ไหนๆ เวลาไปต่างประเทศเรามักจะไม่ยั่น เดินเที่ยวกันได้ทั้งวัน งั้นลองมาเดินสำรวจเมืองเวลาไปเที่ยวตามย่านหรือจังหวัดต่างๆ ในบ้านเราบ้างดีไหม
หากใครยังจำได้ Urban Creature เคยคุยถึงเรื่องการเดินท่องเที่ยวกับ ‘WABU’ แพลตฟอร์มที่อยากชวนคนเดินเท้าสำรวจเส้นทาง เพื่อสัมผัสความสวยงามของพื้นที่และวิถีชีวิตในจังหวัดต่างๆ โดย ‘พี่อ๋อย-พิมพิมล คงเกรียงไกร’ ผู้ร่วมก่อตั้งแพลตฟอร์มได้ทิ้งท้ายเอาไว้ว่า กำลังจะมีเส้นทางใหม่ให้เรารอติดตาม หลังจากนั้นไม่นาน เส้นทางที่ว่าก็ปรากฏบนเว็บไซต์ gowabu.com
‘สกลนคร’ คือเส้นทางล่าสุดที่ WABU นำร่องสำรวจพื้นที่ พร้อมมาร์กจุดต่างๆ ที่น่าสนใจในเส้นทางการเดินเอาไว้ให้เหล่านักเดินทาง (เท้า) โดยที่นี่เป็นจังหวัดที่ขึ้นชื่อเรื่องผ้าย้อมคราม สถาปัตยกรรมเก่าแก่ และมีชุมชนคาทอลิกขนาดใหญ่ ซึ่งรายละเอียดทั้งหมดนี้ถูกรวมไว้ในเส้นทางเดินด้วย
หลังจากที่สำรวจเส้นทางเรียบร้อยแล้ว WABU ได้ร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัด Walking Trip เล็กๆ และชวนเราออกไปร่วมเดินเส้นทางใหม่ล่าสุดนี้ด้วยกัน
การไปสกลนครครั้งแรกของเราจึงเกิดขึ้นด้วยเหตุนี้
เดินเท้าชมสองเส้นทางในสกลนคร

สำหรับเส้นทางการเดินในเมืองสกลนครนั้น WABU แยกเป็นสองเส้นทางที่อุดมไปด้วยศิลปวัฒนธรรม หนึ่งคือ ย่านเมืองเก่าในตัวเมืองสกลนคร และสองคือ บ้านท่าแร่ ทั้งสองย่านนี้มีจุดเชื่อมโยงที่ใกล้เคียงกันอย่างการมีศาสนสถานและสถาปัตยกรรมโดดเด่นสวยงาม ส่งผลให้เราเพลิดเพลินกับวิวทิวทัศน์และวิถีชีวิตชุมชนที่พบเจอในระหว่างการก้าวเดิน
‘เมืองเก่าสกลนคร’ ย่านโบราณที่เต็มไปด้วยวิถีชีวิตของคนหลายเชื้อชาติ

เราเริ่มต้นเดินด้วยเส้นทางแรก ‘ย่านเมืองเก่า’ เมืองโบราณที่มีผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมล้อมรอบด้วยคูน้ำและคันดิน ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งข้อดีที่ทำให้การเดินในเมืองง่ายมากขึ้น เนื่องจากมีเส้นทางที่แน่นอน เข้าใจง่าย
อีกทั้งภายในเมืองเก่าไม่ได้มีแค่วัฒนธรรมของชาวไทยอีสานเท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยเรือนแถวไม้สำหรับค้าขายของชาวจีนและชาวญวนอพยพ
บ้านเสงี่ยม-มณี จากบ้านเก่ากว่า 70 ปี สู่บ้านพักน่ารักกลางเมือง

จุดสตาร์ทในการสำรวจเส้นทางเมืองเก่าอยู่ที่ ‘บ้านเสงี่ยม-มณี’ บ้านไม้สามชั้นอายุกว่า 70 ปี ภายใต้การดูแลของ ‘ติ๊ดตี่-ธรรศ วัฒนาเมธี’ และ ‘ฟ้า-อัชฌา สมพงษ์’ สองสถาปนิกเจ้าของบ้านรุ่นที่ 3 ผู้เปลี่ยนบ้านเก่าดั้งเดิมหลังนี้ให้เป็นที่พักขนาดเล็กใจกลางเมืองเก่าสกลนคร โดยยังคงอนุรักษ์และคงสภาพบ้านเก่าบางส่วนเอาไว้ ผสมผสานกับการต่อเติมตัวบ้านแบบในปัจจุบันได้อย่างลงตัว
ไม่เพียงเปิดเป็นที่พักเท่านั้น แต่ชั้นหนึ่งของบ้านเสงี่ยม-มณียังเป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อม ที่บอกเล่าเรื่องราวของการอนุรักษ์บ้านเก่า พร้อมทั้งยังมีโฮมเมดคาเฟ่เล็กๆ ชื่อ ‘CUUN and Co.’ เปิดต้อนรับผู้คนที่ผ่านไปผ่านมา และทำหน้าที่เป็นพื้นที่พบปะพูดคุยของผู้เข้าพัก
หลังจากเดินตามติ๊ดตี่ขึ้นไปชมความงามของบ้าน เมื่อลงมาชั้นล่างก็มีไอศกรีมรสเกลือสินเธาว์และรสคราม ซึ่งเป็นอีกหนึ่งของดีของสกลนคร เตรียมไว้ให้เราละเลียดความหวานเย็นอร่อยคลายร้อน
พระธาตุเชิงชุม ศูนย์รวมใจของคนในชุมชน

เมื่อเติมพลังด้วยของหวานแล้ว ก็พร้อมออกเดินทางกันต่อ การเดินทางในช่วงแรกนี้เราได้ ‘พี่ยิปซี จันทร์เพ็งเพ็ญ’ ‘อาจารย์ธนวดี ละม่อม’ และติ๊ดตี่ มารับบทเจ้าย่านพาเราเดินเท้ามุ่งหน้าไปยัง ‘พระธาตุเชิงชุม’ สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองสกลนคร
พระธาตุแห่งนี้ตั้งอยู่ภายใน ‘วัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร พระอารามหลวง’ ความน่าสนใจอยู่ที่พระธาตุทรงบัวเหลี่ยม ซึ่งเป็นศิลปะล้านช้างที่จะสังเกตเห็นได้ตั้งแต่ก้าวเข้าวัดไป เนื่องจากเป็นการสร้างครอบปราสาทหินศิลาแลงแบบขอมองค์เดิมไว้
นอกจากนี้ ภายในวัดยังมีอาคารสิม หรืออุโบสถโบราณ โดดเด่นด้วยภาพจิตรกรรมเถาไม้เลื้อย ภาพเทพบุตรและเทพธิดา รวมถึงหอกลองและหอระฆังสูงสามชั้นที่มีสถาปัตยกรรมและภาษาเวียดนามปรากฏให้เห็น นับเป็นหนึ่งหลักฐานที่สะท้อนให้เห็นว่า พระธาตุแห่งนี้เป็นศูนย์รวมใจของคนหลากหลายเชื้อชาติในจังหวัดสกลนคร

กองทัพต้องเดินด้วยท้องฉันใด คนเดินเที่ยวแบบเราก็ต้องหาของกินอร่อยๆ เติมท้องฉันนั้น
ในเส้นทางนี้มีจุดแวะเติมพลังอย่าง ‘ร้านกุนเชียงยายทองคำ’ ร้านของฝากเก่าแก่ที่เริ่มต้นจากการขายกุนเชียงคุณภาพดี รสชาติหวานอร่อย ก่อนจะขยายสินค้าแตกไลน์ออกมาเป็นไส้กรอกอีสาน แหนม และหมูฝอย ไปจนถึงปากหม้อพร้อมน้ำจิ้มสูตรพิเศษของทางร้าน ถ้าได้กินครั้งหนึ่งรับรองว่าต้องติดใจ ทำเอาอยากกลับไปสกลนครเพื่อลิ้มชิมรสปากหม้อยายทองคำอีกแน่นอน

อิ่มท้องแล้วถึงเวลาไปเดินย่อยกันต่อ ด้วยความที่ร้านของคุณยายทองคำอยู่ใน ชุมชนกลางธงชัย หรือคุ้มกลางธงชัย ซึ่งมีทางเข้าออกหลายทาง เดินทะลุถึงกันได้ พี่ยิปซีจึงพาเราลัดเลาะซอยต่างๆ พร้อมชี้ให้ดูลักษณะบ้านเก่าหลายหลังที่ยังคงรักษาความเก่าแก่เอาไว้
นอกจากความคลาสสิกของอาคารบ้านเรือน เรายังสังเกตเห็นว่า ในชุมชนมีสตรีทอาร์ตหลากหลายรูปแบบอยู่ตามกำแพง ไม่ว่าจะเป็น Typography คุ้มกลางธงชัย พญานาค หรือแม้แต่ข้างร้านคุณยายทองคำเองก็มีภาพวาดคุณยายแสนโดดเด่น เห็นแล้วไม่หลงทาง

พี่ยิปซีเล่าให้ฟังว่า สตรีทอาร์ตเหล่านี้เป็นความร่วมมือของชุมชนและศิลปินระดับประเทศที่เกิดขึ้นในช่วง ‘สกลจังซั่น’ เทศกาลงานสร้างสรรค์ย่านเมืองเก่าสกลนคร ตามความตั้งใจในการเล่าเรื่องความเชื่อ ตำนาน และวัฒนธรรมของชุมชนผ่านงานศิลปะที่กระจายอยู่ทั่วทั้งชุมชน พร้อมกันนั้นเจ้าย่านยังชี้ให้เราดูภาพวาด น้องก่ำ เด็กน้อยผู้มาพร้อมชุดปลาสีฟ้าครามซึ่งเป็นมาสคอตของงาน
แรกเริ่มเดิมทีชาวบ้านในชุมชนไม่เห็นด้วยที่จะใช้พื้นที่กำแพงบ้านของพวกเขาเป็นผืนผ้าใบ แต่เมื่อได้เห็นผลงานที่ออกมาสมบูรณ์แล้วก็เปลี่ยนใจ และอนุญาตให้เหล่าศิลปินลงมือสร้างสรรค์ผลงานอย่างเต็มที่
ปัจจุบันผลงานสร้างสรรค์เหล่านั้นอาจสีซีดลงไปบ้างตามกาลเวลา แต่กลิ่นอายและความสร้างสรรค์ของทุกๆ ภาพยังคงเป็นกำลังใจ ชวนให้เราเดินมองหาภาพอื่นๆ ที่ซุกซ่อนไว้ตามชุมชน
ความเก่าและใหม่ที่ผสมผสานกันเป็นความเรียบง่ายกำลังดี

เราเดินลัดเลาะไปตามทาง แวะทักทายพูดคุยกับชาวบ้านจนมาถึง ‘ถนนเรืองสวัสดิ์’ พี่ยิปซีพาเราไปนั่งพักเหนื่อยใน ‘Piccolo Cafe’ คาเฟ่เล็กๆ บนถนนเส้นเดียวกัน ที่ใช้ไม้และอิฐเป็นวัสดุหลักในการตกแต่ง ล้อไปกับเหล่าบ้านโบราณในย่านเมืองเก่า
เราสั่งเครื่องดื่มกันท่ามกลางกลิ่นหอมของกาแฟภายในร้าน ก่อนจะจับจองที่นั่งบริเวณกระจกบานใหญ่ มองออกไปเห็นบรรยากาศของถนนพอดี
เนื่องจากวันนั้นเป็นวันศุกร์ ทำให้ถนนที่เรานั่งมองดูเงียบเหงาไปบ้าง แต่พี่ยิปซีบอกกับเราว่า ช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ ถนนเรืองสวัสดิ์จะเต็มไปด้วยผู้คน เพราะร้านผ้าครามในย่านจะมารวมตัวกันเปิดแผง แปลงร่างถนนเส้นนี้ให้กลายเป็น ‘ถนนผ้าคราม’ เชิญชวนให้เหล่านักชอปมาเลือกดู เลือกชม เลือกชอปของดีขึ้นชื่อเมืองสกลฯ ติดไม้ติดมือกลับบ้านไป
พักกันหายเหนื่อยแล้วก็สาวเท้าย่ำก้าวต่อไปยังจุดสุดท้ายของเส้นทางเดินนี้กับ ‘สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์’ สวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่สร้างล้อมสระพังทอง อีกหนึ่งสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของเมืองเก่าสกลนคร
ในอดีตที่นี่เป็นบารายหรือสถานที่กักเก็บน้ำในยุคขอมโบราณ ขณะที่ถัดออกไปนิดเดียวจะสังเกตเห็นแนว ‘คูน้ำคันดิน’ เมืองโบราณริมทะเลสาบหนองหาร สำหรับป้องกันเมืองและน้ำจากเทือกเขาภูพาน ซึ่งสันนิษฐานว่ามีมาตั้งแต่สมัยอารยธรรมขอมเช่นเดียวกัน

ปัจจุบันเทศบาลนครสกลนครได้พัฒนาสระพังทองและคูเมืองเดิมให้กลายเป็นสวนสาธารณะของคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว บ้างมาออกกำลังกาย บ้างมานั่งเล่นรับลม และหากเป็นช่วงเย็นที่อากาศดีๆ อาจจะเจอคนเข้ามาปิกนิกในสวนพร้อมหมูกระทะชุดใหญ่ด้วย
อันที่จริงแล้วจากตัวเมืองเก่าสกลนครใช้เวลานั่งรถแค่ประมาณครึ่งชั่วโมงก็จะถึงเส้นทางที่สองที่ WABU จัดเตรียมไว้ แต่ด้วยความที่วันนี้เดินมาไกลและเย็นมากแล้ว เลยต้องพักเอาแรงสักคืนแล้วค่อยลุกขึ้นมาเดินเท้าต่อในวันรุ่งขึ้น
‘บ้านท่าแร่’ ชุมชนคาทอลิกที่ใหญ่ที่สุดในไทย

เส้นทางที่สองที่เราจะไปกันต่อคือ ‘บ้านท่าแร่’ ชุมชนคาทอลิกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยได้ ‘พี่วัฒน์-ศุภวัฒน์ ไชยชนะ’ มารับหน้าที่เป็นเจ้าย่าน พาเราออกเดินสำรวจบ้านท่าแร่ว่า นอกเหนือจากการเป็นชุมชนชาวคริสต์แล้ว ยังมีอะไรที่น่าสนใจอีก
แน่นอนว่าเมื่อเป็นชุมชนศาสนาคริสต์ย่อมต้องมีศาสนสถานประจำชุมชน อย่างที่บ้านท่าแร่ก็มี ‘อาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอล’ โบสถ์ขนาดใหญ่รูปทรงคล้ายเรือ เพื่อระลึกถึงการใช้เรือและแพอพยพจากตัวเมืองสกลนครมาตั้งถิ่นฐานใหม่ยังบ้านท่าแร่ อีกทั้งยังสื่อถึงเรือโนอาห์ตามตำนานของศาสนาคริสต์อีกด้วย
นอกจากตัวโบสถ์ที่เปิดให้เข้าไปทำพิธีกรรมทางศาสนาแล้ว ใต้ท้องเรือหรือชั้นล่างของอาสนวิหารฯ ยังมีพิพิธภัณฑ์อาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอล เล่าถึงประวัติศาสตร์การก่อตั้งชุมชนคาทอลิกในบ้านท่าแร่ ประวัติอาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอลในยุคต่างๆ และจัดแสดงสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับอาสนวิหารฯ ให้นักท่องเที่ยวและคนในท้องที่ได้เข้าไปเรียนรู้
ความสวยงามของสถาปัตยกรรมโบราณที่ซ่อนตัวอยู่ในบ้านท่าแร่

หากต้องการชมความสวยงามอันใหญ่โต อาสนวิหารฯ คือแลนด์มาร์กที่ตอบโจทย์นั้น แต่ขณะเดียวกัน อีกหนึ่งความโดดเด่นของบ้านท่าแร่คือ สถาปัตยกรรมสไตล์โคโลเนียลเก่าแก่ที่ยังคงมีให้เห็นอยู่ ซึ่งไม่ไกลจากอาสนวิหารฯ อาคารโบราณหลังแรกที่เราเห็นคือ ‘ร้านข้าวเปียกโบราณฟรานซิสโก’ หนึ่งในโลเคชันจากภาพยนตร์เรื่องท่าแร่ ที่โดดเด่นด้วยลายปูนปั้นแตกต่างจากอาคารอื่นๆ ภายในย่าน
‘กร วัฒนพันธุ์’ ทายาทรุ่นที่ 6 และเจ้าของร้านข้าวเปียกโบราณฟรานซิสโก เล่าถึงความพิเศษของอาคารหลังนี้ที่ไม่ใช่แค่ความสวยงามสไตล์โคโลเนียลเท่านั้น แต่ยังเป็นการรวมศิลปะจากวัฒนธรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส เวียดนาม หรือจีนเข้าด้วยกัน แถมด้านในยังมีศิลปะบาโรกผสมผสานอยู่ และมีแท่นบูชาโบราณที่สร้างติดกับตัวบ้าน และยังคงรักษาความสวยงามเอาไว้อย่างดี

กรบอกกับเราอีกว่า ในย่านนี้ยังมีอาคารโบราณที่หลงเหลืออยู่ หนึ่งในนั้นคือ ‘UDD Udomdetwat Cafe and Bistro’ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้าน ท่ามกลางอากาศร้อนและแดดแผดเผา เราจึงเดินต่อไปยังคาเฟ่ที่ว่าเพื่อเติมน้ำตาลและแอร์เย็นๆ ก่อน
บริเวณด้านหน้าอาคารมีชื่อสลักไว้ว่า ‘คฤหาสน์อุดมเดชวัฒน์’ ที่สร้างขึ้นตามรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียลฝรั่งเศสใน พ.ศ. 2476 โดยช่างชาวเวียดนามที่อพยพมาอยู่ในจังหวัดนครพนมและบ้านท่าแร่ ลักษณะเป็นอาคาร 2 ชั้น ปัจจุบันเปิดให้เข้าชมเพียงบริเวณชั้นล่างที่เป็นคาเฟ่เท่านั้น

ข้างกันกับคาเฟ่มีอาคารอีกหนึ่งหลังที่ตั้งตระหง่าน พี่วัฒน์บอกว่าที่นี่คือ ‘คฤหาสน์โสรินทร์’ เป็นหนึ่งในโลเคชันถ่ายภาพยนตร์ท่าแร่ด้วยเหมือนกัน เขาเสริมว่า อาคารเก่าแห่งนี้แม้จะไม่ได้เป็นที่อยู่อาศัยแล้ว แต่โดยรวมยังคงสมบูรณ์ดี และเป็นอีกร่องรอยทางสถาปัตยกรรมของท้องถิ่นที่น่าสนใจ
พี่วัฒน์เล่าต่อว่า อาคารทั้งสองหลังนี้เป็นของคหบดี หรือนักธุรกิจที่คนสมัยก่อนเรียกกันว่านายฮ้อย เชื่อกันว่าเป็นชาวญวนที่อพยพมาทำธุรกิจจนร่ำรวย เพราะในอดีตชาวบ้านในย่านนี้ยึดอาชีพทำไร่ทำนา ทำให้มีกำลังในการสั่งซื้ออิฐ หิน ปูน ทราย เพื่อก่อสร้างที่อยู่อาศัยในลักษณะนี้ และเนื่องจากในสมัยก่อนบ้านเรือนบริเวณแถบนี้ล้วนเป็นบ้านไม้ทั้งสิ้น จึงตั้งข้อสันนิษฐานว่า วัสดุก่อสร้างหลายอย่างนั้นได้มาจากการขนส่งจากต่างประเทศ
นอกจากลักษณะอาคารที่บ่งบอกถึงฐานะของเจ้าของบ้านแล้ว ด้านหลังของคฤหาสน์โสรินทร์ยังมียุ้งฉางเอาไว้เก็บข้าวสำหรับครัวเรือน ซึ่งเรือนยุ้งฉางหลังนี้มีขนาดใหญ่กว่ายุ้งฉางทั่วไป ทำให้เราพอเดาได้ว่าเจ้าของบ้านหลังนี้น่าจะเป็นเศรษฐีของท่าแร่

พี่วัฒน์พาเราไปเดินดูอาคารโบราณอีกหลังที่เป็นหนึ่งจุดเช็กอินเมื่อมาท่าแร่ ‘ตึกหิน’ สีน้ำตาลตัดกับสีเขียวสดใสของต้นไม้ที่ปกคลุมอยู่ด้านบน โดดเด่นอยู่ในลานกว้าง สมบัติของบุตรอดีตเจ้าเมืองสกลนคร หากนับอายุจนถึงปัจจุบันอยู่ที่ราว 100 ปี
ในอดีตตึกหินนี้เป็นที่อยู่อาศัย กระทั่งต่อมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทางราชการสั่งปิดโบสถ์ท่าแร่ ชาวท่าแร่ต้องหาสถานที่ใช้ทำพิธีทางศาสนา และด้วยความที่บุตรหลานของเจ้าของบ้านหลังนี้เป็นบาทหลวงคาทอลิก จึงเปิดบ้านหลังนี้ให้ใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
ทว่าเมื่อบ้านไฟไหม้ ไม่ได้มีการบูรณะซ่อมแซมหรือรักษาสภาพเดิมไว้ ปล่อยให้ชำรุดทรุดโทรม ส่งผลให้ที่นี่กลายเป็นเพียงสถานที่ในความทรงจำที่ถูกทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลังได้มาเรียนรู้เรื่องราวความสำคัญในอดีตผ่านซากเก่าเท่านั้น
ให้ธรรมชาติปลอบประโลมใจด้วยการไปกินลมชมวิวหนองหาร

ท่ามกลางแดดร้อน แต่กองทัพนักเดินของเราก็ไม่หวั่น ย่ำเท้าตามพี่วัฒน์ไปที่ ‘จุดชมวิวตะวันรอนหนองหาร’ ซึ่งทะเลสาบหนองหารเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดของภาคอีสาน เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาน้ำจืด นกน้ำ และพื้นที่ชุ่มน้ำที่สำคัญของประเทศไทย รวมถึงยังเป็นแหล่งประกอบอาชีพทางด้านการประมงของชาวสกลนครและจังหวัดใกล้เคียง
แต่ถ้าพูดถึงแง่มุมการท่องเที่ยว สถานที่แห่งนี้ถือเป็นแหล่งชมนกน้ำและล่องเรือชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามไม่แพ้ใคร ซึ่งหากใครได้แวะไปตรงจุดนี้และเห็นสนามหญ้าตรงหน้าก็ชั่งใจไว้ก่อน อย่าเพิ่งรีบร้อนวิ่งลงไป เพราะมันคือพืชผักและต้นไม้ที่ถูกกระแสน้ำพัดเข้ามา ก่อนจะค่อยๆ ลอยออกไปเองตามลม ดังนั้นใต้ผืนหญ้าขนาดใหญ่ที่เรามองไม่เห็นก็คือผืนน้ำนั่นเอง
บ้านแห่งดวงดาว แหล่งผลิตดาวประดับของชาวคริสต์ทั่วประเทศ

และเมื่อมาถึงท่าแร่ จะไม่นึกถึง ‘เทศกาลแห่ดาวคริสต์มาส’ ก็คงแปลกๆ เพราะเป็นเทศกาลแห่งศรัทธาของชุมชนคริสต์บ้านท่าแร่ที่จัดขึ้นทุกปี โดยชาวคริสต์เชื่อว่า ดาวคือสัญลักษณ์ของการเสด็จลงมาประสูติบนโลกมนุษย์ของพระเยซู ทำให้เป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของศาสนา รวมไปถึงเทศกาลนี้ด้วย
จุดหมายถัดไปของเราคือ ‘บ้านแห่งดวงดาว’ โดย ‘ลำพร สารธิยากุล’ คุณแม่เจ้าของบ้านแห่งดวงดาวเล่าให้เราฟังด้วยความภูมิใจว่า ดาวประดับของที่นี่ไม่ได้ผลิตขึ้นเพื่อใช้แค่ในบ้านท่าแร่เท่านั้น แต่ยังส่งออกไปยังวัดคริสต์ทั่วประเทศ หรือแม้แต่ห้างสรรพสินค้าสำหรับตกแต่งในช่วงสิ้นปี รวมถึงยังส่งออกไปต่างประเทศด้วย
แม้ว่าช่วงที่เราไปจะไม่ได้เป็นช่วงคริสต์มาส แต่หน้าบ้านเกือบทุกหลังบนถนนคนทำดาว (ถนนเฟื่องฟู) ล้วนมีดาวประดับอยู่ บ้างเป็นดาวที่ทำสำเร็จแล้ว บ้างเป็นโครงดาวที่เตรียมเข้าสู่กระบวนการถัดไป
ก่อนจะบอกลากัน คุณแม่ได้โชว์ดาวที่เธอเป็นคนทำขึ้นเพื่อนำไปใช้เป็นส่วนหนึ่งของการโปรโมตภาพยนตร์ท่าแร่ด้วย เป็นภาพที่เราเห็นแล้วอดยิ้มไม่ได้
Support Local กับร้านโชห่วยที่ต้อนรับทุกคนด้วยรอยยิ้ม

ออกกำลังขาเดินเส้นทางท่าแร่มาจนถึงจุดสุดท้ายที่ ‘ร้านนำสมัย’ เรือนไม้ 3 คูหาอายุกว่า 70 ปีที่เปิดเป็นร้านโชห่วย ภายในร้านอัดแน่นไปด้วยของกิน ของใช้ และของจำเป็นในชีวิตประจำวันที่ยังคงความ Nostalgia เอาไว้ ด้วยรูปแบบการจัดวางสิ่งของต่างๆ น้ำอัดลมใส่ถุงหูหิ้วพร้อมเสียบหลอดดูด หรือแม้แต่ขนมและของเล่นในสมัยก่อน
‘แม่ทัศนา’ เจ้าของร้านยืนยิ้มต้อนรับเราแต่ไกล ก่อนจะพูดคุยกันจนได้ความว่า บ้านหลังนี้เคยเป็นธุรกิจมาหลายอย่าง และลงเอยด้วยการเป็นร้านโชห่วยของชุมชน ถึงแม้ว่าร้านนำสมัยจะไม่ได้มีข้าวของมากมายอย่างร้านสะดวกซื้อทั่วไป แต่แม่ทัศนาบอกว่าถ้าอยากได้อะไรลองมาถามก่อนได้
ด้วยท่าทีเป็นมิตร น้ำเสียงใจดี และความโลคอลที่หาไม่ได้จากที่ไหน ทำให้เรามีความสุขกับสถานที่ปิดท้ายทริปนี้สุดๆ

การได้มาเดินท่องเที่ยวทั้งสองเส้นทางในจังหวัดสกลนคร เป็นการตอกย้ำว่า การเดินเท้าจะพาให้เราพบเจอเรื่องราวใหม่ๆ ได้มากขึ้น แถมระหว่างทางยังมีสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจกลายเป็นเกร็ดความรู้ใหม่ๆ ทำให้แต่ละย่านมีเสน่ห์และคาแรกเตอร์ของตัวเอง
วันหยุดยาวครั้งหน้า เราอยากให้ทุกคนลองยืดเส้นยืดสายเดินเที่ยวชมเมืองกันดูบ้าง โดยเฉพาะเส้นทางย่านเมืองเก่าสกลนครและบ้านท่าแร่ที่ WABU แนะนำ เพื่อสัมผัสวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของคนในย่าน ยิ่งถ้าไปในช่วงเทศกาล เราเชื่อว่าจะได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ ที่สร้างความประทับใจกลับบ้านไปด้วยแน่นอน
ยังมีเส้นทางอื่นๆ ที่ WABU พร้อมเป็นเพื่อนเดินไปด้วยกันอีกหลายจังหวัด รวมไปถึงเส้นทางใหม่ๆ ในอนาคตด้วย ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ gowabu.com