เรื่องเล่ารายวิน 8 “วินกะดึก”
อย่างที่เคยได้กล่าวไปว่าวินฯที่ผมประจำการอยู่นั้น มีสมาชิกมากหน้าหลายตาร่วมๆแปดสิบกว่าชีวิต สลับสับเปลี่ยนกันออกมาหากินกันไป บางคนมาแค่ช่วงเช้า บางคนมาแค่ช่วงเย็น หรือบางคนก็อยู่เฝ้าทั้งวันไปเลยแล้วแต่ว่าใครจะชอบจะพอใจแบบไหน ไม่ได้มีการบังคับขู่เข็นว่าจะต้องมาเวลานั้นเวลานี้ใดๆ มันขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของตัวเอง ซึ่งตรงนี้แหละที่มัน”อิสระ”กว่าอาชีพอื่นๆ ทีนี้มันจะมีอีกกลุ่มนึงที่จะอยู่จนดึกจนดื่น ถึงประมาณห้าทุ่มหรือห้าทุ่มครึ่ง ผมเรียกกลุ่มนี้ว่า “วินกะดึก” ช่วงแรกที่ผมเข้าไปขับวินฯใหม่ๆ ผมจะอยู่ดึกทุกวัน(ยอมรับว่าช่วงนั้นร้อนเงินมาก) คือยอมเสียเวลาอีกสองสามชั่วโมง เพื่อให้ได้มาซึ่งเงินอีกเพียงน้อยนิดเท่านั้นเอง คุณอาจจะคิดว่าอยู่ดึกคนน้อยรายได้จะงามใช่ม้า? เปล่าเลยครับมันตรงกันข้ามด้วยซ้ำ การที่จะอยู่กะดึกนั้นต้องใช้ความอดทนค่อนข้างสูงเลยทีเดียว อดทนต่อระยะเวลาที่ต้องรอคอย เพราะกว่าจะมีลูกค้าออกมาแต่ละคนนั้นนานแสนนานเหลือเกิน ไหนจะยุงที่มันจ้องจะดูดเลือดดูดเนื้อเราอย่างเคียดแค้นปานว่าเราได้ไปเผาบ้านมันไว้เมื่อชาติ ปางก่อนอีก55555 และบางทีนะรอมานานครึ่งค่อนชั่วโมงลูกค้าเรียกให้ไปส่งตรงเนี้ย ใกล้ๆได้ค่าโดยสาร 10 บาท!! แล้วกลับมาต่อคิวใหม่ มันเป็นอะไรที่โคตรช้ำเลยนะ ฉะนั้นจึงเป็นอย่างที่ผมว่านั่น แหละว่าวินกะดึกน่ะ ไม่ใช่ว่าจะรายได้งามอะไรหรอก แต่ที่เค้าอยู่กันเพราะอะไรรู้มั้ยครับ ผมคิดว่าเค้าอยู่กันเพื่อความสบายใจมากกว่า… ที่ว่าอยู่เพื่อความสบายใจนั้นหมายถึงว่า เหล่าขาประจำที่อยู่ดึกเค้าจะพูดคุยกันสัพเพเหระ คุยสนุกสนานสบายใจ ผมสังเกตเห็นว่าไม่มีใครเอาเรื่องเครียดๆมาคุยเลยนะ มีแต่สนุกสนานเฮฮาเหมือนได้ผ่อนคลายความเครียดที่สะสมมาทั้งวันแล้วในตอนดึกๆก่อนจะเข้าบ้านไปพักผ่อนแค่นั้นเอง ในช่วงแรกๆจะมีไม่กี่คันหรอกที่ อยู่ดึก มีผมเบอร์ 60 มีเบอร์ 1 เบอร์ 39 ไอ้อ้วนเบอร์ 79 ละก็เจ๊ผู้หญิงเบอร์ 13 ที่พูดมานี่คือขาประจำนะ บางวันก็จะมีเบอร์อื่นๆมาร่วมด้วยสนุกสนานกันไป เจ๊เบอร์ 13 แกจะไม่ได้มาร่วมคุยอะไรกับพวกผมมากนักหรอก แกจะนั่งฟังละก็หัวเราะตามไปกับเรื่องราวในแต่ละกัน แกจะหิ้วงานเสริมมาทำที่วินระหว่างช่วงรอลูกค้าตลอดนะ บางวันก็ถักกระเป๋าใบเล็กๆ บางวันก็ร้อยเชือกอะไรไม่รู้ งานทำนองเนี้ยนิดๆหน่อยๆพอได้เงินค่านมลูก แกว่างั้น… มีอยู่คืนนึง คืนนั้นฝนตกตั้งแต่หัวค่ำ ขาประจำคนอื่นๆเค้านัดแนะกันไปสังสรรค์กันที่ร้านยาดองร้านนึงที่เค้าว่าสาวๆเด็ดนักเด็ดหนาเนี่ยแหละ ผมปฏิเสธคำเชิญชวนของพวกเค้าเนื่องด้วยห่วงเงินที่จะต้องได้ในช่วงดึก จึงจำใจอยู่ต่อกะว่าคงมีเพื่อนอยู่ด้วยล่ะวะ ที่ไหนได้คืนนั้นอยู่คนเดียวเลย ด้วยอากาศอันหนาวเหน็บเพราะฝนยังคงตกปรอยๆและตัวผมก็เปียกมาตั้งแต่หัวค่ำแล้ว บวกกับลูกค้าที่ทยอยออกมาโบกกันอย่างไม่ขาดสาย สรุปคืนนั้นผมวิ่งไม่ทัน! ไม่ทันนี่คือ รับคนนึงไปส่ง อีกคนนึงออกมาไม่เจอวินเค้าก็ไม่รออะไรประมาณเนี้ยครับ จะเร็วมากก็ไม่ได้ถนนมันลื่น ล้มไปไม่คุ้มอีก ถามว่าเสียดายมั้ยต้องบอกว่าเสียดายนะ อยากจะรับให้ได้ทุกคนเลยจริงๆเพราะถ้าได้ทุกคนล่ะก็อิ่มแน่นอน 55555 แต่ก็อย่างว่า ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้นล่ะครับ ดีกว่าไม่มีใครอยู่วินเลยปล่อยให้ลูกค้าเดินกันหมด ถึงหนาวก็ต้องทนไปก่อนล่ะนะ คืนนั้นผมอยู่รอจนหยดสุดท้ายเลยประมาณห้าทุ่มครึ่ง จนแบบรปภ.หน้าโรงงานมองแล้วอะว่านี่มึงยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ ไม่มีใครเค้ามาขึ้นมึงแล้ว! อะไรประมาณนี้ ผมจึงค่อยๆบิดรถกลับบ้านอย่างหนาวๆ และผลสุดท้ายตื่นเช้าม ป่วย!!! ทนพิษบาดฝนไม่ไหว5555 ช่วงหลังๆมาผมสังเกตเห็นว่ามีวินมาอยู่รอสมทบช่วงดึกเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น จนเยอะ… ผมจึงไม่ค่อยได้อยู่ดึกแล้วเพราะลำพังอยู่กันสามสี่คันนี่ก็แทบจะไม่ได้อะไรเพิ่มอยู่แล้ว นี่เพิ่มมาอีกเพียบขนาดนี้ผมขอบายดีกว่า เค้าคงคิดว่าอยู่ดึกรายได้คงดีละมั้ง “ดังที่ผมบอกไปว่าขาประจำที่อยู่ดึกนั้น เค้าไม่ได้หวังเรื่องเงินอะไรหรอก เค้าแค่หาความผ่อนคลายให้ชีวิตเท่านั้น” บางครั้งบางทีเราเครียดจากสิ่งรอบข้างมาทั้งวัน การได้หัวเราะอย่างเบิกบานนี่มันเป็นตัวช่วยบำบัดความเครียดชั้นดีเลยนะครับ เค้าถึงได้มีคำกล่าวว่าคนที่ร่าเริงเนี่ยมักจะอายุยืน ซึ่งผมว่ามันก็น่าจะมีเค้าความจริงนะ เพราะอย่างน้อยการหัวเราะมันไม่ได้ทำร้ายเราเหมือนความเครียดหรอกจริงมั้ย และผลพลอยได้จากการอยู่ดึกก็คือ เงินเล็กๆน้อยๆจากการส่งผู้โดยสารกะดึกเช่นกัน ถือว่าสบายใจทั้งสองฝ่ายนะ… Photo Credit : http://tokyostreet.photo http://2wheelsstory.blogspot.com