที่ทุกคนต้องร่วมด้วยช่วยกันแก้ไข เพื่อโลกที่ดีในอนาคต

เนื่องในโอกาสที่งาน ‘Sustainability Expo 2023’ กลับมาจัดอีกครั้งอย่างยิ่งใหญ่มาตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน และจะลากยาวไปจนถึง 8 ตุลาคม Urban Creature เลยจะขอพาทุกคนเดินทัวร์ดูโซนภายในงานไปพร้อมๆ กัน

เพราะงานนี้ได้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นความรู้ โครงการต่างๆ แนวคิดที่น่าสนใจ เทคโนโลยีและนวัตกรรมสร้างสรรค์ ตลอดจนกิจกรรมเวิร์กช็อปที่ส่งเสริมการเรียนรู้การพัฒนาเพื่อความยั่งยืน

โดยเน้นไปที่โซน ‘BETTER COMMUNITY’ บริเวณที่เราจะได้เห็นภาพจำลองสังคมเมืองในฝัน นวัตวิถีเพื่อชีวิตเท่าเทียม น่าอยู่ ปลอดภัย และยั่งยืน เท่านั้นยังไม่พอ ทุกคนยังจะได้พบกับแบบบ้านพอเพียงเพื่อผู้ขาดแคลน แบบโครงสร้างเมืองใหม่ที่เชื่อมถึงกันเต็มระบบ และชุมชนสร้างสรรค์เพื่อโอกาสที่เท่าเทียมของทุกคนในสังคมอีกด้วย

แต่ก่อนจะเดินทางไปถึงโซนที่น่าสนใจ เราขอเล่าถึงตัวงานโดยรวมกันก่อน เพราะงาน Sustainability Expo 2023 เป็นงานอีเวนต์เกี่ยวกับความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 จากการผสานความร่วมมือของ 5 องค์กรธุรกิจชั้นนำด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนระดับสากล ไม่ว่าจะเป็นบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้, พีทีที โกลบอล เคมิคอล, เอสซีจี, ไทยเบฟเวอเรจ และไทยยูเนี่ยน

หัวใจสำคัญของการจัดงานคือ ‘พอเพียง ยั่งยืน เพื่อโลก’ (Sufficiency for Sustainability) ภายใต้แนวคิด ‘Good Balance, Better World สมดุลที่ดี เพื่อโลกที่ดีกว่า’ ผนึกกำลังกันพัฒนาแพลตฟอร์มสู่มหกรรมด้านความยั่งยืนระดับภูมิภาค ในชื่อ ‘SX 2023’ แพลตฟอร์มที่นำเสนอโมเดลธุรกิจ B2C2B (Business-to-Consumer-to-Business) ซึ่งยึดผู้บริโภคเป็นแกนกลางในการดำเนินการเพื่อความยั่งยืน โดยเชื่อมโยงระหว่างองค์กรธุรกิจกับผู้บริโภค และผู้บริโภคจะเชื่อมโยงกลับสู่ภาคธุรกิจ

มหกรรมเพื่อความยั่งยืนครั้งนี้ได้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายด้าน ความรู้ โครงการต่างๆ แนวคิดที่น่าสนใจ รวมถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อช่วยให้องค์กรและประชาชนทั่วไปได้ร่วมกันสร้างความยั่งยืนและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

ตลอดจนกิจกรรมเวิร์กช็อปที่ส่งเสริมการเรียนรู้เกี่ยวกับการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน การบรรยายให้ความรู้โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญกว่า 300 รายทั่วโลก รวมถึงเครือข่ายธุรกิจยั่งยืนจากบริษัทและองค์กรชั้นนำของไทยและต่างประเทศกว่า 500 แห่ง

ผู้จัดได้รวบรวมกิจกรรมให้แบบจัดเต็ม แบ่งเป็น 5 โซนกิจกรรมหลัก ที่กินพื้นที่ชั้น G ของศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC)

เริ่มต้นกันที่โซนแรกอย่าง ‘SEP Inspiration’ ซึ่งจัดอยู่ใจกลางงาน ที่น้อมนำหลักการของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (SEP) มาเป็นแนวทางหลักของการจัดพื้นที่

ความน่าสนใจก็คือ บริเวณนี้เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานได้สัมผัสประสบการณ์โลกเสมือนผ่านมัลติมีเดียสุดล้ำ (Immersive Multimedia) ที่ผสานความร่วมมือจากหลายภาคส่วนในชื่อ ‘PROLOGUE : WHAT IF THE WORLD’

เป็นการนำเสนอผลงาน Collaboration จากศิลปินผู้ใกล้ชิดและเข้าใจธรรมชาติ ผนวกกับกลุ่มสร้างแสงและเสียงร่วมสมัย ร่วมกับภาพมหัศจรรย์บนพื้นโลกจากตากล้องระดับโลก พร้อมเรียนรู้จากผู้บุกเบิกและผู้ปฏิบัติงานตัวจริงในวาระระดับประเทศและนานาชาติ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในประเทศไทยต่อไป

คอนเซปต์ของโซน SEP Inspiration คือ Ring of Balance ที่บอกเล่าเรื่องราวของโลกในมิติต่างๆ ระหว่าง ‘โลกไร้สมดุล’ กับ ‘โลกแห่งสมดุลที่ดี’ และความรู้ใหม่จากองค์กรที่เป็นนักปฏิบัติด้านความยั่งยืน 

สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญและความเกี่ยวเนื่องระหว่างองค์ประกอบและนโยบายต่างๆ ด้านความยั่งยืน ทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ เพื่อให้ผู้เข้าชมงานสามารถนำไปปรับใช้และสร้างความยั่งยืนในประเทศไทย พร้อมกับสร้างแรงบันดาลใจให้บุคคลและองค์กรต่างๆ ได้ร่วมกันหาทางออกที่จะสร้างการพัฒนาอย่างยั่งยืนโดยองค์รวมทั่วโลก

ถัดมาคือพื้นที่รวมงานศิลป์สะท้อนมุมมองความยั่งยืนในหลากหลายรูปแบบ ชื่อโซนว่า ‘BETTER WORLD’ ที่มีทั้งงานจิตรกรรม ประติมากรรม งานภาพถ่าย งานศิลปะและการออกแบบจากวัสดุเหลือใช้ทั้ง 2 และ 3 มิติ งานออกแบบการแปรรูปและพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าขาวม้าทอมือจากหน่วยงานต่างๆ

ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่ายจากนิตยสาร NATIONAL GEOGRAPHIC ฉบับภาษาไทย ผลงานนานาชาติ 10 ประเทศในอาเซียนที่ยังไม่เคยจัดแสดงที่ไหนมาก่อนจากโครงการ ASEAN SX Photo Contest ในนามสมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทย

ไปจนถึงโครงการ Trash to Treasure ที่มุ่งสร้างแรงบันดาลใจในการนำสิ่งเหลือใช้กลับมามีชีวิตใหม่ด้วยการสร้างสรรค์ให้มีคุณค่า สร้างประโยชน์ให้แก่สังคม และโครงการผ้าขาวม้าท้องถิ่นหัตถศิลป์ไทย ที่สร้างสรรค์ผลงานการออกแบบการแปรรูปและพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าทอให้กับชุมชนผ้าขาวม้าทอมือให้เป็นที่รู้จักในสากลต่อไป

โซน ‘BETTER ME’ มาพร้อมความเชื่อที่ว่า เราทุกคนสามารถกอบกู้โลกได้ เพียงเริ่มต้นที่ตัวเรา ทั้งสุขภาพกาย สุขภาพใจ และการปรับมุมมองการใช้ชีวิตของคนต่างวัยให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

โดยกิจกรรมภายในโซนจะเป็นเหมือนแนวทางที่นำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้จริงใน 3 มิติ มิติแรกคือ ‘Healthy Life Healthy Earth’ นวัตกรรมการผลิตอาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพที่ยั่งยืนและรักษ์โลก และกิจกรรมเช็กความแข็งแรงของกายใจของตนเอง โดยเฉพาะโรคที่ฮิตติดเทรนด์คนทำงานอย่างโรคซึมเศร้าและออฟฟิศซินโดรม รวมถึงเทคโนโลยีการคัดกรองมะเร็งด้วยหุ่นยนต์ดินสอ

มิติที่สองคือ ‘Aging Society’ การวางแผนก่อนเกษียณ ที่มาพร้อมกิจกรรมจำลองสถานการณ์การเป็นผู้สูงอายุเพื่อเข้าใจและรู้จักการดูแลผู้สูงวัยอย่างถูกวิธี เพื่อให้เราใช้ชีวิตอย่างมีสุขร่วมกันในสังคมต่างวัย

และสุดท้ายมิติ ‘Life Long Learning’ การนำเสนอโครงการและแนวคิดที่น่าสนใจที่ส่งเสริมการพัฒนาเยาวชน คนรุ่นใหม่ ตลอดจนการส่งเสริมแนวคิดด้านธุรกิจเพื่อสังคมสำหรับผู้ประกอบการยุคใหม่ ที่มีต้นแบบเพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้นำไปปรับใช้ในแผนของตนเอง

พร้อมทั้งอัปเดตเทรนด์สุขภาพและสุดยอดนวัตกรรมทางการแพทย์ในรูปแบบของ แอปพลิเคชันและ AI ที่ดีต่อเรา ดีต่อโลกในหลากหลายมิติที่สายรักสุขภาพไม่ควรพลาด พร้อมสนุกกับกิจกรรมต่างๆ ที่ให้ทุกคนได้มีส่วนร่วม เพื่อให้เห็นถึงความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในอนาคต

ถัดมาเป็นโซน ‘BETTER LIVING’ ที่มาพร้อมการนำเสนอกิจกรรมและโครงการที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือขององค์กรชั้นนำขนาดใหญ่ที่ดำเนินการเพื่อส่งเสริมด้านสิ่งแวดล้อม และสร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) การยกระดับคุณภาพชีวิตที่เกิดจากการพัฒนาอย่างยั่งยืน และการนำแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนไปใช้ตลอดกระบวนการผลิตและการคิดห่วงโซ่มูลค่า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์หรือ Net Zero

ผ่านการนำเสนอแง่มุมที่น่าสนใจและใกล้ตัวในรูปแบบ Sustainable Living 24/7 Lifestyle ที่ผสานความร่วมมือของหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ด้วยจุดมุ่งหมายขับเคลื่อนเรื่องความยั่งยืนด้วยตัวอย่างธุรกิจความยั่งยืนที่ประสบความสำเร็จทั่วโลก เป็นพื้นที่แสดงกระบวนการผลิตที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ต้นน้ำสู่ปลายน้ำที่น้อยคนนักจะได้เห็นเบื้องหลังการทำงานในลักษณะนี้

พร้อมความพยายามกอบกู้ฟื้นฟูสภาพภูมิอากาศภายใต้ 4 แกนหลัก ได้แก่ Water Stewardship (การดูแลน้ำ), Decarbonization (การลดคาร์บอน), Biodiversity (ความหลากหลายทางชีวภาพ) และ Waste Management (การจัดการของเสีย) จากการผสานความร่วมมือจากองค์กรธุรกิจชั้นนำภายในงาน

สุดท้ายคือโซนไฮไลต์ที่น่าสนใจของเรา นั่นคือ โซน ‘BETTER COMMUNITY’ บริเวณชั้น G ที่มาพร้อมกับนิทรรศการสร้างเมืองน่าอยู่ร่วมกันเพื่อคุณภาพชีวิตของทุกคน (LIVABLE CITY FOR EVERYONE)

เล่าเรื่องราวของสังคมที่รวมทุกคนไว้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือกันและกัน เพื่อสร้างความเท่าเทียม การเชื่อมโยงคนเข้ากับเครือข่ายที่ทำหน้าที่สร้าง ‘ความปกติสุข’ ในสังคมที่มีความหลากหลายด้วย 6 ส่วนสำคัญ ได้แก่

1. พื้นที่ที่ทุกคนมีส่วนร่วม (Community with Ownership and Pride) เมืองที่มีการเดินทางและขนส่งอัจฉริยะ มุ่งเน้นเพิ่มความสะดวกสบาย เพิ่มประสิทธิภาพ ความปลอดภัยในการเดินทางและขนส่ง และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 

2. โอกาสงานที่หลากหลาย (Workforce Inclusion & Flexibility) การจับคู่คนและงานที่เปิดโอกาสให้ผู้พ้นโทษที่กลับตัวได้มีพื้นที่ในสังคม โมเดลตลาดนัดไอเดีย พื้นที่แลกเปลี่ยนและนำเสนอวิถีชีวิตของคนในหลากหลายรูปแบบ ไปจนถึงโครงการจากหนังสู่การจ้างงานที่ต้องการให้คอนเทนต์ไทยมีโอกาสเติบโตในต่างประเทศ

3. บ้านสำหรับทุกคน (Affordable and Secure) การรวมแบบบ้านของครอบครัว กับการออกแบบบ้านให้เหมาะกับการอยู่อาศัยของคนในปัจจุบัน จัดแสดงภาพถ่ายของใช้แทนใจจากแคมป์คนงานเพื่อบอกเล่าถึงบ้านในความหมายที่แตกต่างออกไป และการเปลี่ยนตึกร้างให้กลายเป็นห้องเช่าสำหรับคนไร้บ้านจากหน่วยงานรัฐที่ขับเคลื่อนเรื่องนี้โดยตรง

4. พื้นที่ของทุกชีวิต (Shared Space for All) พูดถึงระบบป้ายนำทาง GPS พิพิธภัณฑ์ที่เป็นพื้นที่เรียนรู้ของสังคม และบ้านของสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่แค่มนุษย์ แต่รวมถึงสัตว์หลากหลายสายพันธุ์ในเมืองที่อยู่อาศัยในพื้นที่เมือง ให้เมืองกลายเป็นคำว่า ‘บ้าน’ ได้อย่างมีความสุขและปลอดภัย บนพื้นฐานความเข้าใจและเคารพในความต้องการของกันและกัน

5. เมืองเชื่อมทุกชีวิตเข้าด้วยกัน (Well-designed Supporting System) เชื่อมต่อการเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมผ่านนโยบายของ กทม. อย่างสวนสุขภาวะ 15 นาที ที่ทำให้ทุกคนเข้าถึงสวนสาธารณะได้ภายใน 15 นาทีหรือห่างจากชุมชนประมาณ 800 เมตร การสร้างทางเชื่อมและทางลาดจำลองสำหรับผู้พิการ รวมไปถึงนิทรรศการวาดภาพปรับเมืองและโปรเจกต์ ‘จุดเปลี่ยน Disable = thisable’ ที่จำลองการพัฒนาเมืองที่เกิดจากการฟังเสียงผู้อยู่อาศัย และให้ความสำคัญกับการมีส่วนได้ส่วนเสียในเมือง

6. สนามเสวนา (Gathering Space) เวทีพูดคุยเกี่ยวกับเมืองและบ้านที่ดีเพื่อทุกคนอย่างเท่าเทียม โดยมีหัวข้อน่าสนใจไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนย่านสร้างสรรค์ สร้างเมือง นวัตกรรม เคลื่อนชุมชน, ‘Green Public Space’ พื้นที่สีเขียวที่ทุกคนเข้าถึงได้, เมืองในฝันของเด็ก by KIDative และอื่นๆ อีกมากมาย

อีกทั้งยังมีบูทจากทางภาครัฐและเอกชน ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม (สวส.) กับการส่งเสริม สนับสนุน ให้ความช่วยเหลือ และพัฒนาวิสาหกิจเพื่อสังคมและกลุ่มกิจการเพื่อสังคม ให้มีความเข้มแข็งและพึ่งพาตนเองได้ Frasers Property Thailand ที่ยกเอานวัตกรรมเพื่อชุมชนที่ดีขึ้นอย่าง One Bangkok และ The PARQ มาไว้ใจกลางงาน และอื่นๆ อีกมากมาย

นอกจากนี้ยังมีโซนมรดกทางวัฒนธรรมเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ (Cultural Heritage for Climate Change) ที่นำเสนอมุมมองมรดกทางวัฒนธรรมสะท้อนผ่านผลิตภัณฑ์ชุมชนและจากธรรมชาติ เรื่องราวของชนเผ่าเมารี งานแสดงภาพและบทความจากศิลปินต่างๆ และการจัดแสดงผลิตภัณฑ์มีดีไซน์ที่ส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน และโซน INNOVATION LAB ที่จะพบกับความหลากหลายของนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนและชีวิตที่ดี การนำเทคโนโลยีด้านข้อมูลที่หลากหลายมาเพื่อบริหารจัดการทรัพยากรอย่างเหมาะสม เพื่อมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) รวมอยู่ด้วย

แถมในงานนี้ยังมีอีกหนึ่งโซนที่งานสายรีไซเคิลต้องสนใจเป็นพิเศษ เพราะเมื่อเดินออกมาบริเวณหน้าศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เราจะพบกับ ‘MuvMi’ รถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้าที่ให้บริการรับส่งคนไปยังโซน REPARTMENT STORE บริเวณโกดัง 5 จุดที่ผู้เข้าร่วมงานสามารถนำของที่ไม่ใช้แล้วและขยะพลาสติกมาบริจาคที่จุดนี้ได้

ไม่ว่าจะเป็นขวดแก้ว กระดาษลูกฟูก ขวดพลาสติก กระป๋องอะลูมิเนียม กล่องเครื่องดื่ม พลาสติกยืด ขยะกำพร้า ชุดชั้นใน หรือขยะ E-waste ไปจนถึงหนังสือ อุปกรณ์การเรียน อุปกรณ์กีฬา เสื้อผ้า และสิ่งของอื่นๆ ที่จะถูกคัดแยกและส่งต่อไปยังหน่วยงานรับของปลายทางซึ่งจะนำของเหล่านี้ไปรีไซเคิลอย่างถูกวิธี 

รวมไปถึงโครงการปันกัน ที่จะนำสิ่งของสภาพดีที่สามารถจำหน่ายได้มาจำหน่ายต่อในร้านปันกันภายในงานบริเวณชั้น LG เพื่อนำรายได้จากการขายสินค้าไปมอบเป็นทุนการศึกษาแก่เด็กที่ขาดโอกาสทั่วประเทศต่อไป

งานนี้นอกจากจะช่วยรีไซเคิลขยะบางส่วนและส่งต่อสิ่งของจำเป็นให้กับผู้ที่ต้องการต่อแล้ว ในทุกๆ การทิ้งของเรายังสามารถเปลี่ยนเป็นคะแนนสะสมเพื่อแลกของที่ระลึกมากมายในงาน (ตามเงื่อนไข/จำนวนจำกัด) เพียงดาวน์โหลดแอปฯ SX Application ทาง iOS App Store (bit.ly/iOS_SX_KOL) และ Play Store (bit.ly/Android_SX_KOL) ได้อีกด้วย ใครที่ไปร่วมงานและได้แลกของรางวัลติดไม้ติดมือกลับบ้านมาด้วย ก็อย่าลืมเอามาอวดกันนะ

Writer

SEND YOUR STORY

REQUEST INTERVIEW

ติดตามอ่าน “Urban Creature”
นิตยสารออนไลน์ที่จะทำให้คุณรักเมืองที่คุณอยู่ รักตัวเองมากขึ้นด้วยการเปิดมุมมองและนำเสนอแนวทางการใช้ชีวิตอย่างสร้างสรรค์ และสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ในการใช้ชีวิต
Better Life. Better Living.

Max. file size: 256 MB.