เชื่อว่าใครหลายๆ คนคงเคยได้ยินชื่อ ‘เฟื่องนคร’ และมีจังหวะที่หยุดสนใจกับความไพเราะของชื่อ ซึ่งนามที่สวยงามทั้งรูปและความหมายนี้คือชื่อของหนึ่งในถนน 3 สายแรกของไทย ที่ถูกตั้งให้สอดคล้องและมีความหมายคล้ายกันเพื่อความเป็นสิริมงคล เริ่มต้นที่เจริญกรุง ต่อด้วยบำรุงเมือง และถัดมาคือเฟื่องนครนั่นเอง
‘ถนนเฟื่องนคร’ สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2406 เป็นถนนที่เชื่อมระหว่างถนนเจริญกรุง โดยเริ่มต้นที่แยกสี่กั๊กพระยาศรี และสิ้นสุดที่แยกสี่กั๊กเสาชิงช้าซึ่งเชื่อมกับถนนบำรุงเมือง เฟื่องนครจึงเปรียบเหมือนทางตัดผ่านเชื่อมต่อระหว่างถนนสองเส้นนี้
ความน่าสนใจของถนนเส้นนี้ไม่ใช่แค่การเป็นถนนสายแรกๆ ของมหานครบางกอก แต่ทิวทัศน์ตลอดทั้งเส้นยังเต็มไปด้วยร่องรอยความเฟื่องฟูจากอดีต เนื่องจากเป็นถนนสายประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวการค้าขาย ไม่ว่าจะเป็นย่านอัญมณี เครื่องประดับ หรือแหล่งรวมโรงพิมพ์ของพระนครในยุคสมัยก่อน

แม้ว่าคอลัมน์ Neighboroot จะพาผู้อ่านไปสำรวจถนนหลากหลายสายบนเกาะรัตนโกสินทร์มาแล้วหลายครั้ง แต่ Urban Creature ก็ยังอยากชวนไปเดินส่องเฟื่องนคร ถนนอีกสักสายของอาณาบริเวณนี้ ผ่านร่องรอยจากอดีตสู่ปัจจุบัน สะท้อนการเปลี่ยนผ่านของยุคสมัยจากย่านชุมชนค้าขายสู่ย่านท่องเที่ยวที่มองว่าความช้าคือสุนทรียะอย่างหนึ่ง
จากความยาว 2.5 กิโลเมตร สู่ทางถนน 500 เมตร
ถนนเฟื่องนครสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เดิมทีหัวถนนสายนี้เริ่มต้นที่ปากคลองตลาดและสิ้นสุดที่วัดบวรนิเวศวิหาร
แต่ปัจจุบันเส้นทางจากเสาชิงช้าสิ้นสุดที่วัดบวรฯ ถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่ของถนนตะนาว ทำให้เฟื่องนครในปัจจุบันเริ่มต้นที่แยกสี่กั๊กพระยาศรีและสิ้นสุดที่แยกสี่กั๊กเสาชิงช้า เหลือระยะทางแค่ 500 เมตรเท่านั้น
ถนนเฟื่องนครในอดีตไม่ได้มีแค่ความยาวที่ยาวกว่าปัจจุบัน แต่ยังควบตำแหน่งการเป็นหนึ่งในย่านการค้าอันคึกคักตามความหมายของชื่อถนน โดยเฉพาะร้านเพชรพลอยและทองคำ ซึ่งเป็นผลมาจากอิทธิพลชุมชนใกล้เคียงอย่าง ‘บ้านตีทอง’

อีกทั้งพื้นที่ของพระนครในอดีตเองยังเป็นแหล่งรวมศูนย์ราชการที่สำคัญมากมาย ส่งผลให้เกิดโรงพิมพ์ขึ้นบริเวณเฟื่องนครตามมา ธุรกิจสิ่งพิมพ์จึงเปรียบเสมือนผลพลอยได้ของทำเลย่าน
ยังไม่นับรวมร้านเครื่องประดับข้าราชการที่มีให้เห็นเรื่อยๆ ระหว่างทางของถนน เนื่องจากถนนเฟื่องนครตั้งอยู่ติดกับกระทรวงมหาดไทยด้วยเช่นกัน
เรียกได้ว่าครบสูตรถนนสายเศรษฐกิจอย่างเต็มตัว
‘Old Town Cafe’ Bangkok’ สแตนดิงบาร์คาเฟ่ (Standing Bar) เสิร์ฟบาแกตต์แซนด์วิชแห่งย่าน

หากใครขับรถผ่านสี่แยกสี่กั๊กพระยาศรีคงเคยสะดุดตากับผ้าใบกันแดดสีเขียวขี้ม้าขนาดใหญ่ ที่ภายใต้ผืนผ้านั้นมีคาเฟ่เรียบๆ ซ่อนตัวอยู่ และบริเวณหน้าร้านก็มีโต๊ะเก้าอี้เล็กๆ ที่ได้รับการจัดสรรพื้นที่เป็นอย่างดี
เราเลือกเริ่มต้นเช้านี้ด้วยการเดินเข้าคาเฟ่วินเทจที่เสิร์ฟแซนด์วิชและกาแฟทำเองจาก 2 เจ้าของร้านอย่าง ‘พี่น็อต-มาฆรินทร์ มุติตาภรณ์’ และ ‘พี่จิ-กฤษณ์ มุติตาภรณ์’
ความน่าสนใจของสถานที่แห่งนี้คือ ป้ายหน้าร้านที่ติดว่า ‘STAND BAR ONLY’ ชวนให้เราฉงนปนสงสัยว่า ร้านคาเฟ่ที่อนุญาตให้ยืนกินเท่านั้นจะมีบรรยากาศและหน้าตาเป็นยังไง
“ร้านนี้เปิดมาเข้าปีที่สิบสามแล้ว ในช่วงแรกร้านเราก็มีที่นั่ง แต่พอเริ่มทำร้านมาได้สักพัก บวกกับอายุที่เริ่มมากขึ้นแต่ยังอยากทำร้านเองอยู่ เลยมีการปรับเก้าอี้ออก เปลี่ยนให้ร้านเป็นแบบสแตนดิงบาร์แทน เพื่อให้ง่ายต่อการจัดการมากขึ้น”
พี่น็อตเล่าให้ฟังถึงแนวคิดตั้งต้นในการเปลี่ยนร้านเป็นแบบยืนกิน เพราะก่อนหน้านี้ ‘Old Town Cafe’ Bangkok’ เคยมีโต๊ะและที่นั่งให้บริการลูกค้า แต่ด้วยทำเลของเฟื่องนครที่มีโฮสเทลซ่อนตัวอยู่เต็มไปหมด ทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่มาใช้เวลาในคาเฟ่ในฐานะสถานที่พักผ่อนเอนกายมากกว่าการมากินขนมหรือดื่มกาแฟ

การเปลี่ยนร้านให้กลายเป็นคาเฟ่สำหรับยืนกินจึงเป็นวิธีการบริหารจัดการที่ง่ายและสะดวกต่อเจ้าของร้านทั้งคู่ ผู้คอยดูแลบาร์ยืนและเอาใจใส่ลูกค้าเองทั้งหมด
“แรกๆ ลูกค้าบางคนก็ไม่เข้าใจ เราเลยติดป้ายไว้ที่ทางเข้า เพื่อให้รับรู้และตัดสินใจเลือกกันตั้งแต่หน้าประตู” พี่น็อตเล่าถึงวิธีแก้ปัญหาด้วยการเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้ตัดสินใจเองตั้งแต่แรกหลังจากเลือกเปลี่ยนร้านเป็นสแตนดิงบาร์
ถึงอย่างนั้นร้านอาหารหรือกาแฟแบบยืนกินก็ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร โดยเฉพาะกับประเทศญี่ปุ่นที่ร้านอาหารแนวนี้ได้รับความนิยมแพร่หลาย หรือจะทางฝั่งยุโรปอย่างอิตาลีที่ผู้คนนิยมเข้าร้าน Espresso Bar ด้วยปัจจัยของความสะดวกและรวดเร็ว
แม้ในประเทศไทยเองจะยังไม่ค่อยมีร้านแนวนี้ให้เห็นมากนัก แต่การหันมาทำร้านให้กลายเป็นสแตนดิงบาร์ทั้งหมดของ Old Town Cafe’ Bangkok ทำให้สองเจ้าของร้านได้พบเจอบรรยากาศใหม่ๆ ในการมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้ามากขึ้น
“ด้วยความที่ร้านเรามีสไตล์แบบนี้ ลูกค้าที่เข้ามาจะเข้าใจและน่ารักกันทุกคน บางทีลูกค้าที่มายืนกินอาหารก็หันไปพูดคุยกันเอง เหมือนสภากาแฟที่คนมาพบปะพูดคุยกัน” ทั้งหมดนี้คือข้อดีของการหันมาทำร้านรูปแบบสแตนดิงบาร์ในมุมเจ้าของกิจการอย่างพี่จิ
พี่น็อตเสริมถึงข้อดีอีกอย่างในการเลือกทำร้านที่จำเป็นต้องยืนกินว่า ลูกค้าที่มาใช้บริการจะได้โฟกัสสิ่งแวดล้อมมากขึ้นไปด้วย ซึ่งเป็นความตั้งใจของทั้งสองที่อยากให้ผู้คนหันมาสนใจและซึมซับสิ่งรอบข้าง ขณะเดียวกัน อีกผลลัพธ์ที่ตามมาคือ ลูกค้าเองก็ได้สร้างบทสนทนาร่วมกัน ต่อให้มาจากคนละพื้นที่ ประเทศ และทวีปก็ตาม

นอกจากการออกแบบพื้นที่ที่ได้รับอิทธิพลมาจากต่างประเทศ เมนูยอดนิยมของคาเฟ่แห่งนี้ก็หนีไม่พ้นเมนูที่ผสมผสานความหลากหลายของวัฒนธรรมอย่างบาแกตต์แซนด์วิช ที่ปรับเปลี่ยนมาจากบั๊ญหมี่ แซนด์วิชแบบเวียดนาม และเพิ่มการคัสตอมไส้กับขนมปังตามความชื่นชอบของเจ้าของร้านทั้งสอง
“เราชอบกินยังไง เราก็ทำให้ลูกค้าแบบนั้น ทุกเมนูที่ทำขาย ถ้าไม่ทำแบบที่ทำกินเองก็คัดสรรมาจากร้านอื่นๆ ที่เรารู้จักและชอบรสมือของเขา” พี่น็อตเล่าถึงจุดเด่นอีกอย่างของคาเฟ่วินเทจแห่งนี้
เหตุผลที่ร้านนี้ซีเรียสเรื่องของกินที่สุด เพราะพี่จิกับพี่น็อตนี่แหละคือแฟนพันธุ์แท้อาหารอร่อยตัวจริง
“มาร้านนี้คุยอยู่เรื่องเดียวคือป้ายยาของอร่อยกันไปมา” พี่จิเล่าพลางหัวเราะ ก่อนขยายความต่อว่า ที่นี่ทำหน้าที่เป็นแหล่งรวมคนรักของอร่อย เพราะไม่ว่าแขกไปใครมา ทั้งคู่ก็ชวนคุยถึงเรื่องของกินรสเลิศทั้งสิ้น
“พี่อาศัยอยู่ที่เฟื่องนครมาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่ค่อยรู้จักใครเท่าไหร่ เพิ่งมารู้จักคนมากขึ้นก็ตอนทำร้านนี่แหละ” การทำคาเฟ่ที่มีความตั้งใจจะพูดคุยและบริการลูกค้าด้วยตัวเอง ส่งผลให้เจ้าของร้านทั้งสองมีปฏิสัมพันธ์กับย่านมากขึ้น พร้อมกับรู้จักบ้านใกล้เรือนเคียงผ่านการเป็นลูกค้าของร้าน
พี่น็อตและพี่จิทิ้งท้ายว่า แม้ Old Town Cafe’ Bangkok จะดำเนินการมาเป็นระยะเวลา 13 ปีแล้ว แต่พวกเขายังรักในสิ่งที่ทำอยู่ การได้พบลูกค้าที่น่ารักเป็นเหมือนความสุขทางใจในชีวิตที่ไม่ต้องออกไปหาความสุขจากที่อื่น แต่ได้รับจากงานที่ทำทุกวัน
‘Johny’s Gems’ ร้านอัญมณีเก่าแก่แห่งเฟื่องนคร ที่เปิดทำการมาแล้ว 65 ปี

เดินจาก Old Town Cafe’ Bangkok มาเป็นระยะทาง 300 เมตร จะพบกับตึกทรงโคโลเนียลสีเหลืองอ่อนที่มีทางเข้าเป็นประตูไม้ตั้งได้สมมาตรกับมุมถนน
หากเดินสำรวจย่านเมืองเก่าจะพบว่า หลายตึกในย่านมักสร้างในรูปแบบที่ทางเข้าชิดกับถนนโดยปราศจากช่องว่างทางเท้าหน้าตึก เนื่องจากการสร้างอาคารในสมัยก่อนไม่จำเป็นต้องมีระยะร่นสำหรับทางเดินเท้าข้างหน้า
เพราะการสัญจรในอดีต พาหนะอย่างรถยนต์ยังไม่นิยมมากนัก ผู้คนส่วนใหญ่เดินเท้าและขี่จักรยานบริเวณถนนกันซะมากกว่า ส่งผลให้ตึกที่สร้างในยุคก่อนไม่จำเป็นต้องมีพื้นที่หน้าตึกเว้นไว้ให้คนเดินเท้าเหมือนปัจจุบันนี้
รวมถึงตึกที่เป็นที่ตั้งของร้านอัญมณีอายุ 65 ปีหลังนี้เช่นกัน
“เมื่อก่อนแถวนี้คนพลุกพล่านมาก มีรถรางผ่าน บรรยากาศการค้าขายคึกคักทั้งฝั่งคนซื้อและคนขาย”
‘คุณสามารถ-สามารถ ซื่อเพียรธรรม’ เจ้าของร้านอัญมณีและเครื่องประดับที่เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2503 เท้าความถึงอดีตความเฟื่องฟูของถนนสายเศรษฐกิจเส้นนี้ให้ฟัง

แต่เดิมบริเวณข้างถนนเฟื่องนครเป็นชุมชนตีทอง ซึ่งเป็นแหล่งตีทองคำเปลวตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ และถัดไปอีกก็เป็นชุมชนบ้านหม้อ แหล่งรวมอัญมณี ทำให้แถบนี้กลายเป็นศูนย์รวมร้านเครื่องประดับจากหลากหลายวัสดุเลยก็ว่าได้
แม้ว่าในปัจจุบันธุรกิจเพชรหรืออัญมณีดูจะซบเซาลง หรือความนิยมตั้งร้านค้าเครื่องประดับแบบ Stand Alone จะมีน้อยลงกว่าเมื่อก่อนมาก เพราะร้านค้านิยมเปิดร้านขึ้นห้างฯ มากกว่า แต่ ‘Johny’s Gems’ คือร้านที่ยังอยู่รอดและจะเป็นแบบนี้ต่อไป
“สาเหตุที่ผมยังรักษาบรรยากาศเก่าๆ แบบนี้ไว้ เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาซื้อคือลูกค้าประจำกันมาแล้วหลายสิบปี หลายคนมักจะกลับมาบอกกับผมเสมอว่า ไปซื้อที่ไหนบรรยากาศก็ไม่เหมือนที่นี่”
คุณสามารถเล่าถึงสาเหตุที่ยังพยายามคงความดั้งเดิมของร้านให้ได้มากที่สุด พร้อมกับขยายความต่อว่า ความเก่าที่ตนหมายถึงไม่ใช่แค่การพยายามรักษาบรรยากาศเดิมๆ ไว้ แต่รวมถึงการบริการที่เป็นกันเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ Johny’s Gems ทำตั้งแต่วันแรกของการเปิดร้านจนถึงปัจจุบัน

ร้านอัญมณีแห่งนี้ขายเครื่องประดับทุกชนิด ไม่ว่าจะทำจากเพชร ทับทิม หรือทอง รวมถึงบริการของร้านก็มีตั้งแต่ขายเครื่องประดับสำเร็จรูป รับสั่งทำ ช่วยออกแบบ ไปจนถึงงานซ่อมดูแล ขอเพียงลูกค้าบอกมา Johny’s Gems ทำได้หมด
“ร้านเรามีช่างคอยดูแลทุกเรื่อง ตั้งแต่ช่างขึ้นตัวเรือน ช่างชุบ ช่างฝัง หรือจะส่งซ่อมก็ทำให้ได้ ด้วยความที่เราบริการครบวงจร เวลาลูกค้าสั่งทำเขาจะตกใจมากเพราะเราทำเสร็จภายในไม่กี่วัน”
เบื้องหลังของ Johny’s Gems ที่มีคุณสามารถเป็นหัวเรือใหญ่ มาพร้อมความน่าสนใจคือ แม้ร้านจะดำเนินการมาเป็นระยะเวลา 65 ปีแล้ว และมีทีมงานเบื้องหลังมากพอในการเป็นร้านอัญมณีครบวงจร แต่ในฝั่งการออกแบบและเปิดร้านให้บริการทุกวัน คนที่คอยรับลูกค้าและพูดคุยให้คำแนะนำก็ยังคงเป็นคุณสามารถเสมอมา
“เรื่องที่เราให้ความสำคัญที่สุดอันดับหนึ่งในการเปิดร้านขายเพชรคือความซื่อสัตย์ เราจะไม่โกหกลูกค้าเด็ดขาด ส่วนอันดับสองคือการบริการที่เป็นกันเอง” เจ้าของร้านเพชรยิ้มกว้าง เมื่อกล่าวถึงกุญแจหลักในการดำเนินร้าน Johny’s Gems มาได้อย่างยั่งยืนยาวนาน
นอกจากเซอร์วิสที่ทำได้ทุกอย่างแล้ว หากลูกค้าต้องการอะไรหรืออยากพูดคุยเกี่ยวกับสินค้าก็คุยกับเขาได้หมด ถึงขนาดเคยมีเหตุการณ์ที่ลูกค้าเข้ามาซื้ออัญมณี แต่คุยกันถูกคอจนจบที่เสิร์ฟอาหารปิดท้ายมาแล้ว
ปัจจุบันคุณสามารถคือทายาทรุ่นที่สองที่ดูแล Johny’s Gems โดยมีคุณพ่อของคุณสามารถเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้ง อย่างไรก็ตาม ร้านอัญมณีแห่งนี้ไม่เพียงส่งต่อรุ่นสู่รุ่นเฉพาะฝั่งคนขาย แต่ยังรวมถึงกลุ่มลูกค้าที่หลายคนก็เป็นลูกหลานของลูกค้าในยุคของคุณพ่อคุณสามารถด้วย

“ลูกค้าส่วนใหญ่ของที่ร้านเป็นชาวต่างชาติที่แนะนำต่อกันมา ด้วยความที่ร้านเปิดมาหกสิบห้าปี ในยุคพ่อผมมีลูกค้าที่เป็นปู่ย่าตายาย พอมาในยุคผมก็เป็นรุ่นลูกหลานอีกเจเนอเรชันหนึ่งมาซื้อ” เขาเล่าอย่างอารมณ์ดี
ขณะเดียวกัน ด้วยยุคสมัยที่เดี๋ยวนี้ใครๆ ต่างเข้าถึงข้อมูลได้มากขึ้น Johny’s Gems เองก็มีลูกค้าใหม่ๆ ที่ตามจากรีวิวมาซื้อบ้าง และแม้ธุรกิจเครื่องประดับจะถูกมองว่าเป็นสินค้าเฉพาะกลุ่ม เป็นสินค้าฟุ่มเฟือย แต่ร้านค้าแห่งนี้พร้อมที่จะต้อนรับลูกค้าทุกคนอย่างเปิดกว้างและเป็นกันเอง
เนื่องจากสินค้าในร้านมีให้เลือกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสไตล์คลาสสิกดั้งเดิมไปจนถึงงานออกแบบที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ อีกทั้งช่วงราคาก็กว้างมาก ตั้งแต่หลักสิบไปจนถึงเครื่องประดับชิ้นพิเศษราคาสูง พูดง่ายๆ ว่า ต่อให้มีงบจำกัดแต่เป็นคนรักเครื่องประดับ เข้ามาที่นี่ยังไงก็ได้ของติดไม้ติดมือกลับไปแน่นอน

“มันจะมีของสักกี่อย่างที่ถูกใช้ในโอกาสพิเศษและมีความหมายมากจนส่งต่อกันรุ่นสู่รุ่น” คุณสามารถทิ้งท้ายถึงเสน่ห์และความพิเศษของอัญมณีที่เขาคลุกคลีมาตลอดชีวิต และทำให้เขาอยากตื่นมาเปิดร้านรอต้อนรับคนที่ให้คุณค่าในสิ่งเดียวกัน
‘สวนเงินมีมา’ ร้านหนังสืออิสระอายุ 20 ปี ที่อยากให้ทุกคนมีความเป็นอยู่ที่ดี

ในอดีตเฟื่องนครเป็นถนนที่เต็มไปด้วยที่ตั้งของสำนักพิมพ์และโรงพิมพ์มากมาย หนึ่งในนั้นคือ ‘โรงพิมพ์ลมูลจิตต์’ ซึ่งปัจจุบันกลายมาเป็น ‘IM En Ville’ ร้านอาหารและคาเฟ่ยอดฮิตในหมู่คนไทยและชาวต่างชาติ
สาเหตุที่ถนนสายนี้รวมถึงเขตพระนครเคยเป็นที่ตั้งของเหล่าโรงพิมพ์เก่า นั่นเพราะบริเวณเกาะรัตนโกสินทร์เคยเป็นศูนย์กลางของกระทรวงราชการและสถานศึกษาต่างๆ ทำให้ต้องใช้เอกสารหรือสิ่งพิมพ์ปริมาณมากในการเรียนการสอนและงานราชการ ส่งผลให้ธุรกิจโรงพิมพ์ในพื้นที่นี้เฟื่องฟู
และหากโรงพิมพ์คือหลักฐานการมีอยู่ของศูนย์ราชการ ร้านหนังสืออิสระในย่านนี้คงเปรียบเสมือนมรดกตกทอดความรุ่งเรืองของสิ่งพิมพ์ในอดีต
‘สวนเงินมีมา’ เป็นหนึ่งในร้านหนังสือที่ตั้งอยู่บนถนนเฟื่องนคร โดยบริเวณนี้ยังมี ‘ศึกษิตสยาม’ ร้านหนังสืออิสระแห่งแรกของประเทศ รวมถึงร้านหนังสือ ‘เคล็ดไทย’ ที่อยู่ใกล้กัน

เดิมทีสวนเงินมีมาเริ่มต้นจากการเป็นสำนักพิมพ์ที่มุ่งเน้นผลิตเนื้อหานอกกระแส และชวนผู้คนตั้งคำถามถึงแนวคิดและเข้าใจสภาพความเป็นไปของสังคม ผ่านหนังสือหลายหมวดหมู่ ไม่ว่าจะเป็นศาสนธรรม ปรัชญา หรือวรรณกรรม ที่ปัจจุบันผันตัวมาเป็นร้านหนังสือ
จากสำนักพิมพ์ที่ใช้พื้นที่ร่วมกับศึกษิตสยาม สวนเงินมีมาค่อยๆ แยกตัวออกมาห่างจากทำเลเดิมไม่กี่บล็อก เพื่อเปิดหน้าร้านหนังสือและเพิ่มโซนคาเฟ่ขายเครื่องดื่มกับอาหาร รวมถึงสินค้างานฝีมือจากผู้ผลิตรายย่อยและชุมชน
“เราสนใจเรื่องของเกษตรอินทรีย์และระบบอาหารที่มีความเป็นธรรม เลยเป็นจุดเริ่มต้นนำสินค้าจากชุมชนที่เราคัดมาแล้วว่าไว้ใจได้มาวางขายในร้าน”
‘พี่เกียว-นงลักษณ์ สุขใจเจริญกิจ’ หนึ่งในทีมสวนเงินมีมาเล่าถึงแนวคิดหลักในการทำโซนคาเฟ่ ที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของสำนักพิมพ์ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิต ซึ่งไม่เพียงมองแค่ผลลัพธ์สุดท้ายแต่ยังรวมถึงกระบวนการที่เป็นธรรมด้วย

ด้วยเหตุนี้ โซนคาเฟ่ของที่นี่จะไม่ได้ให้แค่รสชาติอร่อย แต่อาหารและเครื่องดื่มหลายๆ เมนูยังมีพื้นฐานมาจากวัตถุดิบที่ดีตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
การเดินทางมาถึงสวนเงินมีมาในช่วงสายๆ ทำให้เราเห็นภาพของแสงแดดในวันฟ้าโปร่งที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่างของร้าน โดยมีพื้นหลังเป็นกำแพงวัดราชบพิธฯ ที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินขวักไขว่
โซนจำหน่ายหนังสือของสวนเงินมีมามีหนังสือหลากหลายประเภท โดยแต่ละเล่มล้วนได้รับการคัดสรรตามความเห็นและความสนใจของร้าน อีกจุดที่เราชอบคือ ที่นี่มีโซนหนังสือมือสองและที่นั่งให้ใช้เวลาดื่มด่ำตัวอักษรได้อย่างไม่ต้องเร่งรีบ

“พี่มองว่าร้านหนังสืออิสระแต่ละแห่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกัน ทำให้การเดินเข้าร้านหนังสือเป็นเหมือนประสบการณ์ที่เราต้องไปสัมผัสเอง” พี่เกียวบอกเล่าถึงเสน่ห์ของร้านหนังสืออิสระพลางยิ้ม
ยิ่งในยุคที่ผู้คนเริ่มลืมเลือนสิ่งพิมพ์และหันหน้าเข้าหาแพลตฟอร์มดิจิทัลมากขึ้น พี่เกียวมองว่าการอ่านหนังสือคือการได้ใช้เวลาอย่างช้าลง และเป็นเครื่องมือที่เปิดโอกาสให้ใช้เวลาผ่านช่องว่างระหว่างบรรทัด เพื่อให้เราตรึกตรอง ขบคิด รวมถึงใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมมาควบคู่ไปกับสารของตัวอักษรบนหน้าหนังสือ
แม้จะฟังดูเรียบง่าย แต่ใช่ว่ากิจการนี้จะดำเนินไปได้อย่างราบรื่น เจ้าของร้านหนังสือที่ทำงานในสำนักพิมพ์ควบคู่ไปด้วยแชร์ให้เราฟังว่า สำนักพิมพ์ต้องปรับตัวตามกระแสสังคมอยู่เรื่อยๆ เช่น การย่อยเนื้อหาให้คนอ่านง่ายขึ้น หรือจากเมื่อก่อนที่ทำหนังสือ 400 – 500 หน้าก็ไม่กังวลว่าจะไม่มีใครอ่าน แต่ปัจจุบันจำเป็นต้องควบคุมปริมาณหน้าให้เหลือน้อยลง ทำไซซ์ให้คนพกพาสะดวกขึ้น

ถึงอย่างนั้น เธอเองเชื่อว่าคงมีอีกหลายกิจการหรืออุตสาหกรรมที่ต้องปรับตัวไม่แพ้กัน “อย่างร้านค้าในย่านพระนครเมื่อก่อนกว่าจะได้กินเมนูพิเศษครั้งหนึ่งต้องรอตามฤดูกาล เดี๋ยวนี้พี่ก็เห็นขายตลอดทั้งปี” เธอเล่าพลางหัวเราะ แม้จะรู้สึกเสียดายนิดหน่อยที่ความละเมียดละไมในการเฝ้ารอบางอย่างนั้นหายไป แต่พี่เกียวก็เข้าใจในฝั่งของร้านค้าที่ต้องเอาตัวรอดให้ได้ในยุคสมัยที่ทุกอย่างเข้าถึงง่ายไปหมด
แวะเวียนกลับไปเยี่ยม ‘หัตถกรรมมาคาร’ ซอสพริกศรีราชาในตำนานแห่งถนนเฟื่องนคร

เรากลับมาเยี่ยมเยียน ‘ซอสพริกศรีราชา ตราเหรียญทอง’ ในรอบ 5 ปี แม้ครั้งนี้เราจะไม่ได้พบกับทายาทรุ่นที่ 3 เหมือนอย่างเคย แต่โชคดีที่บังเอิญไปตรงกับวันที่ซอสล็อตใหม่เพิ่งผลิตเสร็จพอดิบพอดี ทำให้ได้พบกับ ‘พี่ชาย-สุลักขินท์ สุวรรณประสพ’ ทายาทรุ่นที่ 4 แห่งซอสพริกศรีราชา ตราเหรียญทอง
“ปัจจุบันร้านเปิดเข้าปีที่เก้าสิบสามแล้วครับ” พี่ชายบอก
“ปกติแล้วซอสล็อตหนึ่งใช้เวลาทำประมาณหนึ่งเดือน แค่ขั้นตอนดองพริกก็ใช้ไปแล้วสองอาทิตย์ รวมขั้นตอนอื่นอีกก็ปาไปแล้วยี่สิบวัน” ทายาทรุ่นที่ 4 สรุปรวบยอดขั้นตอนกว่าจะมาเป็นซอสพริกให้เราฟัง

“เดือนหนึ่งจะทำได้แค่หนึ่งล็อต ถ้าสินค้าในรอบนั้นขายหมดไวก็ต้องรอไปอีกเดือนหนึ่งเลย”
เราถามไถ่ถึงความเป็นไปของร้านกับทายาทรุ่นที่ 4 และดูเหมือนว่าร้านซอสแห่งนี้ยังเป็นเหมือนเวอร์ชันเมื่อ 5 ปีที่แล้วที่โรงงานยังตั้งอยู่หลังร้านเหมือนเคย โดยซอสของทางร้านมี 2 สูตร ได้แก่ สูตรเผ็ดน้อยที่ทำจากพริกชี้ฟ้าแดง และสูตรเผ็ดมากที่ทำจากพริกจินดาแดง
นอกจากรสชาติของซอสที่ยังคงเดิมแล้ว องค์ประกอบในร้าน ‘หัตถกรรมมาคาร’ ก็ยังเหมือนเดิมตั้งแต่ประตูบานเฟี้ยมไม้สีเขียว หรือตู้กระจกเก่าสำหรับวางโชว์สินค้า รวมถึงลูกค้าที่แวะเวียนมาซื้ออยู่เรื่อยๆ

แม้ทายาทรุ่นที่ 4 จะบอกกับเราว่า สัดส่วนคนเดินเฟื่องนครในปัจจุบันเป็นชาวต่างชาติเสียส่วนใหญ่ แต่สำหรับร้านซอสเก่าแก่อายุเกือบ 100 ปี ดูเหมือนว่าผู้คนที่แวะเวียนมาจะมีทั้งขาประจำและหน้าใหม่สลับกันไป ต่อยอดเส้นทางของซอสพริกศรีราชาแบรนด์นี้ให้ยืดยาวไปได้อีกหลายปี
‘บพิธ CHA.BO.PITH’ คาเฟ่ชาจีนที่หลงใหลในทุกองค์ประกอบในโลกใบชา

“ชากับสังคมไทยอยู่ด้วยกันมาตลอด ไม่ได้ดังจนสุดขั้วแต่มันก็ไม่หายไปไหน”
‘มิกซ์-จิรัฏฐ์ สุวรรณเกตุ’ ผู้ประกอบการหน้าใหม่แห่ง ‘บพิธ CHA.BO.PITH’ กล่าวถึงสถานะของชาจีนในสังคมไทยให้เราฟัง

ปัจจุบันคาเฟ่ชาจีนแห่งนี้เปิดให้บริการมาแล้ว 1 ปี โดยมีมิกซ์ยืนหนึ่งเป็นคนอบขนมในร้านจนถึงคนชงชาที่ยืนหน้าบาร์ เพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องชาๆ แก่ลูกค้าด้วยตัวเอง
คาเฟ่ขนาดย่อม บพิธ CHA.BO.PITH แห่งนี้มีจุดเริ่มต้นจากความชอบกินขนม นำมาสู่การเข้าครัวทำขนมแบ่งไปให้เพื่อนๆ ชิม ก่อนจะขยายออกไปตามความสนใจและแพสชันของคนทำ
จากก้าวแรกในการเป็นนักอบขนมมือสมัครเล่นก็เริ่มอยากกระโดดลงไปในตลาดการซื้อขายบ้าง เจ้าของร้านชาในบทบาท Baker จึงเริ่มต้นทำขนมขาย โดยเริ่มจากขายให้เพื่อนร่วมงานก่อน
“พอเริ่มทำขนมขายไปเรื่อยๆ ก็อยากเปิดร้าน แต่พอมานั่งคิดว่าถ้าเกิดขายแค่ขนมอย่างเดียวเราคงเบื่อแน่ๆ เพื่อนเลยป้ายยาให้ได้รู้จักกับชา”

โดยปกติแล้วออเดอร์ขนมที่มิกซ์ได้รับมักมาในรูปแบบเมนูซ้ำๆ กัน แต่ด้วยความที่เขาเป็นคนชอบทำอาหารหลากหลายชนิด อาการเบื่อที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ทำให้ต้องมองหากิจกรรมอย่างอื่นสำรอง จนมาเจอการชงชาที่ดูเหมือนจะตอบโจทย์สิ่งที่ตามหา เพราะเป็นศาสตร์ที่เปิดโอกาสให้ได้รู้จักวิธีและวัตถุดิบที่หลากหลาย จนทำให้เขากระโดดเข้าวงการชาและอยู่มาจนถึงทุกวันนี้
“ส่วนตัวผมเป็นคนอินกับเรื่องศิลปวัฒนธรรมและเรียนภาษาจีนอยู่แล้ว พอเจอกับชาที่เป็นเครื่องดื่มที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ เราเลยถลำลึกไปกับมันมาก”
นอกเหนือจากความสนใจในชาและขนมแล้ว อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เจ้าของร้านชาเลือกเดินสายนี้อย่างเต็มตัวคือ เขาอยากมีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น
“ก่อนจะออกมาทำร้าน ผมเป็นเภสัชฯ มาก่อน ส่วนใหญ่สภาพแวดล้อมก็จะวนเวียนอยู่ในโรงพยาบาล รวมถึงด้วยลักษณะของอาชีพเองทำให้ไม่ค่อยได้มีเวลาอยู่กับครอบครัวเท่าไหร่ เราเลยอยากออกจากงานเพื่อมาเติมเต็มตรงนี้”
ประจวบเหมาะกับสถานที่ตั้งของร้าน บพิธ CHA.BO.PITH เป็นบ้านที่มิกซ์และครอบครัวอาศัยอยู่มาตั้งแต่รุ่นคุณทวดจนถึงปัจจุบัน แม้จะต้องลงทุนรีโนเวตพื้นที่สักหน่อย ซึ่งถือว่าเป็นการแบกรับความเสี่ยงการทำธุรกิจในครั้งแรก แต่เจ้าของร้านชาก็คิดบวกว่า อย่างน้อยผลที่ได้รับกลับมาคือบ้านที่สวยพร้อมกับวิวกำแพงวัดราชบพิธฯ ที่สมมาตรรับหน้าต่างชั้นสองของร้านพอดี
แม้ถนนเฟื่องนครจะมีคาเฟ่เข้ามาและผันตัวกลายเป็นย่านท่องเที่ยวมากขึ้น แต่สำหรับเจ้าของร้านชาที่เกิดและโตที่ย่านนี้มองว่า อัตราครัวเรือนที่ย้ายออกจากย่านเริ่มมีมากขึ้น สวนทางกับการเข้ามาของร้านค้า

สำหรับเขาแล้ว เฟื่องนครเปรียบเป็นกราฟที่ขึ้นๆ ลงๆ ทิศทางของถนนเฟื่องนครในตอนนี้ดูเหมือนจะคึกคักขึ้นมาหน่อยหากเทียบกับช่วงโควิด เนื่องจากคาเฟ่ ร้านอาหาร รวมถึงโฮสเทลเองที่ทยอยเข้ามาเปิดเรื่อยๆ
“ลูกค้าร้านเราส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติที่มักจะเป็นคนที่ดื่มชาอยู่แล้ว เช่น คนญี่ปุ่นหรือคนยุโรป อย่างฝั่งยุโรปจะมีมาเยอะหน่อยเพราะวัฒนธรรมบ้านเขาดื่มชากัน เลยจะคุ้นเคยกับความหลากหลายของชาประมาณหนึ่ง”
ชายหนุ่มแห่งร้านชาอธิบายให้เราฟังถึงสัดส่วนลูกค้าว่า ส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่ขาประจำที่ดื่มชาอยู่แล้วก็เป็นนักท่องเที่ยวขาจรที่เดินผ่านหรือพักอยู่บริเวณนี้ ด้วยความที่กระแสชาจีนหรือคาเฟ่ชายังไม่ได้เป็นที่นิยมในไทยนัก รวมถึงเป็นร้านแรกๆ ในย่าน จึงน่าจะยังไม่สามารถดึงดูดคนมากเท่าไหร่
แม้กระแสชาจีนหรือสัญชาติอื่นในไทยจะยังไม่ได้รับความนิยมเท่าไหร่หากเทียบกับเครื่องดื่มชนิดอื่นอย่างกาแฟหรือชาเขียว แต่คุณมิกซ์แห่ง บพิธ CHA.BO.PITH ก็ยืนยันว่า สังคมไทยกับชาอยู่คู่กันมาอย่างยาวนาน เกิดเป็นคลาสเลกเชอร์วิชาชากับสังคมไทย 101 ให้เราฟังเพลินๆ
“ผมว่าชาเป็นเครื่องดื่มที่ค่อนข้างสัมพันธ์กับวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะพิธีกรรมหรือประเพณี มันมีชาแทรกอยู่เสมอ
“อีกความน่าสนใจของชาคือ การเริ่มต้นจากต้นไม้แค่พันธุ์เดียว จากนั้นขยายไปอยู่ทุกมุมโลก และแต่ละที่ก็พัฒนาชาให้มีเอกลักษณ์ของตัวเอง ทั้งรูปแบบการชง วิธีการปลูก การทำใบชา

“เราเห็นความหลากหลายจากชา เพราะชาแต่ละแบบถูกปรับตามวัฒนธรรมท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่” เจ้าสำนักชาอธิบาย ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าเป็นชาไทยต้องชงกับนมข้นหวาน รสชาติต้องหวาน เป็นสีส้มถึงใจ ในขณะเดียวกัน ชาอังกฤษต้องผสมนมจืดให้สีและรสชาตินวลละมุน
โลกของชายังไม่จบสิ้นและดูเหมือนจะมีอีกหลายองค์ประกอบที่เรายังไม่รู้ ไม่ว่าจะเป็น ‘การชงชา’ ที่คุณมิกซ์ทรีตว่าเป็นเหมือนกิจกรรมด้านจิตวิญญาณ (Spiritual) รูปแบบหนึ่ง เนื่องจากเราต้องรอให้ชาแต่ละตัวค่อยๆ คายรสชาติออกมา ซึ่งล้วนแล้วแต่ใช้ความใจเย็นในการรอพอสมควร และหากเป็นคนที่อินในชาจริงๆ จะรับรู้รสมือได้ว่าวันนี้คนชงอารมณ์ดีหรือไม่
จากการใช้เวลาช่วงบ่ายไปกับเจ้าของร้านชาจีนแห่งถนนเฟื่องนคร ทำให้เราตระหนักถึงอีกความน่าสนใจของโลกของใบชา นั่นคือ การปล่อยให้ประสาทสัมผัสทั้งห้าได้ทำงานอย่างช้าๆ
และดูเหมือนจะไม่ใช่แค่ใบชาที่กำลังเบลนด์ไปกับน้ำร้อนอุณหภูมิเหมาะสม แต่เราในฐานะคนฟังเองก็กำลังดำดิ่งไปตามเรื่องราวของใบชาจากเจ้าของร้านคนนี้ด้วย นับเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่เข้ามาเติมสีสันและรสชาติใหม่ๆ ให้ถนนเฟื่องนคร

ทุกกิจการที่เราได้แวะเวียนไปในถนนสายนี้ต่างเป็นร้านที่เกิดขึ้นได้เพราะความรักและแพสชันของเจ้าของ หากใครกำลังตามหาย่านสำหรับเดินเล่นสุดสัปดาห์ (หรือจะไปวันธรรมดาหลังเลิกงานก็ได้เพราะถนนสั้นมาก) ขอฝากเฟื่องนครไว้เป็นหนึ่งตัวเลือก
เพราะต่อให้ไปช่วงเย็นย่ำค่ำมืด ร้านรวงที่เราแนะนำปิดแล้ว ในย่านก็ยังมีสถานที่อื่นๆ ที่น่าไปอีกจำนวนมาก นับเป็นย่านเมืองเก่าที่เดินง่าย มีอะไรให้สอดส่องตลอดสองข้างทาง
ไม่ว่าจะไปตามรอยกินของอร่อย แวะไปอ่านหนังสือ เข้าร้านชา เดินดูเครื่องประดับ เสพร่องรอยความเฟื่องฟูในอดีต หรือใช้เวลาให้ช้าลงผ่านการละเมียดกับสิ่งตรงหน้าที่เป็นหลักฐานบอกเล่าถึงช่วงเวลาในประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบันของถนนสายแรกๆ ในประเทศไทยก็ตาม