สำหรับวันหยุดยาวในเดือนที่นับว่าร้อนที่สุดแห่งปีแบบนี้ จะมีอะไรดีไปกว่าการนั่งตากลม พักผ่อนสบายๆ จิบชายามบ่าย พลิกหนังสือสนุกๆ อ่านทีละหน้าอย่างไม่รีบร้อน
หลังจากเปิดปี 2022 มา บ้านเมืองก็มีความเปลี่ยนแปลงไม่น้อย ทั้งฝั่งการเมืองที่เริ่มมีการเคลื่อนไหวจากการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ไหนจะข่าวสารใหญ่ๆ ที่ทำให้สังคมหันมาตระหนักถึงความปลอดภัยในการใช้ชีวิตในเมืองมากขึ้น ยังไม่นับอากาศที่แปรปรวนจนหลายคนงงไปตามๆ กันอย่างเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา
แน่นอนว่าหลังจากนี้คงมีอีกหลายเรื่องราวเกิดขึ้นแน่ แต่เราอยากชวนทุกคนมาพักเบรก ชาร์จพลังใจ กับ 5 หนังสืออ่านสบายๆ เกี่ยวกับการใช้ชีวิตให้ราบรื่นในช่วงวัยที่ต้องเผชิญกับความกดดันในชีวิตและการทำงาน เพื่อที่จะได้ผ่านพ้นแต่ละวันไปได้อย่างไม่หนักหนา และตระหนักว่ายังมีคนอีกมากมายที่รู้สึกไม่ต่างจากเรา
‘พักให้ไหว ค่อยไปต่อ’ หนังสือที่บอกว่าใจจะแข็งแรงขึ้นถ้าพักเสียบ้าง
เขียนโดย Nina Kim
ในยุคสมัยที่มีแต่คนบอกให้แอ็กทีฟ ลงทุน ออมเงิน หาเงินเพิ่ม พัฒนาตัวเอง ทำธุรกิจที่สองสามสี่ ฯลฯ จะเป็นอะไรไหมถ้าเราจะขอไม่ทำอะไร อยู่เฉยๆ และให้พื้นที่ตัวเองได้หายใจ
หนังสือเล่มกะทัดรัดเล่มนี้มีเนื้อหาให้กำลังใจผู้คนที่กำลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เพราะเมื่อต้องทำงาน มีภาระ มีความรับผิดชอบ ชีวิตแสนวุ่นวาย จะหาพื้นที่หายใจอย่างปลอดโปร่งคงยากไปหมด การอดทนอาจเป็นหนทางสำคัญที่จะทำให้มีแรงย่างก้าวไปแต่ละวัน แต่ขณะเดียวกันการพักผ่อนก็สำคัญไม่แพ้กัน ถ้าเหนื่อยแล้วรู้จักพัก ร้องไห้บ้างเมื่อรู้สึกเศร้า ระบายความโกรธออกมาบ้าง คงทำให้ใจแข็งแกร่งกว่าที่เป็นอยู่
ลองให้เวลาและพื้นที่ตัวเองบ้าง ลองไม่ต้องอดทนแล้วปลดปล่อยความในใจออกมา อาจทำให้ชีวิตสุขขึ้น มีพลังไปต่อกรกับสิ่งต่างๆ ในชีวิต
บันทึกความเจ็บปวดจากคนทำงาน ‘ยังไม่ทันเข้างาน ก็อยากกลับบ้านแล้ว’
เขียนโดย ว็อนจีซู
เคยมีคำกล่าวว่า ถ้าทำงานที่ชอบ จะรู้สึกเหมือนไม่ได้ทำงาน เพราะได้ทำสิ่งที่ชอบ แต่ลองตัดกลับมาที่โลกแห่งความจริง จะเป็นงานที่ชอบหรืองานไหนๆ ถ้าขึ้นชื่อว่าเป็นงาน ยังไงก็ต้องเหนื่อยและมีความรู้สึกว่าไม่อยากทำบ้างอยู่ดีนั่นแหละ
สำหรับใครที่อ่านชื่อหนังสือเล่มนี้ แล้วรู้สึกตรงใจใช่เลย ‘ยังไม่ทันเข้างาน ก็อยากกลับบ้านแล้ว’ คือหนังสือที่เหมาะกับใครก็ตามที่กำลังทอดถอนใจกับงานในปัจจุบันของตัวเอง เป็นบันทึกความพยายามและความเจ็บปวดของหนึ่งในหลายๆ คนที่กำลังสู้ชีวิตและสับสนกับชะตาของตัวเองอยู่
นักเขียนเล่าเรื่องการเป็นพนักงานบริษัทในหลายตำแหน่งของตนเองอย่างมีสีสัน สะท้อนปมปัญหา ห้วงความคิด และสารพัดอารมณ์ที่คนทำงานออฟฟิศทุกคนต้องเคยเจอ โดยเธอมุ่งหวังว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นเพื่อนร่วมทางให้ผู้อ่าน ทำให้พวกเขารู้ว่าไม่ได้กำลังท้อแท้หรือหมดหวังอยู่เพียงคนเดียว ที่สำคัญคือมันโอเคมากๆ ที่จะเหนื่อยบ้างบ่นบ้างในวันที่สุดจะทน แต่ขณะเดียวกันก็จงเชื่อมั่นว่า วันพรุ่งนี้ที่ดีกว่าจะมาถึง และทุกคนเข้มแข็งพอที่จะอยู่ได้จนถึงวันนั้น
รักษาชีวิตหลังเลิกงานให้สำเร็จกับ ‘ยังไงฉันก็จะเลิกงานตรงเวลาค่ะ’
เขียนโดย อาเกโนะ คาเอรุโกะ
อยากได้ Work Life Balance ไม่ใช่ Work ไร้ Balance ค่ะ/ครับหัวหน้า
นิยายขายดีว่าด้วยเรื่องราวของหญิงสาวผู้สาบานตนไว้ว่าจะเลิกงานไม่ให้เกินเวลา แต่อุปสรรคคือเพื่อนร่วมงานจอมขยันและเจ้านายบ้าพลัง ทว่าท้ายสุดแล้วเธอจะฝ่าด่านสุดโหดหินเพื่อรักษาชีวิตหลังเลิกงานไว้ได้หรือไม่ ต้องลองไปติดตามกัน
อย่างที่ทราบกันว่าสังคมญี่ปุ่นมักทำงานล่วงเวลากันเป็นปกติ แต่ ‘ฮิงาชิยามะ ยุย’ พนักงานหญิงคนหนึ่งตั้งใจจะกลับบ้านตรงเวลาทุกวัน เพราะมีความหลังฝังใจเกี่ยวกับพ่อผู้บ้างาน เธอคอยโน้มน้าวคนรอบข้างให้หยุดพักบ้าง โชคดีที่สภาพแวดล้อมการทำงานในบริษัทเอื้อให้เธอที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพกลับบ้านได้ตรงเวลา
แต่แล้วชะตาของเธอก็เปลี่ยนไป จากผู้จัดการคนใหม่ที่บ้างาน รับปากทำโปรเจกต์ที่เรียกว่าหนักสุดๆ ทำเอายุยปวดเศียรเวียนเกล้า หนำซ้ำเธอยังรับตำแหน่งใหญ่ของโครงการสุดโหด แต่เธอก็มุ่งมั่นว่าจะทำให้สมาชิกในทีมกลับบ้านตรงเวลาให้ได้
อ่านดูเหมือนเป็นนิยายสนุกๆ ของคนทำงาน แต่ถ้าพิจารณาให้ดี จะเห็นว่าแก่นหลักของเรื่องนี้คือการปะทะกันของค่านิยมเกี่ยวกับการทำงานระหว่างคนยุคเก่ากับคนยุคใหม่ จำเป็นหรือที่ทำงานหนัก กลับบ้านช้าจะดีเสมอไป ลองให้เรื่องของยุยเป็นกรณีตัวอย่างดูสิ
บำบัดจิตรับมือกับคนที่ล้ำเส้นด้วย ‘ฉันไม่ได้อ่อนไหว เธอนั่นแหละที่ทำเกินไป’
เขียนโดย ยูอึนจ็อง
“อย่ารู้สึกแย่ไปเลย ที่ฉันพูดก็เพราะหวังดีกับเธอนะ”
“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง ทำไมอ่อนไหวง่ายจัง!”
“ปกติก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่ ทำไมวันนี้อารมณ์เสียง่ายจัง”
“ฉันแค่พูดเฉยๆ ไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย”
หลายครั้งที่คนในครอบครัวและคนรอบตัวพูดจาไม่ดีหรือว่าเราแรงๆ โดยอ้างว่าทำไปด้วยความเป็นห่วง แถมบางครั้งเวลาที่เราแสดงออกว่าไม่ชอบ กลับถูกโบยให้เป็นความผิดของเราเสียอย่างนั้น
การกระทำเหล่านี้อยู่ในขอบเขตของ Gaslight (การกระทำที่ตั้งใจบิดเบือนความเป็นจริงหรือสิ่งที่อีกฝั่งรับรู้ เพื่อประโยชน์ของผู้พูดเอง) และ Guilt Trip (พฤติกรรมที่ใครคนใดคนหนึ่งพยายามสร้างความรู้สึกผิดให้อีกฝ่ายผ่านการสื่อสารหรือการแสดงออก เพื่อควบคุมพฤติกรรมของอีกฝ่าย) แน่นอนว่าผู้กระทำอาจรู้หรือไม่รู้ตัวว่ากำลังทำสิ่งนี้อยู่ แต่เราในฐานะผู้ถูกกระทำ รู้และปกป้องตัวเองจากบุคคลที่มีพฤติกรรมอย่างนี้ได้
หนังสือเล่มนี้เขียนโดยจิตแพทย์หญิงชาวเกาหลีใต้ เธอจะพาเราผู้อ่านไปสังเกตพฤติกรรมของคนที่ชอบล้ำเส้นอารมณ์ของผู้อื่น การทำความเข้าใจมนุษย์และการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล รวมไปถึงวิธีการสร้างความมั่นคงทางจิตใจ เพื่อสร้างขอบเขตอารมณ์ที่แข็งแกร่ง ไม่ปล่อยให้ใครมาทำร้ายความรู้สึกได้ง่ายๆ ขณะเดียวกันก็ไม่ปล่อยให้ตัวเองก้าวล้ำเส้นอารมณ์ของผู้อื่นด้วย เรียกว่าเป็นหนังสือที่น่าจะมีประโยชน์ต่อพนักงานออฟฟิศที่ต้องทำงานร่วมกับคนอื่นๆ และหลายครั้งอาจเกิดความขุ่นข้องหมองใจกัน เราจะได้สำรวจตัวเองและคนรอบตัว
ก้าวช้าหน่อยก็ไม่เป็นไรกับ ‘ฉันไม่ใช่ผู้ใหญ่ ฉันแค่อายุ 30’
เขียนโดย Nina Kim
เราเชื่อว่าต้องมีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่ตอนเด็กๆ จะอยากเป็นผู้ใหญ่ อยากเท่ อยากเจ๋ง แบบพี่ๆ คุณอา คุณน้าคนนั้นคนนี้ ทว่าเมื่อโตมา เรากลับไม่อยากเป็นผู้ใหญ่ และเบื่อหน่ายกับความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามอายุ
นี่คือบันทึกชีวิตประจำวันลายเส้นสบายตาของผู้เขียน ‘พักให้ไหว ค่อยไปต่อ’ กับเรื่องราวคนวัย 30 ที่ตื่นตัวจากคาเฟอีน ลิ้มรสหวานชื่นด้วยบ่ายวันหยุดสุดสัปดาห์ รู้สึกขมขื่นกับความผิดพลาดและผิดหวัง กู้คืนตัวเองให้กลับมาเท่ด้วยเบียร์สักแก้ว และมีความสุขเล็กๆ จากสิ่งรอบตัว
เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้ จะรู้สึกราวกับได้รับการปลอบประโลม ตบบ่า พร้อมกับถ้อยคำเรียบง่ายว่า ไม่ว่าเพื่อนรอบตัวจะก้าวนำเราไปกี่ก้าว ชีวิตเราจะยังเต็มไปด้วยข้อผิดพลาดและหลายอย่างที่ไม่รู้ หรือกระทั่งรู้สึกว่าเราในวัยสามสิบไม่ต่างจากวัยยี่สิบเลยสักนิด แต่สุดท้ายแล้วต่อให้ก้าวช้าสักหน่อย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไป แม้จะเป็นจุดเล็กๆ น้อยๆ อย่างกินกาแฟแล้วไม่ขม หรือหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น อะไรแบบนี้คือเสน่ห์ของช่วงวัย อย่าได้กดดันตัวเองจนมากเกินไปเลยนะ