การให้เมืองและพื้นที่สีเขียวอยู่รวมกันอาจฟังดูเป็นเรื่องยากที่จะให้ทั้ง 2 อย่างเดินหน้าไปพร้อมกันอย่างยั่งยืน แต่คงไม่เกินความสามารถของประเทศเล็กๆ แต่อัดแน่นไปด้วยคุณภาพอย่างสิงคโปร์แน่นอน
‘Singapore Green Plan 2030’ คือแผนพัฒนาเมืองสิงคโปร์ให้อยู่ร่วมกับพื้นที่สีเขียวได้อย่างยั่งยืน โดยการปลูกต้นไม้เพิ่มกว่า 1 ล้านต้น ขยายพื้นที่ปั่นจักรยานให้มากขึ้น แบนรถที่ใช้น้ำมันดีเซลให้ได้ภายในปี 2025 ลดปริมาณขยะฝังกลบต่อครัวเรือนลง 30 เปอร์เซ็นต์ แล้วหันมาพัฒนาโครงสร้างการรีไซเคิลขยะแทน ขณะเดียวกันก็เรียกร้องให้บริษัทต่างๆ มีความรับผิดชอบต่อขยะที่พวกเขาสร้าง รวมไปถึงเพิ่มการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ขึ้น 5 เท่า นอกจากนี้ ตึกที่สร้างภายในปี 2030 จะต้องใช้พลังงานต่ำสุดตามมาตรฐานที่รัฐบาลกำหนด
ด้วยแผนนี้เอง สิงคโปร์จะกลายเป็นเมืองที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุดในโลก พื้นที่ 1 ใน 3 ของเมืองจะถูกปกคลุมด้วยต้นไม้ นอกจากจะเป็นการช่วยลดมลพิษแล้ว ยังนำไปสู่การมีสุขภาพที่ดีอีกด้วย
RELATED POSTS
District Cooling System ทางออกการลดอุณหภูมิแบบรักษ์โลกของสิงคโปร์
เรื่อง
มณิสร วรรณศิริกุล
ปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกต่างต้องเผชิญกับ ‘ปรากฏการณ์เกาะความร้อน’ หรือ ‘Urban Heat Island (UHI)’ เหตุการณ์ที่พื้นที่ในเมืองมีอุณหภูมิสูงกว่าบริเวณรอบนอกอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีสาเหตุมาจากการสะสมความร้อนของเมือง อันเนื่องมาจากกิจกรรมของมนุษย์ และสิ่งปลูกสร้างภายในเมืองที่เพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ต้นไม้ในเมืองลดลง ทำให้แต่ละเมืองเริ่มมองหาเครื่องมือหรือนโยบายต่างๆ ที่จะช่วยบรรเทาให้ความร้อนในเมืองลดลง หนึ่งในนั้นคือ ‘สิงคโปร์’ ที่เล็งเห็นถึงปัญหานี้ จึงได้จัดตั้งโครงการ ‘Cooling Singapore’ ขึ้นมาตั้งแต่ปี 2017 เพื่อแก้ไขปัญหาปรากฏการณ์เกาะความร้อนโดยตรง ผ่านการออกแบบเมือง เพิ่มพื้นที่สีเขียว และนำนวัตกรรมที่เรียกว่า ‘District Cooling System (DCS)’ เข้ามาช่วย ดับร้อนด้วย Cooling Singapore ปรากฏการณ์ UHI ทำให้ประเทศสิงคโปร์ที่มีภูมิอากาศแบบร้อนชื้นเป็นทุนเดิม มีอุณหภูมิเพิ่มสูงมากขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุเกิดจากการเพิ่มจำนวนป่าคอนกรีตบริเวณใจกลางเมือง จนทำให้อุณหภูมิในตัวเมืองสิงคโปร์สูงกว่านอกเมืองถึง 7 องศาเซลเซียส และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอีก 1.4 – 4.6 องศาเซลเซียสภายในปี 2100 จากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกด้วย ซึ่งถ้าสิงคโปร์มีอุณหภูมิสูงขึ้นตามที่คาดการณ์ หมายความว่าผู้คนอาจต้องใช้พลังงานในการสร้างความเย็นมากกว่าเดิม ส่งผลให้ภาวะโลกร้อนรุนแรงขึ้น ดังนั้น สิงคโปร์จึงต้องหาวิธีควบคุมอุณหภูมิเมืองไม่ให้ร้อนขึ้น เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้มากที่สุด […]
ส่องโครงการกรีนๆ จาก เซ็นทรัล รีเทล ศึกษากลยุทธ์ วิธีการเป็นองค์กร Green & Sustainable Retail ที่แรกของไทย
เรื่อง
Urban Creature
เป็นไปได้ไหมที่ค้าปลีกขนาดใหญ่จะเป็นองค์กรที่ Green & Sustainable ได้ หลายคนอาจรู้จัก เซ็นทรัล รีเทล ในแง่มุมของค้าปลีกที่มีทั้ง ห้างเซ็นทรัล ศูนย์การค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ท็อปส์ ไทวัสดุ และร้านค้าเฉพาะทางต่างๆ เรามักนึกถึงเป็นตัวเลือกแรกเวลาไปช้อปปิง แต่ความจริงแล้ว เซ็นทรัล รีเทล ยังเป็น ‘Green & Sustainable Retail’ องค์กรค้าปลีกที่แรกของไทยที่คิดถึงสังคมและสิ่งแวดล้อมตลอดกระบวนการทำงาน เพราะมีเป้าหมายที่ตั้งใจจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ให้ได้ภายในปี 2593 เซ็นทรัล รีเทล จึงคิดทำโครงการกรีนๆ และสร้างความยั่งยืนออกมามากมายทั้ง จริงใจ Farmers’ Market, Love the Earth, ขวดเปล่า ไม่สูญเปล่า และ Journey to Zero ตัวอย่างเหล่านี้คือโครงการที่เซ็นทรัล รีเทล คิดจริง ทำจริง ใช้กลยุทธ์ CRC ReNEW ที่เกิดขึ้นจากการนำเอาเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (Sustainable Development […]
SingaporeReimagine เที่ยวสิงคโปร์แนวใหม่ เปิดประสบการณ์ท่องเที่ยวยั่งยืน สุขภาพดี อาหารหลากหลายและสถานที่สุดสร้างสรรค์
เรื่อง
Urban Creature
ช่วงนี้กำลังมองหาประเทศที่เดินทางไปเที่ยวง่ายๆ กันอยู่ใช่ไหม ตอนนี้สิงคโปร์กลับมาเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมเปิดตัวการท่องเที่ยวแคมเปญใหม่ SingaporeReimagine เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลกอีกครั้ง ถ้ายังไม่รู้ว่าทริปสิงคโปร์รอบนี้ไปไหนดี ลองเลือกดูจากแคมเปญนี้กันได้เลย! SingaporeReimagine แคมเปญการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ที่เน้นสร้างประสบการณ์ใหม่ ผ่าน 4 หัวใจหลักจากการท่องเที่ยวสิงคโปร์ ได้แก่ การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน สุขภาพดี ประสบการณ์อาหารที่หลากหลาย และสถานที่เที่ยวอันน่าตื่นตาตื่นใจ 1. ด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (Sustainability) สิงคโปร์ชูการท่องเที่ยวให้อยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างยั่งยืน เป็นเมืองในธรรมชาติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยว, อาหารการกิน, กิจกรรมช้อปปิง และรูปแบบการท่องเที่ยว ก็จะต้องสอดคล้องกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนเพื่อสร้างเมืองที่มีคุณภาพด้านสิ่งแวดล้อมไปด้วยกัน 2. ด้านสุขภาพที่ดี (Wellness) สิงคโปร์ให้ความสำคัญต่อการมีสุขภาวะที่ดีทั้งร่างกายและจิตใจ จึงส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวได้รับประสบการณ์ที่ช่วยผ่อนคลายหรือสร้างความสดชื่น พร้อมการฟื้นฟูสุขภาพให้ดียิ่งขึ้นในขณะท่องเที่ยว ราวกับว่าได้มีโอกาส ‘ชาร์จแบตฯ ให้ชีวิต’ อีกครั้ง 3. ด้านประสบการณ์อาหารที่หลากหลาย (Food & Dining) สิงคโปร์คือแหล่งรวมความหลากหลายของอาหารตั้งแต่ระดับสตรีทฟู้ดไปจนถึงไฟน์ไดนิง และการหลอมรวมวัฒนธรรมอาหารจากหลากเชื้อหลายชาติที่ซ่อนเรื่องราวและประวัติศาสตร์ของชาติสิงคโปร์อยู่ในทุกจาน 4. ด้านสถานที่ท่องเที่ยวอันน่าตื่นตาตื่นใจ (Novelty & Excitement) ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์สุดพิเศษที่จะเกิดขึ้นครั้งแรกในสิงคโปร์หรือมีเฉพาะที่สิงคโปร์เท่านั้น อาทิ SkyHelix Sentosa […]
พนักงานสิงคโปร์เกินครึ่ง ยอมรับว่ากำลังเบิร์นเอาต์ และงานไม่ใช่เป้าหมายสำคัญที่สุดอีกต่อไป
เรื่อง
Urban Creature
รายงานฉบับใหม่จาก Employment Hero ผู้ให้บริการด้านทรัพยากรบุคคล ได้สอบถามพนักงานชาวสิงคโปร์ 1,005 คน เกี่ยวกับการทำงานและคุณภาพชีวิตในการทำงาน ซึ่งคำตอบก็แสดงให้เห็นเลยว่า 62 เปอร์เซ็นต์ ของพนักงานแดนลอดช่องกำลังประสบกับภาวะหมดไฟ งานวิจัยชิ้นเดียวกันนี้ยังระบุว่า พนักงาน 57 เปอร์เซ็นต์ระบุว่ามี Work Life Balance แต่ก็ไม่ได้อยู่ในระดับที่ดีนัก เรียกว่าสมดุลระหว่างชีวิตกับการทำงานอยู่ในขั้นปริ่มๆ เท่านั้น ซึ่งหลักที่ทำให้เกิดอาการเบิร์นเอาต์ของผู้ทำการวิจัย มาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กระทบต่อการทำงานและกระทบกับสุขภาพจิตด้วย พนักงาน 43 เปอร์เซ็นต์ ยอมรับว่าการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ส่งผลกระทบในทางลบต่ออาชีพการงาน ขณะที่ 68 เปอร์เซ็นต์บอกว่าพวกเขาค่อนข้างเครียดเรื่องการเงิน และมีพนักงาน 65 เปอร์เซ็นต์ ยืนยันว่าระดับความเครียดของพวกเขาในที่ทำงานสูงขึ้นมากจากผลกระทบของโควิด-19 อาการหมดไฟในการทำงานไม่ใช่เรื่องล้อเล่น และส่งผลกระทบกับงานที่ทำโดยตรง ผลวิจัยบอกว่าพนักงาน 42 เปอร์เซ็นต์รู้สึกว่าสภาวะหมดไฟทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานต่ำลง และคนทำงานที่ปราศจาก Work Life Balance มีแนวโน้มที่จะรู้สึกหมดไฟถึง 52 เปอร์เซ็นต์ และพนักงานที่ผลงานส่วนตัวไม่ดีและไม่มีเวลาสำหรับชีวิตมิติอื่น ก็จะสร้างวงจรของความเหนื่อยหน่ายและความเครียดที่หนักกว่าเดิมด้วย สถิติที่สำคัญอย่างหนึ่งสำหรับนายจ้างคือ 49 เปอร์เซ็นต์ของพนักงานยอมรับว่า อาชีพของพวกเขาไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองจะให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกอีกต่อไป แต่ให้ความสำคัญกับสุขภาพจิต […]