ผนังของเมืองเป็นของใคร กราฟฟิตี้เป็นงานศิลปะทำลายความสวยงามของเมือง หรือช่วยเพิ่มอัตลักษณ์ของพื้นที่ คำถามเหล่านี้วนเวียนบนโลกอินเทอร์เน็ตจากเหตุการณ์ที่มีคนพ่นสีทับงานศิลปะบนกำแพงในซอยเจริญกรุง 30 ซึ่งเป็นภาพกราฟฟิตี้ของศิลปินชาวสเปน ภายใต้โครงการ Krung Thep Creative Streets
กราฟฟิตี้คืออะไร ทำไมต้องพ่นบนกำแพง
ก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า การทำงานศิลปะบนผนังของเมืองนั้นมีหลากหลายรูปแบบ และมีวิวัฒนาการมาตั้งแต่อดีต โดยมีสองคำง่ายๆ ที่ใช้จำกัดความงานศิลปะบนผนังอย่าง Mural และ Graffiti

Mural หรือ จิตรกรรมฝาผนัง คือภาพวาดหรือศิลปะที่ถูกสร้างขึ้นบนพื้นผิวขนาดใหญ่ เช่น ผนัง เพดาน หรือกำแพง โดยส่วนใหญ่มักจะทำอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และได้รับการอนุญาตจากเจ้าของพื้นที่ ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายๆ ก็พวกภาพวาดส่งเสริมการท่องเที่ยว หรือจิตรกรรมฝาผนังในวัด
ส่วน Graffiti เดิมทีเป็นวัฒนธรรมย่อย (Subculture) ที่เน้นการแสดงออกถึงตัวตน การประกาศอาณาเขต หรือการวิพากษ์วิจารณ์สังคม ส่วนใหญ่มักทำในพื้นที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต
จริงๆ แล้วในปัจจุบันเส้นแบ่งระหว่าง Mural และ Graffiti เริ่มมีความเลือนรางมากขึ้น เนื่องจากศิลปินกราฟฟิตี้หลายคนพัฒนาฝีมือและได้รับการยอมรับ จนสามารถสร้างสรรค์ผลงาน Mural ขนาดใหญ่ที่ถูกกฎหมายได้ ซึ่งงานเหล่านี้มักจะผสมผสานสไตล์และเทคนิคของกราฟฟิตี้เข้าไปด้วย เราจึงเรียกศิลปะบนกำแพงในยุคใหม่ๆ นี้โดยรวมว่า สตรีทอาร์ต (Street Art) ซึ่งเป็นคำที่กว้างกว่า และครอบคลุมศิลปะสาธารณะทั้งสองรูปแบบนี้ไว้ด้วยกัน
คอมมูน่า 13 จากย่านอันตรายสู่พื้นที่ศิลปะ
ในยุคที่เมืองต่างๆ ทั่วโลกกำลังมองหาหนทางใหม่ๆ ในการพัฒนาพื้นที่และสร้างอัตลักษณ์ ศิลปะข้างถนนหรือ ‘กราฟฟิตี้’ ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความเสื่อมโทรม กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยพลิกฟื้นย่านที่อันตรายและถูกลืมให้กลับมามีความหมายอีกครั้ง
หนึ่งในนั้นคือ ย่าน ‘คอมมูน่า 13’ (Comuna 13) ในเมืองเมเดยิน ประเทศโคลอมเบีย ที่เคยเป็นหนึ่งในย่านที่อันตรายที่สุดในโลก เต็มไปด้วยความรุนแรงและแก๊งค้ายาเสพติด แต่ปัจจุบันได้กลายสภาพเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงและเป็นพื้นที่แสดงความคิดสร้างสรรค์

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อภาครัฐและคนในชุมชนร่วมมือกันเปลี่ยนแปลงพื้นที่ จากการเปิดรับศิลปะกราฟฟิตี้ให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ผ่านการเปลี่ยนกำแพงที่ดูหมองหม่นให้มีสีสันสดใส ด้วยภาพวาดบอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ ความหวัง และการต่อสู้ของชาวเมือง ศิลปะเหล่านี้ไม่เพียงแต่สร้างความสวยงาม แต่ยังเป็นกระบอกเสียงที่สะท้อนตัวตนและสร้างความภาคภูมิใจให้คนในพื้นที่ ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้เข้ามา
อีกทั้งยังมีการจัดทัวร์ชมกราฟฟิตี้ (Graffiti Tours) ซึ่งส่วนใหญ่นำโดยคนในพื้นที่เอง สิ่งนี้ช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ และเปลี่ยนเศรษฐกิจของชุมชนจากที่เคยพึ่งพาสิ่งผิดกฎหมายมาสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์และการบริการ และเปลี่ยนภาพลักษณ์ของย่านไปโดยสิ้นเชิง

โบโกตา เมืองหลวงแห่งสตรีทอาร์ต
เช่นเดียวกับ กรุงโบโกตา (Bogotá) เมืองหลวงของโคลอมเบีย ที่กลายเป็นหนึ่งในเมืองหลวงแห่งสตรีทอาร์ตของอเมริกาใต้ หลังเหตุการณ์ในปี 2011 ที่ศิลปินกราฟฟิตี้วัย 16 ปี ถูกตำรวจยิงเสียชีวิตขณะกำลังพ่นสีกราฟฟิตี้
เหตุการณ์นี้จุดกระแสให้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่ในหมู่ศิลปินและประชาชน จนนำไปสู่การยกเลิกกฎหมายที่กำหนดให้กราฟฟิตี้เป็นอาชญากรรม (Decriminalization) แม้จะยังไม่ถูกกฎหมายเต็มรูปแบบ แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ได้เปิดประตูให้ศิลปินมีอิสระในการสร้างสรรค์ผลงานบนพื้นที่สาธารณะมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ส่งผลให้เมืองทั้งเมืองเปรียบเสมือนผืนผ้าใบขนาดใหญ่ให้ศิลปินได้แสดงฝีมือ

กำแพงและอาคารทั่วเมืองโบโกตาจึงเต็มไปด้วยผลงานศิลปะหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ภาพบุคคลขนาดใหญ่ไปจนถึงภาพที่เสียดสีสังคมและการเมืองอย่างมีชั้นเชิง ศิลปะเหล่านี้ได้เปลี่ยนภูมิทัศน์ของเมืองให้มีชีวิตชีวา ดึงดูดนักเดินทางที่ต้องการสัมผัสวัฒนธรรมร่วมสมัย อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ให้ศิลปินท้องถิ่นได้แสดงความสามารถและสื่อสารกับผู้คนโดยตรง ขณะเดียวกันย่านเก่าแก่ของเมืองอย่าง La Candelaria ก็กลายเป็นแกลเลอรีกลางแจ้งที่นักท่องเที่ยวต้องไปเยือน
ทั้ง ‘คอมมูน่า 13’ และ ‘โบโกตา’ แสดงให้เห็นว่ากราฟฟิตี้เป็นได้มากกว่าแค่การพ่นสีบนกำแพง เพราะมันคือเครื่องมือในการพัฒนาเมืองรูปแบบหนึ่ง สร้างบทสนทนาทางสังคม และขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนได้ รวมถึงเป็นการเปลี่ยนพื้นที่สาธารณะให้กลายเป็นพื้นที่แห่งโอกาส

พื้นที่ศิลปะที่ขาดหายไปในไทย
นอกจากอัตลักษณ์ของย่านที่เติบโตขึ้นด้วยงานกราฟฟิตี้ อีกหนึ่งข้อดีของงานประเภทนี้คือความหลากหลายของศิลปิน ชุดความคิด และการแสดงออก นับเป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้คนหลายกลุ่มได้แสดงฝีมือมากกว่าศิลปินคนเดียวหรือคนเพียงกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด
เนื่องจากความสวยงามในสายตาแต่ละคนนั้นมีมีมาตรวัดไม่เหมือนกัน จากหลากหลายตัวอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะป้ายกรุงเทพฯ ใหม่บริเวณรถไฟฟ้าหน้าห้างสรรพสินค้าย่านปทุมวัน หรือฝาท่อที่ทำเป็นเอกลักษณ์ย่าน ที่มีทั้งคนชอบและไม่ชอบ ความสวยงามของเมืองผ่านงานศิลปะจึงเป็นเรื่องปัจเจก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผลงานเหล่านั้นตั้งอยู่บนพื้นที่สาธารณะ
ยิ่งไปกว่านั้น อีกหนึ่งคำถามที่ควรครุ่นคิดไม่แพ้กันคือ พื้นที่ศิลปะในกรุงเทพฯ นั้นเพียงพอต่อความต้องการและการแสดงออกที่หลากหลายของคนทุกกลุ่มในสังคมหรือไม่ เพราะต้องไม่ลืมไปว่าแก่นหนึ่งของงานกราฟฟิตี้คือ การแสดงออกจากการกดทับหรือการไร้โอกาสในสังคม ฉะนั้นแล้วการเปิดพื้นที่ให้งานศิลปะของศิลปินไร้ชื่อ หรือบุคคลทั่วๆ ไปในเมืองก็มีความจำเป็นไม่น้อย

อย่างไรก็ตาม การไม่มีพื้นที่แสดงออกก็ไม่อาจเป็นเหตุให้ทำทุกอย่างตามใจปรารถนา เพราะการเคารพผลงานศิลปะของคนอื่นก็เป็นสิ่งที่ศิลปินพึงมีมากพอกับความสามารถและไอเดียการสร้างสรรค์ อยากให้เมืองได้เติบโตและเต็มไปด้วยศิลปะ
และถึงแม้มาตรวัดความสวยงามและความชอบจะเป็นสิ่งที่ถกเถียงกันได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยึดถือคือการเคารพเจ้าของทรัพย์สิน ทั้งตึกและบ้านของเอกชน รวมถึงการเคารพกฎหมายอย่างกฎหมายอาญาข้อหาบุกรุกหรือทำให้เสียทรัพย์ หรือหากเป็นการทำผิดในพื้นที่สาธารณะ ก็เป็นความผิดเรื่อง พ.ร.บ.รักษาความสะอาด เพื่อให้ความคิดสร้างสรรค์ดำเนินไปพร้อมกับการเคารพสิทธิและหลักการอยู่ร่วมกันในพื้นที่สาธารณะ
Sources :
Meeting of Styles | bit.ly/3KuGBY8
National Geographic | on.natgeo.com/46NAvJA
New York Magazine | bit.ly/3IQP2MG