ปัญหาที่เกิดจากภาวะโลกร้อนเพิ่มมากขึ้นทุกๆ วัน จนทำให้คนทั้งโลกออกมารณรงค์เพื่อปกป้องโลกของเราด้วยวิธีต่างๆ เช่น ลดการใช้พลาสติก พกถุงผ้าไปช้อปปิง รณรงค์ไม่ใช้สินค้า Fast Fashion ลดการใช้พลังงาน และอื่นๆ ที่จะช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับโลกได้
แต่เชื่อหรือไม่ว่า ต่อให้คนทั่วไปหันมารักโลกและพยายามสร้างความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมมากแค่ไหนก็ตาม ก็ไม่อาจช่วยหยุดภาวะโลกร้อนได้ เพราะมีรายงานระบุว่า สาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดมลพิษทั่วโลกคือ ‘กลุ่มคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลก’ นั่นเอง
รายงานที่ว่านี้ไม่ได้โจมตีกลุ่มคนรวยแต่อย่างใด แต่สื่ออย่าง ‘The Guardian’, องค์กรไม่แสวงหากำไร ‘Oxfam’, สถาบันสิ่งแวดล้อม ‘Stockholm Environment Institute’ และผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ ได้ร่วมมือกันศึกษาความไม่เท่าเทียมที่เกิดจากผลกระทบจากสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน และพบว่า 1 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ปล่อยคาร์บอนมากกว่ากลุ่มคนที่ยากจนที่สุดถึง 66 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
การใช้ชีวิตแบบปกติของคนรวยทำให้สภาพอากาศไม่ปกติ
ผลกระทบของสภาพอากาศที่เปลี่ยนไปอาจไม่ได้ส่งผลต่อชีวิตประจำวันของกลุ่มคนรวยมากเท่าไรนัก เพราะหากอากาศร้อนก็แค่เปิดเครื่องปรับอากาศทุกตัวในบ้านหลังใหญ่ หรือแค่เดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศอื่นๆ ที่อากาศเย็นก็ได้
ซึ่งกิจกรรมที่ว่ามานี้ล้วนแล้วแต่ใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสิ้นเปลืองทั้งสิ้น แถมยังปล่อยมลภาวะกลับคืนสู่สิ่งแวดล้อม ในขณะที่กลุ่มคนจนต้องเผชิญกับภัยพิบัติจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยที่ไม่เคยมีโอกาสแม้แต่จะได้ขึ้นเครื่องบินสักครั้ง
คนรวยเหล่านี้จึงอาจไม่ได้ตระหนักว่าการใช้ชีวิตแบบปกติในทุกๆ วันนั้น จะเป็นส่วนหนึ่งของการทำลายโลกและเพื่อนร่วมโลกหรือไม่
เช่น ในปี 2019 มีจำนวนรถ SUV เพิ่มมากขึ้นทั่วโลก ซึ่งเป็นรถยนต์ที่มีราคาสูงและเป็นสัญลักษณ์ในการบ่งบอกสถานะ ทั้งยังใช้เชื้อเพลิงจำนวนมาก จนทำให้ในปี 2020 รถ SUV เป็นภาคส่วนเดียวที่ปล่อยมลพิษเพิ่มขึ้น กลายเป็นอีกหนึ่งตัวการหลักๆ ที่ทำให้โลกของเราร้อนขึ้น
หรือการเดินทางโดยเครื่องบิน พาหนะที่ใช้เชื้อเพลิงและปล่อยคาร์บอนสูงกว่าการเดินทางรูปแบบอื่น โดยเฉพาะเครื่องบินส่วนตัวที่ปล่อยมลพิษมากกว่าเครื่องบินพาณิชย์มากถึง 20 เท่า ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหลังจากเกิดโรคระบาดทั่วโลก จำนวนเที่ยวบินส่วนตัวก็มีเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลเพราะความปลอดภัยหรือเพื่อความสะดวกสบายในการเดินทาง แต่ก็ทำให้มลพิษที่เกิดจากการบินเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณด้วย
แม้ว่า 1 เปอร์เซ็นต์จะเป็นตัวเลขที่ดูน้อยนิด แต่รายงานจาก Oxfam คำนวณให้แล้วว่า การปล่อยมลพิษจากคนกลุ่มเดียวถือว่ามากพอที่จะทำให้เกิดความร้อน จนอาจส่งผลต่อชีวิตของผู้คนกว่า 1.3 ล้านคนในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้านี้ได้เหมือนกัน เพราะปริมาณคาร์บอนที่กลุ่ม 1 เปอร์เซ็นต์ปล่อยออกมาภายในหนึ่งปี มีจำนวนมากเท่ากับปริมาณคาร์บอนที่กลุ่มคนจนที่สุดปล่อยออกมาในช่วงระยะเวลากว่า 1,500 ปีเลยทีเดียว
เก็บภาษีคนรวย ลดการใช้พาหนะส่วนตัวลง ช่วยเพิ่มความยั่งยืนให้กับโลก
ทาง Oxfam ได้ใช้รายงานชิ้นนี้เรียกร้องให้มีการเรียกเก็บภาษีกลุ่มคนรวย และเก็บภาษีลาภลอย (Windfall Tax) จากบริษัทเชื้อเพลิง เพื่อนำไปซัพพอร์ตกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจากวิถีชีวิตอันหรูหรา ลดความไม่เท่าเทียมของการรับภาระและผลกระทบจากภาวะโลกร้อนของแต่ละชนชั้น รวมถึงยังสามารถนำไปใช้จัดหาทุนเพื่อการใช้พลังงานทดแทน เพราะจำนวนภาษี 60 เปอร์เซ็นต์จากคนกลุ่มนี้ จะสามารถระดมทุนได้มากถึง 6.4 ล้านดอลลาร์หรือประมาณ 224 ล้านบาทต่อปีเลยทีเดียว
นอกเหนือจากการคาดหวังให้คนรวยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และสนับสนุนให้คนทั่วไปลดการใช้พลาสติกและหันมาใช้ถุงผ้ารีไซเคิลแล้ว การแก้ไขปัญหาความยั่งยืนนี้อาจรวมถึงการพิจารณาว่า ในชีวิตประจำวันของเรามีกิจกรรมไหนที่สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการลดปริมาณคาร์บอนได้บ้าง เช่น ลดการใช้พาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยแก๊ส เปลี่ยนไปใช้พาหนะพลังงานไฟฟ้าแทน การใช้ขนส่งสาธารณะแทนการใช้พาหนะส่วนตัว หรือแม้แต่การทำงานสี่วันต่อสัปดาห์ก็ช่วยลดการใช้พลังงาน และเพิ่มความยั่งยืนให้กับโลกได้ในอีกทางหนึ่งด้วยเช่นกัน
Sources :
BBC | tinyurl.com/4yn9t3wz, tinyurl.com/4mjzds9m, tinyurl.com/2xe5t5pn
CBS NEWS | tinyurl.com/4khm4b2n
CNBC | tinyurl.com/3ck2bzam
The Guardian | tinyurl.com/2vevc3ft