
CITY
อัปเดตทุกเทรนด์ชีวิตคนกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ที่น่าสนใจรอบโลกได้ที่ Urban Creature เพื่อเปิดโลกไอเดียเกี่ยวกับชีวิตวิถีใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ เทรนด์การใช้ชีวิต ไปจนถึงเรื่องราวมากมายในยุคที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ และเกิดความเข้าใจต่อภาพรวมของสังคม ที่จะส่งผลให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข สังคมและประเทศของเราจะได้น่าอยู่มากยิ่งขึ้น
ออกแบบ ‘Hawker Center’ แบบไทยๆ แก้ปัญหาหาบเร่แผงลอย คืนพื้นที่ทางเท้าที่หายไป
‘ไทยแลนด์ดินแดนสตรีทฟู้ด’ หนึ่งในอัตลักษณ์ของไทยที่เลื่องลือกันไปทั่วโลก ทว่าเบื้องหลังก็มีปัญหาคลาสสิกมากมายที่ต้องได้รับการปรับปรุงแก้ไข อย่างที่รู้กันว่า กรุงเทพฯ กับหาบเร่แผงลอยเป็นปัญหาคาราคาซังมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทั้งการล้ำเส้นทางเท้า กีดขวางทางสัญจร ความสกปรกจากน้ำทิ้งและเศษซากจากการประกอบอาหารหรือตั้งร้าน รวมถึงสุขอนามัยของผู้บริโภค ปัจจุบันกรุงเทพฯ นำ ‘Hawker Center’ โมเดลศูนย์อาหารจัดระเบียบร้านของสิงคโปร์มาปรับใช้บ้างแล้ว แต่ก็เจอทางตันและข้อจำกัดมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพื้นที่ไม่เอื้อต่อการจัดสรร การควบคุมมาตรฐาน ทุนสนับสนุน ไปจนถึงการคงไว้ซึ่งเสน่ห์ของสตรีทฟู้ดแบบไทยๆ ส่งผลให้ประเด็นหาบเร่แผงลอยเป็น Love-Hate Relationship ที่อยู่คู่คนกรุงเทพฯ มาอย่างยาวนาน ถึงอย่างนั้น การแก้ไขปัญหาก็ไม่ควรเป็นการขับไล่ร้านเหล่านั้นออกไปเพื่อเป็นการตัดจบ แต่ควรเป็นประเด็นขบคิดว่า เราจะทำอย่างไรให้ทางเท้ากลับมาเป็นทางเท้าเหมือนเดิม ในขณะเดียวกันก็ไม่กระทบการทำมาหากินของเหล่าผู้ประกอบการ คอลัมน์ Urban Sketch ขอเป็นส่วนหนึ่งในการออกแบบ ‘Hawker Center แบบไทยๆ’ สีสันจัดจ้านตามแบบฉบับสตรีทฟู้ดไทยที่ขมวดจบทุกปัญหา เสนอทางออกที่หลายฝ่ายจะแฮปปี้ คืนทางเท้าที่ดีให้นักสัญจรทางเท้าทุกท่าน อีกทั้งยังคงความเป็นสตรีทฟู้ดอันเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของไทย ขอให้ทางเท้ามีทางให้เท้าเดิน อย่างแรกร้านค้าต้องรู้ก่อนว่า ตรงไหนบ้างที่ห้ามตั้งร้านหาบเร่แผงลอย ปัจจุบันเทศกิจกำหนดว่า บริเวณที่ห้ามจำหน่ายสินค้าเด็ดขาดคือทางเท้าแคบที่กว้างไม่ถึง 2 เมตร ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ทางเท้าที่ดีควรมีความกว้างมากกว่าหรือเท่ากับ 2 เมตร แต่ประเทศไทยเองยังมีหลายพื้นที่ที่ทางเท้าแคบและไม่ได้มาตรฐาน เมื่อมีหาบเร่แผงลอยมาตั้งร้านอีกจึงเกิดปัญหาซ้ำซ้อนตามมา ถ้าไปดูกรณีของไต้หวันจะพบว่า […]
นกพิราบในเมือง อารยธรรมความเป็นเมืองที่เอื้อต่อพัฒนาการและปัญหานกพิราบล้นกรุง
ขึงตาข่าย งูปลอม หรือโมไบล์กระดิ่งลม ดูจะเป็นสิ่งของที่ชาวเมืองคุ้นเคยกันดีในฐานะเครื่องมือต่อกรกับ ‘นกพิราบ’ ที่มักมาทำรังบริเวณระเบียงตึกสูงและที่อยู่อาศัย ปัญหานกพิราบในกรุงเทพฯ ส่งผลกระทบต่อประชาชนเป็นอย่างมาก ทั้งในสเกลของที่อยู่ส่วนตัวและพื้นที่สาธารณะ จนถึงขนาดมีการออกกฎหมายและข้อระเบียบมาใช้ ภาพจำของนกกับธรรมชาติดูเป็นของคู่กัน แต่พวกมันกลับเจริญเติบโตได้ดีในเมืองที่เต็มไปด้วยพื้นที่คอนกรีต และดูเหมือนว่าอัตราการเพิ่มจำนวนของเจ้าสัตว์ชนิดนี้จะสูงขึ้นเรื่อยๆ สวนทางกับวิกฤตสิ่งแวดล้อมของโลก ปัจจัยใดบ้างที่ทำให้นกพิราบเจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมความเป็นเมือง ตามไปดูกันในบทความนี้ โครงสร้างของตึกสูงคล้ายกับถิ่นกำเนิดของนกพิราบ ในอดีตนกพิราบมักอาศัยอยู่บริเวณปากถ้ำหรือหน้าผาหิน พัฒนาการของนกพิราบบนตึกจึงเหมือนเป็นการอยู่อาศัยบนหน้าผาจำลอง โดยเฉพาะตึกสูงที่มีระเบียงให้พวกมันเกาะหรือมีช่องให้ทำรัง อีกทั้งนกพิราบยังมีความสามารถในการจดจำเส้นทางได้ดีมาก ส่งผลให้การจดจำที่อยู่อาศัย หรือมองหาพื้นที่ทำรังในเมืองที่มีผังเมืองซับซ้อนแบบที่มนุษย์อย่างเราแค่มองยังปวดหัว ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับพวกมัน และเมื่อจดจำเส้นทางได้ดี นกพิราบจึงควบตำแหน่งสัตว์ที่มีชื่อเสียงในการหาทางกลับบ้าน จนเคยถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารในฐานะเครื่องส่งข้อความหรือที่เรารู้จักในนาม ‘นกพิราบสื่อสาร’ ตั้งแต่ประมาณ 3,000 ปีก่อน ไม่แปลกเลยที่ฉายาเจ้าแห่งเส้นทางจะเป็นที่มาให้พวกมันสามารถเอาชีวิตรอดและเติบโตในเมืองใหญ่ได้ แหล่งอาหารนกพิราบ เศษซากของเหลือและความใจบุญสุนทาน โดยปกติแล้วสิ่งมีชีวิตจะมาคู่กับห่วงโซ่อาหาร มีผู้ล่าและผู้ถูกล่า เพื่อให้เกิดระบบนิเวศที่สมดุล แต่สถานการณ์ของวงจรนกพิราบตอนนี้คือ ระบบนิเวศในเมืองกำลังขาดความหลากหลายของผู้ล่าอย่างเหยี่ยวหรืองู อีกทั้งนกพิราบยังเป็นสัตว์ที่ผสมพันธุ์ได้ตลอดทั้งปี ปริมาณจึงเพิ่มอย่างรวดเร็วโดยไม่มีสิ่งใดมาควบคุม ไม่มีผู้ล่าคอยควบคุมจำนวนก็เรื่องหนึ่ง แต่อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นกพิราบใช้ชีวิตในเมืองรุ่นสู่รุ่นได้คือ แหล่งอาหารของพวกมัน คนเมืองจำนวนมากน่าจะคุ้นเคยกับภาพการจิกหาอาหารตามลานโล่งของนกพิราบ โดยเฉพาะบริเวณสวนสาธารณะ ลานโล่ง หรือท่าเรือ พวกมันล้วนแล้วแต่มองหาอาหารที่ชอบ เช่น เมล็ดธัญพืช หนอน และแมลง ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเป็นบริบทของเมืองใหญ่ อาหารลักษณะนี้คงไม่ได้หาได้ง่ายนัก […]
ยกระดับชีวิตมังกรจากแอนิเมชัน How to Train Your Dragon จะคนหรือสัตว์ (วิเศษ) ก็มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้
“มนุษย์สามารถอยู่ร่วมกับมังกรได้” ประโยคนี้คงเป็นสมมติฐานที่ชาวไวกิงและเหล่ามังกรจากเรื่อง อภินิหารไวกิ้งพิชิตมังกร (How to Train Your Dragon) ได้พิสูจน์ให้เราเห็นแล้วว่า ระหว่างคนและมังกร พวกเขาสามารถอยู่ร่วมกันได้ หากใครเคยรับชมแอนิเมชันเรื่องนี้ นอกจากเรื่องราวการต่อสู้ของมังกรและคน เราจะเห็นความสัมพันธ์และรูปแบบวิถีชีวิตร่วมกันระหว่างมนุษย์และสัตว์วิเศษ โดยอยู่ภายใต้การอยู่อาศัยบนเกาะเบิร์ก เกาะต้นกำเนิดของชนเผ่าไวกิง อีกทั้งยังเป็นเหมือนบ้านเฉพาะกิจของเหล่ามังกร แม้ในท้ายที่สุดชาวไวกิงจำเป็นต้องบอกลากับเพื่อนซี้เหล่ามังกร เพื่อให้พวกมันได้กลับไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยและเป็นที่ของพวกมันจริงๆ แต่ในช่วงที่เหล่ามังกรยังอาศัยอยู่บนเกาะเบิร์ก เรื่องราวในแต่ละวันก็ไม่ได้ดำเนินไปอย่างราบรื่นและสวยงามสักเท่าไหร่นัก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเมืองแออัด หรือผลกระทบข้างเคียงในพลังงานมหาศาลของเจ้ามังกรที่ต่างส่งผลกระทบต่อทั้งคนและมังกร จนถึงกับทำให้พวกเขามีแผนการตามหาที่อยู่อาศัยใหม่ดังที่ปรากฏในภาค 3 เนื่องในโอกาสการกลับมาของ How to Train Your Dragon ฉบับ Live Action คอลัมน์ Urban Isekai อยากชวนทุกคนนั่งไทม์แมชชีนย้อนคิดไปกับพวกเรา ถ้าหากเหล่ามังกรยังคงอยู่อาศัยร่วมกับชาวไวกิงบนเกาะเบิร์ก เราจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของสัตว์มีปีกเหล่านี้ได้อย่างไรบ้าง 1) จัดสรรพื้นที่ใหม่ แบ่งสัดส่วนระหว่างคนและมังกร ปัญหาเมืองแออัดดูจะเป็นปัญหาหลักที่เกิดขึ้นในเกาะเบิร์ก หลังจากการอยู่อาศัยร่วมกันระหว่างชาวเมืองและมังกร จนทำให้ชาวไวกิงบางส่วนตั้งคำถามต่อการเพิ่มขึ้นของจำนวนมังกร หากเมืองมีการจัดสรรพื้นที่ให้เหมาะสม กำหนดเขตที่พักอาศัยระหว่างมังกรและมนุษย์ จะเป็นทางแก้ที่ช่วยให้มังกรได้ใช้พื้นที่ตามธรรมชาติของร่างกาย และไม่สร้างความเสียหายแก่ชาวเมือง 2) บริการตรวจสุขภาพมังกรประจำปี สุขภาพของคนและสัตว์เป็นสิ่งสำคัญ สัตว์วิเศษก็เช่นกัน เราจึงควรมีโปรแกรมตรวจสุขภาพประจำปีเต็มรูปแบบ […]
ออกแบบเมืองให้เป็นมิตรกับผึ้งและผองเพื่อน เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพให้ดีต่อผึ้งและดีต่อใจเรา
เวลาที่ไปสวนแล้วเห็นต้นไม้หรือดอกไม้สวยๆ เรารู้สึกอย่างไรบ้าง แล้วเคยสังเกตกันไหมว่า ในชีวิตประจำวันเราพบเห็นแมลงชนิดไหนบ้าง พบเห็นผึ้งหรือผีเสื้อบ้างไหม และเพื่อนตัวน้อยเหล่านั้นทำอะไรอยู่ ผึ้งเป็นเพื่อนตัวเล็กๆ ที่มีอิทธิพลมากต่อระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพของพืชและต้นไม้ ซึ่งให้อากาศบริสุทธิ์ น้ำสะอาด และอาหารที่เรากิน จากภาวะโลกเดือด ภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้จำนวนประชากรผึ้งและแมลงผสมเกสรลดลง และการทำเกษตรกรรมเชิงเดี่ยวส่งผลให้ถิ่นที่อยู่ของแมลงและสัตว์ต่างๆ ลดน้อยลง ส่งผลต่อความหลากหลายทางชีวภาพ จำนวนและชนิดของแมลงก็ลดลงตามไปอีก อีกทั้งยังทำให้ความหลากหลายทางอาหารลดลงอีกเช่นกัน เป็นวงจรที่กำลังดำเนินไป และเรากำลังเผชิญกับผลกระทบเหล่านั้น จากคำกล่าวที่ว่า ‘ถ้าไม่มีผึ้งจะไม่มีเราอีกต่อไป’ ดูจะไม่ไกลเกินจริงซะแล้ว ในโอกาสวันผึ้งโลกที่เพิ่งผ่านพ้นไป และวันนี้เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก คอลัมน์ Urban Sketch อยากชวนเพื่อนๆ มาดูกันว่า เราจะสามารถออกแบบเมืองและสิ่งแวดล้อมใกล้ๆ ตัวเราอย่างไร ให้เอื้อต่อความเป็นอยู่ที่ดีของเพื่อนตัวน้อยนักผสมเกสรของเรา และยังสร้างความเพลิดเพลินใจให้เราด้วย มาเปิดใจให้เหล่าผองผึ้งและแมลงตัวนั้นตัวนี้ ให้เราได้รักรักมันทุกตัวกัน ปลูกดอกไม้และต้นไม้ที่หลากหลายให้ผองผึ้ง ดอกไม้และต้นไม้บางชนิดเป็นแหล่งอาหารที่โปรดปรานของผึ้ง การออกแบบสวนที่มีดอกไม้ ผัก และต้นไม้ที่ให้เรณูเกสรและน้ำหวานแก่ผึ้ง ผีเสื้อ และแมลงจึงเป็นสิ่งสำคัญ ยกตัวอย่าง สวนสาธารณะ สวนในบ้าน สวนริมทางเท้า หรือ Pocket Park ลองเพิ่มต้นไม้ผลไม้เข้ามา สลับกับไม้พุ่มให้ดอก ผักที่กินผล และดอกไม้หอมที่ล่อแมลงและผึ้งอย่างต้นไม้วงศ์ส้ม […]
ทำไม Walkable City ถึงเป็นแนวทางสำหรับเมืองสมัยใหม่ และเป็นความเหลื่อมล้ำของเมืองเล็กที่ถูกลืม
เป็นเวลากว่าล้านปีที่มนุษย์ค่อยๆ วิวัฒนาการสรีระเพื่อรองรับการเดินตัวตรง เหล่าบรรพบุรุษใช้พรสวรรค์ในการเดินทนเดินไกล ขยับขยายอาณาเขตและเอาตัวรอดในสมัยบรรพกาล หรือเรียกได้ว่าเป็นเผ่าพันธุ์นักเดินตัวยง กระทั่งเมื่อลูกหลานของป้าลูซี (Lucy) คิดค้น ‘ล้อ’ ตัวช่วยการเคลื่อนที่แสนสะดวก บทบาทของการเดินเท้าจึงเริ่มถูกคัดทิ้งและลืมเลือน เมื่อรถยนต์แพร่หลายกลายเป็นพาหนะประจำครัวเรือน การตัดถนนครั้งใหญ่จึงเกิดขึ้นทั่วโลก กรุงรัตนโกสินทร์เองก็เขยื้อนตัวเช่นกัน เริ่มจากการขยายเมือง ถมคลองสร้างถนนรองรับ ‘รถเก๋ง’ แต่ดันลืมนึกถึง ‘คนเดิน’ เวลาผ่านมาเพียงหนึ่งชั่วอายุคน ความนิยมของรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นมหาศาลได้แปรสภาพเมืองหลวงไทยให้กลายเป็น ‘ตัวอย่างของความล้มเหลวทางการจราจร’ ลืมเรื่องการเดินอย่างสบายเท้าบนฟุตพาทไปได้เลย เพราะบางครั้งชาวสยามยังจำเป็นต้องเดินบนถนนขณะรถวิ่ง การเดินเท้าบนฟุตพาทในกรุงเทพฯ กลายเป็นเรื่องท้าทายอย่างน่าละเหี่ยใจ นอกจากขนาดและสภาพของทางเท้าแบบ ‘Old School’ เก่าพังราวของวินเทจ ระยะทางของแต่ละย่านสำคัญก็ห่างไกลระดับน้องๆ มาราธอน แม้แต่ทางเลือกอย่างจักรยานก็อาจต้องเสี่ยงดวงเบียดบี้กับจักรยานยนต์บนถนน และขาดไม่ได้คืออากาศร้อนราวอบเซานาตลอดกลางวัน จึงไม่แปลกที่รถยนต์ส่วนตัวปรับอากาศเย็นสบายจะติดชาร์ตสิ่งของอันดับหนึ่งที่ใครๆ ล้วนปรารถนา อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าเศร้ากว่าปัญหาข้างต้นคือ การหารือบนโต๊ะประชุมมักมีเพียงการแก้ปัญหาในบริบทของกรุงเทพฯ และปริมณฑล กลับกันใน ‘จังหวัดอื่นๆ’ กลายเป็นผู้ถูกลืม บางพื้นที่ไม่มีแม้แต่ระบบขนส่งสาธารณะ บีบบังคับให้ทุกบ้านต้องมีรถยนต์หรือจักรยานยนต์เป็นอย่างน้อย ทั้งที่แนวคิด Walkable City ไม่ควรถกเถียงอยู่แค่บริเวณเมืองหลวง เพราะประชากรทุกจังหวัดควรได้รับคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างเท่าเทียม ทั้งนี้ทั้งนั้น การสร้างเมืองเดินได้ในทุกบริบทย่อมตั้งต้นด้วยการเปลี่ยนวิถีการคมนาคม เริ่มจากรถยนต์ผู้ครองตำแหน่งแชมป์ที่เป็นก้างชิ้นโต ทำให้ผู้สันทัดกรณีเสนอการแก้ปัญหาอย่างกำปั้นทุบดินคือ ‘กำจัดรถยนต์บนท้องถนน’ […]
จินตนาการถึงผลงานศิลปะกลางแจ้งบนพื้นที่สาธารณะของกรุงเทพฯ แรงบันดาลใจจากเหล่าสัตว์ในเมือง
ถ้ากรุงเทพฯ มีประติมากรรมขนาดยักษ์แบบไทยๆ ตั้งบนพื้นที่แลนด์มาร์กบ้าง จะเป็นยังไงกันนะ คิดว่าหลายคนน่าจะได้ไปชม KAWS:HOLIDAY THAILAND งานศิลปะในรูปแบบรูปปั้นขนาด 18 เมตรตรงบริเวณท้องสนามหลวงแล้ว นอกจาก KAWS:HOLIDAY THAILAND จะเป็นการร่วมมือครั้งยิ่งใหญ่ที่ผสมผสานระหว่างศิลปะร่วมสมัยและพื้นที่ที่มีความเป็นมาอันยาวนานทางประวัติศาสตร์ ในเลนส์ของการพัฒนาเมือง โปรเจกต์นี้ยังทำหน้าที่เป็น Public Art หรือศิลปะสาธารณะชั่วคราว ที่สร้างมุมมองใหม่ เติมสีสันให้เมือง กระตุ้นให้ผู้คนและนักท่องเที่ยวเดินทางมาสัมผัสประสบการณ์ศิลปะในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่วันที่ 25 พฤษภาคม อีเวนต์นี้ก็จะสิ้นสุดแล้ว คอลัมน์ Urban Sketch เลยอยากชวนคิดสนุกๆ ต่อยอดว่า ถ้าในอนาคตกรุงเทพฯ จะมี Public Art เป็นรูปปั้นยักษ์จัดแสดงอีก หน้าตาของชิ้นงานจะออกมาเป็นยังไง และควรตั้งตรงพื้นที่ไหนบ้าง เพื่อสะท้อนความเป็นไทยร่วมสมัยที่ใครๆ ก็รู้สึกร่วมได้ Mr.Pigeon Postmanหน้าอาคารไปรษณีย์กลาง บางรัก รูปปั้นแรก เราดีไซน์เป็นคุณลุงนกพิราบผู้ส่งจดหมาย ที่อยากให้เป็นนกที่ดูมีอายุหน่อย ล้อไปกับไปรษณีย์ไทยที่อยู่คู่ประเทศไทยมานาน มีเครื่องประดับเป็นกระเป๋าจากขอบขนมปังที่คนบิโยนให้กิน ขณะเดียวกัน นกพิราบยังเป็นสัตว์คู่เมืองใหญ่ แถมเอาตัวรอดเก่งสุดๆ เดินไปไหนก็เจอแทบทุกที่ ให้มาตั้งประจำการที่ลานหน้าอาคารไปรษณีย์กลาง บางรัก ก็ดูสอดคล้องกับคอนเซปต์ดี […]
‘Thainal Destination’ ใช้ชีวิตประจำวันแบบระวังตัวแทบตาย จู่ๆ ก็กลายเป็นผู้ประสบภัย ชะตาขาดไม่รู้ตัว
เพราะอันตรายมีอยู่ทุกที่ คำคำนี้ดูไม่เกินจริง เมื่อเราได้ดูภาพยนตร์แฟรนไชส์ Final Destination ที่แต่ละภาคล้วนดำเนินเรื่องผ่านการใช้ชีวิตทั่วๆ ไปของเหล่าตัวละคร ทว่าในความทั่วไปนั้นกลับมีเหตุการณ์บางอย่างที่พาให้ชะตาชีวิตของพวกเขาถึงจุดจบอย่างน่าสยดสยอง หลังจากทิ้งห่างไปกว่า 14 ปี ตอนนี้ Final Destination กลับมาอีกครั้งกับคอนเซปต์ที่ยังคงทำเอาคนดูอย่างเราๆ หวาดเสียวไปกับสิ่งรอบตัว จนต้องมองซ้ายมองขวาคอยใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวัง คอลัมน์ Urban Isekai อยากชวนมาลองคิดเล่นๆ ว่า หากเซตติ้งใน Final Destination เป็นกรุงเทพฯ จะมีเหตุการณ์อะไรบ้างที่ทำให้เราใช้ชีวิตอยู่ดีๆ ก็ชะตาขาดไม่รู้ตัว ขับรถอยู่ดีๆ ก็มีชิ้นส่วนก่อสร้างร่วงหล่นจากท้องฟ้า สถานการณ์ที่ทำให้คนไทยรู้สึกเหมือนใช้ชีวิตอยู่ใน Final Destination ตลอดเวลา คงหนีไม่พ้นการขับรถผ่านเส้นทางที่กำลังมีโครงการก่อสร้างหรือซ่อมแซมสะพาน โดยเฉพาะเส้นพระรามที่สองที่ไม่จบไม่สิ้นสักที ยิ่งนานวันไปแทนที่โครงสร้างสะพานจะแข็งแรงพร้อมใช้งาน กลับมีข่าวอุบัติเหตุเศษนั่นเศษนี่ร่วงลงบนถนนตลอดเวลา ส่งผลให้คนที่ใช้รถใช้ถนนเส้นทางนั้นต้องเสี่ยงดวงทุกครั้ง เพราะไม่รู้ว่าวันดีคืนดีจะหวยออกที่รถของเราไหม ทำได้เพียงแค่รีบเหยียบคันเร่งพร้อมสวดมนต์ให้สบายใจว่าจะปลอดภัยไปตลอดทาง ตามหลังรถกระบะอยู่ดีๆ ก็มีเหล็กเส้นพุ่งเข้ามาในรถ ไม่ใช่แค่ต้องคอยระวังแผ่นปูนจากฟากฟ้า แต่ยังมีรถกระบะร่วมทางที่ทำเอาต้องเว้นระยะห่างเกินกว่า 5 เมตร เพราะหลายคันมักท้าทายความสามารถในการขนของ ด้วยการวางเรียงสินค้าสูงเกินหลังคารถจนโอนไปเอียงมา เสี่ยงว่าจะร่วงลงมาขวางถนนหรือไม่ก็ทับรถที่ขับตามหลัง และบ่อยครั้งที่เราเจอก็มักเป็นเหล็กเส้นยาวที่มีผ้าสีแดงผูกเอาไว้เป็นสัญลักษณ์ให้คันหลังคอยระวังอันตราย แต่แหม…ทั้งหัวและท้ายของเหล็กกลับยื่นเกินออกมาจากตัวรถ แถมอุปกรณ์ยึดเหล็กก็ดูไม่แข็งแรงเท่าไหร่ ทำให้รถยนต์ทั้งข้างหน้าและตามหลังต้องหวาดระแวงว่าเหล็กเส้นเหล่านั้นจะหลุดออกมาพุ่งทะลุกระจกรถตัวเองหรือไม่ แค่คิดก็น่ากลัวแล้ว […]
ใครอยู่เขตไหน มาเช็กกัน กับที่สุดของ 10 อันดับเขตในกรุงเทพฯ
หลังจากนี้แทนที่เราจะอวดฐานะ กางไลฟ์สไตล์ให้ดูว่าใครกินหรูอยู่แพงกว่ากัน ชาวกรุงเทพฯ ลองเปลี่ยนมาบลัฟกันด้วยความน่าอยู่ของเขตที่อยู่อาศัยดีกว่าไหม เผื่อเขตไหนเขาอิจฉาจะได้ทำแบบเขตเราบ้าง แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าเขตไหนน่าอยู่ ปัจจัยหลักๆ ที่ส่งเสริมเขตนั้นให้ผู้อยู่อาศัยมีคุณภาพชีวิตที่ดี วัดกันตั้งแต่ความเพียงพอของสวนสาธารณะ อากาศสะอาดแค่ไหน รถเมล์กี่สายวิ่งผ่าน โรงเรียนมีจำนวนสอดคล้องกับนักเรียนหรือเปล่า ไปจนถึงเรื่องขยะ น้ำท่วม ฯลฯ ซึ่งครอบคลุมด้านบริการสาธารณะ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสวัสดิภาพ และด้านสิ่งแวดล้อม แม้กรุงเทพฯ จะมีถึง 50 เขต แต่เขตที่ได้คะแนนภาพรวมเขตน่าอยู่ในอันดับสูงๆ หรือเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไปจากคะแนนทั้งหมด 50 คะแนน นับแล้วมีเพียง 27 เขตเท่านั้น ยิ่งถ้าไปดูเขตที่ได้คะแนนเกิน 80 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ขอบอกว่าไม่มีสักเขตเลย เขตไหนน่าอยู่ต้องสะดวก สะอาด ปลอดภัยไร้กังวล ก่อนอื่นเรามาดูกันว่า เกณฑ์การให้คะแนนความน่าอยู่ของแต่ละเขตมีที่มาจากอะไรบ้าง Bangkok Index คือข้อมูลเพื่อดูว่าแต่ละเขตน่าอยู่มากน้อยแค่ไหน มีปัญหาด้านใดบ้าง โดยแบ่งออกเป็น 4 ด้าน แต่ละด้านประกอบด้วย 4 หัวข้อ ได้แก่ 1) ด้านบริการสาธารณะ ประกอบด้วย […]
‘กลิ่นฉี่ในเมือง’ มลภาวะทางกลิ่นในกรุงเทพฯ ที่ทำให้หลายพื้นที่ไม่น่าใช้งาน
เคยไหม เวลาเดินไปตามตรอกซอกซอยต่างๆ บ้านบางหลังจะแขวนป้ายหรือไวนิลไว้หน้าบ้านทำนองว่า ‘ห้ามฉี่’ ถึงจะดูเป็นเรื่องตลก แต่ปัญหาเหล่านี้กลับสร้างความกวนใจให้เจ้าของบ้านมากๆ รวมถึงคนที่เดินผ่านไปผ่านมาก็ต้องคอยรับผลกระทบจากมลภาวะทางกลิ่นไปด้วย การติดป้ายอาจช่วยได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักเป็นการแก้ปัญหาของประชาชนและเอกชน ส่วนพื้นที่สาธารณะกลับไม่ค่อยเห็นการห้ามในลักษณะนี้เท่าไหร่ ทั้งที่ก็เป็นพื้นที่คอยรองรับปริมาณฉี่ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเสาไฟ พื้นทางเท้า หรือต้นไม้ ยิ่งเฉพาะบริเวณใต้ทางด่วนที่อับสายตาผู้คน ส่งผลให้บรรยากาศโดยรอบไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย กลิ่นฉี่ทำลายทั้งบรรยากาศและโครงสร้างต่างๆ ทั้งๆ ที่กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีคนพลุกพล่าน ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวหรือผู้อยู่อาศัย แต่ในหลายๆ พื้นที่ที่เดินเท้าได้กลับมีกลิ่นไม่พึงประสงค์อย่างกลิ่นฉี่หมักหมม ส่งกลิ่นโชยออกมาให้ต้องรีบจ้ำอ้าวหนี และหากบริเวณไหนที่มีกลิ่นอยู่แล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะยิ่งดึงดูดให้คนมาฉี่เพิ่ม กลายเป็นพื้นที่สำหรับรองรับของเสียไปโดยปริยาย ส่งผลให้หลายๆ เส้นทางไม่น่าใช้งาน มากไปกว่าเรื่องของกลิ่นฉุน หลายคนอาจนึกไม่ถึงว่า ฉี่ยังสร้างความเสียหายให้กับพื้นที่โดยรอบ และเป็นการทำลายทรัพย์สินทั้งของสาธารณะและส่วนตัว เพราะในฉี่ของมนุษย์มียูเรียซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรดที่ทำลายทั้งคอนกรีต เหล็ก และโลหะ หากปล่อยให้เกิดการสะสมของฉี่เป็นเวลานานก็อาจส่งผลต่อโครงสร้าง ทำให้พื้นที่บริเวณนั้นๆ เสียหาย เหตุผลของคนเลือกฉี่ข้างทาง นอกเหนือจากความมักง่ายของคนแล้ว เป็นไปได้ว่าด้วยจำนวนห้องน้ำสาธารณะที่มีค่อนข้างน้อยและหายากในหลายๆ พื้นที่ จึงทำให้คนเลือกปลดปล่อยของเหลวส่งกลิ่นตามพื้นที่ข้างทางมากกว่า หรือต่อให้เป็นห้องน้ำกึ่งสาธารณะที่เรามองว่ามีจำนวนมาก กระจายอยู่ทั่วไปในเมือง เช่น ในห้างสรรพสินค้า ปั๊มน้ำมัน หรือสวนสาธารณะ แต่ก็ยังมีข้อจำกัดเรื่องเวลาเปิด-ปิด ที่ไม่สอดคล้องกับการใช้ชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะคนที่ทำงานเป็นกะ หรือทำงานทั้งวันทั้งคืนอย่างแท็กซี่ วินมอเตอร์ไซค์ […]
Hakata อาณาจักรขนส่งสาธารณะที่รวมทุกการเดินทางไว้ในที่เดียว
‘ฮากาตะ’ ถ้าได้ยินชื่อนี้แล้วคิดถึงอะไรกันบ้าง กลิ่นหอมกรุ่นของราเม็งน้ำซุปกระดูกหมู ตลาด Christmas Market ย่านช้อปปิงขนาดใหญ่ที่เดินซื้อของเชื่อมต่อกันได้ไม่สะดุด หรือสถานีชื่อดังที่ถ้าอยากท่องเที่ยวในภูมิภาคคิวชูให้ครบๆ สักครั้งต้องใช้สถานีนี้เป็นจุดเชื่อมต่อ และหากใครเคยได้ยินเรื่องที่รัฐบาลไทยสนใจรวมขนส่งสาธารณะไว้ในที่เดียวเพื่อให้การเดินทางในไทยไร้รอยต่อ โมเดลที่รัฐบาลนำมาใช้เป็นต้นแบบก็คือ ฮากาตะ เมืองฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่นนี่เอง คอลัมน์ City in Focus จึงขอชวนทุกคนมาดูย่านที่ทำให้การเดินทางด้วยรถ ราง บัสเป็นเรื่องง่าย แสนสบาย เชื่อมต่อรถ-ราง-บัส ในพื้นที่เล็กๆ ของฮากาตะแห่งนี้ รู้หรือไม่ว่าที่นี่ประกอบไปด้วยศูนย์รวมการเดินทางทั้งบัส แท็กซี่ รถไฟฟ้าใต้ดิน ชินคันเซ็น และรถไฟ JR โดยเหมาะทั้งสำหรับการเดินทางในเมืองฟุกุโอกะเอง และเดินทางออกไปต่างเมือง ไม่ว่าจะโตเกียว นาโกยา หรือไปดู World Expo ที่โอซากาก็ยังได้ นอกจากสถานีกลางนี้จะรวบรวมทุกการเดินทางเอาไว้แล้ว ตำแหน่งที่ตั้งของสถานีฮากาตะยังมีความพิเศษตรงที่สถานีนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมืองฟุกุโอกะ ในระยะที่ไปถึงพื้นที่สำคัญๆ ได้ในเวลาเพียงน้อยนิด เช่น หากจะไปช้อปปิงที่แหล่งวัยรุ่นอย่างเทนจินก็ห่างเพียง 3 สถานี ใช้เวลาเดินทาง 5 นาทีเท่านั้น หรือจะไปสนามบินก็ใช้เวลาเพียง 2 สถานีเช่นเดียวกัน โดยปกติด้วยความยิ่งใหญ่ของรถยนต์ ราง […]
ตามแม่มาวัดยังไงไม่ให้เบื่อ ออกแบบพื้นที่ภายในวัด ให้โอบรับคนรุ่นใหม่ ใกล้ชิดศาสนามากขึ้น
อีกหนึ่งปัญหาของลูกหลานชาวพุทธที่ติดสอยห้อยตามที่บ้านไปทำบุญที่วัดทุกวันสำคัญทางศาสนาคือ การไม่รู้จะเอาตัวเองไปแปะไว้ตรงไหนของวัดดี เพราะไม่ว่าจะไปบริเวณใดก็รู้สึกเกร็งๆ เหมือนไม่ใช่ที่ของเรา คอลัมน์ Urban Sketch ขออาสาออกแบบพื้นที่ภายในวัดให้เฟรนด์ลีและโอบรับกลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้น เพื่อทำให้การไปวัดของศาสนิกชนไม่ได้จำกัดอยู่แค่การต้องไปไหว้พระหรือทำสังฆทาน แต่เป็นการที่เราได้ใช้เวลาภายในวัดอย่างสบายใจ ไม่รู้สึกแปลกแยก แบ่งโซนพื้นที่นั่งรอออกจากพื้นที่ทำบุญ สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกทำอะไรไม่ถูกเวลาไปวัดคือ การต้องเจอพระพุทธรูปวางเรียงรายและพระประจำวัด โดยเฉพาะเด็กๆ ที่ไม่รู้ว่าควรไหว้ นั่งนิ่งๆ หลบตา หรือทำกิจกรรมอย่างอื่นอย่างเล่นโทรศัพท์ อ่านการ์ตูนไปด้วยได้หรือเปล่า การแบ่งสัดส่วนพื้นที่ทำบุญออกมาเป็นจุดนั่งรอที่เหมาะสม โดยมีพระประธานเป็นศูนย์กลาง อาจทำให้ใครหลายคนรู้สึกว่าการเข้าวัดไม่ใช่เรื่องยากเท่าเดิม เพราะหลังจากไหว้พระเสร็จก็ขอปลีกตัวไปทำกิจกรรมที่ตัวเองสนใจในอีกพื้นที่หนึ่ง คาเฟ่เล็กๆ สำหรับนั่งรอและเติมพลัง การนั่งรอเฉยๆ ทำให้เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า การมีคาเฟ่คอยให้บริการเครื่องดื่มและของหวานเล็กๆ น้อยๆ ให้พอชุบชูใจ น่าจะทำให้เวลาผ่านไปไวขึ้นอีกหน่อย บริการปลั๊กและ Wi-Fi สำหรับทำงาน ต่อให้ไปวัดวันหยุด แต่ใช่ว่าหนุ่มสาววัยทำงานจะไม่ต้องทำงานสักหน่อย ทว่าปัญหาของการเปลี่ยนจาก Work from Home มาเป็น Work from Temple คือ การไม่มีพื้นที่ทำงานที่มีปลั๊กและ Wi-Fi ให้ใช้โดยไม่ต้องรู้สึกผิดเพราะต้องใช้ไฟวัด จะดีกว่าไหมถ้าเราบริจาคเงินให้วัดเพื่อแลกกับการใช้ไฟฟ้าและ Wi-Fi ในช่วงเวลาที่ต้องการ นอกจากจะได้ทำงานแล้วยังไม่รู้สึกผิดด้วย เข้าคลาสทำกิจกรรม ไหนๆ […]
เรียนรู้เหตุการณ์แผ่นดินไหวกรุงเทพฯ รับมือภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกะทันหันอย่างไรบ้าง
อาคารสั่นคลอน อาการวิงเวียน ที่พักอาศัยเสียหาย ทั้งหมดนี้เป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ แม้จุดเกิดเหตุจะไม่ได้เกิดขึ้นโดยตรงในประเทศไทย แต่ด้วยแรงสั่นสะเทือนที่สูงถึง 7.7 แมกนิจูด ส่งผลให้คนเมืองผู้แทบไม่เคยเจอเหตุการณ์ลักษณะนี้มาก่อนรับรู้ถึงความสั่นไหว และกลายเป็นผู้ประสบภัยในเวลาเพียงไม่กี่นาที นอกเหนือจากความตื่นตระหนกตกใจแล้ว แรงสั่นสะเทือนยังสร้างความเสียหายในหลายพื้นที่โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ทั้งที่อยู่อาศัยและอาคารสำนักงานที่อาจไม่ได้คำนึงถึงการเผชิญหน้ากับแผ่นดินไหวรุนแรงแบบนี้มาก่อน และด้วยความที่เป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่คนกรุงเทพฯ ต้องเจอกับแผ่นดินไหว ก่อให้เกิดความสับสนในการรับมือสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเรื่องการแจ้งเตือนล่วงหน้า วิธีการป้องกันตัวเอง ความปลอดภัยของการใช้ชีวิตในอาคาร หรือกระทั่งการใช้เส้นทางจราจรเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินที่ไม่เคยมีใครให้ข้อมูลมาก่อนว่าจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรหากเจอเหตุการณ์แบบนี้ คอลัมน์ Report จะพาไปสำรวจว่า ในเหตุการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน กรุงเทพฯ ต้องเจอกับปัญหาในการรับมือสถานการณ์แบบไหนบ้าง มีการจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร และประเทศไทยสามารถนำวิธีการเตรียมพร้อมป้องกันภัยจากประเทศที่ต้องเผชิญหน้ากับภัยพิบัติเหล่านี้อยู่บ่อยครั้งมาปรับใช้ได้มากน้อยแค่ไหน ปัญหาเมืองที่เกิดขึ้นในวันภัยพิบัติ จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ศูนย์กลางที่เมียนมาเมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นอกจากปัญหาเรื่องตึกสูง ที่อยู่อาศัย และความปลอดภัยในเมืองของกรุงเทพฯ ซึ่งเห็นได้จากโครงสร้างอาคารที่เกิดรอยแตก รอยร้าว หรือแย่ไปกว่านั้นคือ เศษโครงสร้างอาคารหลุดล่อนออกมา จนทำให้หลายคนหวาดผวาไปกับการใช้ชีวิตบนตึกสูงแล้ว สถานการณ์ในวันนั้นยังแสดงให้เห็นถึงปัญหาระบบขนส่งในเมือง รวมถึงพื้นที่อพยพที่ไม่สามารถรองรับชาวกรุงได้ เสียงบ่นอื้ออึงของคนกรุงหลังสถานการณ์แผ่นดินไหวคือ เรื่องถนนกรุงเทพฯ ที่เต็มไปด้วยรถยนต์ รถเมล์ รถจักรยานยนต์ที่แน่นิ่ง ไม่ขยับ รถเคลื่อนตัวได้เพียง 13 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และแออัดยาวนานขนาดที่แผ่นดินไหวผ่านไปแล้ว 8 ชั่วโมง การจราจรก็ยังไม่กลับสู่สภาวะปกติ รวมถึงเหล่าขนส่งสาธารณะระบบรางอย่าง […]