“เราอาจไม่ได้ไปต่อ”
พิธีกรในชุดพ่อหมอสีขาวใส่สร้อยประคำบอกกับผู้ชมผ่านรายการ ‘เจาะข่าวตื้น’ (ชื่อเต็มเดิมคือ ‘เจาะข่าวตื้น ดูถูกสติปัญญา’) ทางช่อง SpokeDark TV ที่เดินทางมาถึงตอนที่ 287
ความพังพินาศของเศรษฐกิจไทยตั้งแต่หลังการรัฐประหาร 2557 เป็นต้นมา และสึนามิเศรษฐกิจถล่มซัดอีกครั้งในปี 2563 นับตั้งแต่การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้เราเห็นธุรกิจน้อยใหญ่ทยอยปิดตัว สำหรับ SpokeDark TV ทางรอดเดียวที่เหลืออยู่คือแรงสนับสนุนจากผู้ชมของช่อง ที่พอการันตีได้ด้วยยอดรับชมแต่ละคลิปไม่ต่ำกว่าหลักแสน
ดังนั้น ตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน 2021 เป็นต้นมาคือภารกิจที่ช่องต้องหาผู้ชมมาสนับสนุนรายเดือนภายใน 45 วันเป็นจำนวน 15,000 คน เพื่อให้เพียงพอกับต้นทุนการดำเนินงานของบริษัท จากเดิมยอดคนสนับสนุนอยู่ที่หลักพัน ขึ้นมาจนถึงหลักหมื่น แต่สถานการณ์ก็ยังไม่น่าวางใจ
นี่เป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญในเส้นทางสื่อออนไลน์กว่า 15 ปีที่เปิดรับรายได้จากการสนับสนุนของผู้ชมรายการครั้งแรก ตั้งแต่วันที่ภูมิทัศน์ของสื่อออนไลน์มีจำนวนนับได้ พวกเขาเริ่มทำรายการทีวีออนไลน์ในชื่อ ‘iHereTV’ จนมาเป็น ‘SpokeDark TV’
ในวันที่ทุกคนต่างลุกขึ้นมาเป็นสื่อ ผ่านการผลิตคอนเทนต์รวดเร็วเพียงปลายนิ้ว ประกอบกับสำนักข่าวออนไลน์ที่เกิดใหม่มากมาย ท่ามกลางมรสุมรุมเร้าทางการเมืองและเศรษฐกิจ แม้กระทั่งคดีความหมิ่นประมาทนายกรัฐมนตรีที่ผู้จัดรายการต้องแบกรับ แต่สื่อออนไลน์อย่าง SpokeDark TV ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเจ้าแรกๆ ที่ ‘เบิกเนตร’ ผู้ชมเรื่องประชาธิปไตยกับสิทธิมนุษยชนอย่างจริงจัง พ่วงท้ายด้วยการเป็นเครื่องด่าไม่ว่ารัฐบาลชุดไหนที่ทำผิด กลับยังยืนหยัดอยู่ได้ท่ามกลางปัญหาโหมกระหน่ำ
เราคุยกับผู้ที่อยู่ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังตลอดมาของ SpokeDark TV คือ แอ้ม-ณัฐพงศ์ เทียนดี หรือพ่อหมอ และ จอห์น-วิญญู วงศ์สุรวัฒน์ สองพิธีกรคู่รายการเจาะข่าวตื้น
ชวน ‘เจาะตื้น’ ทั้งสองคนตั้งแต่เบื้องหลังว่ายืนหยัดมาได้อย่างไร (ในประเทศ) ที่วิกฤตเยอะขนาดนี้ เบื้องหน้าที่แสบสัน ตลกโปกฮา แต่เบื้องหลังแว่นตาดำของทั้งสองคนต้องผ่านอะไรมาบ้างในแต่ละวันที่โลดแล่นในวงการ และทั้งสองคนมองปลายทาง ภาพฝันสังคมไทยว่าเป็นแบบไหน
มา! เจาะกันไปให้ถึงศูนย์กลางจักรวาล!
ทำไม SpokeDark TV ถึงตัดสินใจเปิดรับระบบสมาชิกจากผู้ชม
พ่อหมอ : พูดตรงๆ เลยว่าเป็นเพราะบริษัทใกล้จะแย่ ตั้งแต่มีโควิดมา 2 ปี เราทำสิ่งที่ไม่เคยอยากทำเลยคือการใส่เลขบัญชีธนาคารในรายการ ผมบอกคุณโรซี่ (จรรยา วงศ์สุรวัฒน์) กับคุณจอห์นว่าลองใส่ดูแล้วกัน เพราะลูกค้าที่เป็นสปอนเซอร์ในรายการที่ไม่ใช่ข่าวหรือแนวการเมืองน้อยลง เราอยากให้รายการทางฝั่งนี้สร้างรายได้ด้วย ก็เลยลองใส่เลขบัญชีดู
ผลตอบรับตอนนั้นค่อนข้างดี มีคนที่รักเรา และสนับสนุนเข้ามาพอสมควร แต่ไม่ถึงกับอยู่ได้หรอก ยังมีรายได้ส่วนอื่นผสมกันไป พอเวลาผ่านไป ลูกค้าฝั่งรายการวาไรตี้เริ่มน้อยลงเรื่อยๆ ยอดเงินสนับสนุนที่โอนเข้าบัญชีฝั่งรายการข่าวก็เริ่มน้อยลง เราก็ เฮ้ย ทำไงดีวะ กำลังจะแย่แล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปก็เลยตัดสินใจว่ายังไงต้องบอกตรงๆ คุณจอห์นเนี่ยแหละเป็นคนที่ยืนยันว่ายังไงเราต้องบอกคนดู
แล้วเราก็ใช้โมเดล Subscription ของยูทูบและเฟซบุ๊ก ประกาศให้คนดูรู้ ถ้าใครรักเราก็สนับสนุนเป็นรายเดือน วันละ 5 บาท เดือนละประมาณ 150 บาท ตอนนั้นผู้สนับสนุนแค่หลักพัน ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจทำตลาดด้านนี้หรอก แต่พอไปไม่ไหวเลยบอกทุกคนว่า เฮ้ย จะไปไม่ไหวแล้วนะ มีเวลาแค่ไม่ถึงสองเดือน ถ้าไม่อย่างนั้นคงต้องปิดบริษัท บอกกันตรงๆ เลย คนเลยมาสมัครสมาชิกภายในเวลา 45 วันของแคมเปญ จากพันกลายเป็นหมื่น
เรียกได้ว่าพ้นสถานการณ์วิกฤตแล้วหรือยัง
จอห์น : ไม่ ไม่ ไม่ (ตอบทันที)
พ่อหมอ : ยังไม่พ้นครับ จริงๆ เรามีกระบวนการทางธุรกิจในการลดต้นทุนมาเรื่อยๆ เล่าตรงๆ ว่าต้องลดคน ส่วนเรื่องผู้สนับสนุนกลายเป็นว่าตอนนั้นเราได้มา 13,000 คน เราก็ชะล่าใจ ไม่ได้คิดว่าจะลด กลายเป็นว่าผ่านมา 3 – 4 เดือน จนถึงตอนนี้ลดลงจาก 13,000 เหลือ 10,000 คนอีกแล้ว
คนสนับสนุนลดลงเพราะว่าอะไร
พ่อหมอ : บัตรเครดิตหลุด หรือบางคนใช้วอลเล็ต เงินเขาไม่พอระหว่างรอบที่จะตัดเงิน พอตัดเงินไม่ได้สมาชิกก็หลุด เขาไม่รู้ตัวจนกว่าจะเข้ามาคอมเมนต์ในวิดีโอแล้วเห็นว่าสมาชิกหลุดไปแล้ว แต่ที่ได้ผู้สนับสนุนมาทั้งหมด อาจจะเรียกว่าเราได้ช่วงเวลาหายใจหายคอนิดหนึ่ง
เห็นโมเดลต่างประเทศที่เปิดรับ Subscription เป็นหลัก ในสังคมไทยเห็นวัฒนธรรมหรือโมเดลสื่อแบบนี้น้อย มองเรื่องนี้ยังไง
พ่อหมอ : ผมว่า มันเป็นกลไกทางเทคนิคด้วยแหละ ต่างประเทศต้องยอมรับว่ากลุ่มลูกค้า (Pool) มันใหญ่มาก อย่างอเมริกาเนี่ย โอ้โห
จอห์น : ภาษาอังกฤษเขาก็สื่อสารกับคนได้ทั่วโลก
พ่อหมอ : อีกอย่างคือ เมืองนอกมีวัฒนธรรมการใช้บัตรเครดิตที่มีมาก่อน ล้ำหน้าเรามา 50 ปี จำนวนคนก็เยอะกว่า การจะ Subscription มันง่ายกว่าเยอะ คนใช้บัตรเครดิตกันเป็นปกติ ชาวบ้าน ร้าน ตลาด มีบัตรเครดิตกันหมด แต่ทั้งประเทศเรามีคนใช้บัตรเครดิตถึงล้านใบหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ ผมคิดว่าโมเดลแบบนี้ในประเทศไทยไม่สำเร็จเพราะกลไกเชิงเทคนิคด้วย แต่ก็ยังมี Digital Wallet เข้ามาช่วย
วิกฤตโควิด-19 ตั้งแต่ปี 2563 ส่งผลอะไรต่อบริษัทบ้าง
จอห์น : 2 ปีแรกของโควิด เราพยายามดำเนินการทุกอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะบุคลากรข้างใน เราขึ้นเงินเดือน มีโบนัสเป็นปกติ เพราะเราเชื่อว่าสถานการณ์คงจะดีขึ้น พยายามจะมองในแง่บวก
เราทำรายการฝั่งที่เป็นบิวตี้ วาไรตี้ ปกติมีโฆษณาหรือสปอนเซอร์จากข้างนอกเข้ามา แต่สถานการณ์โควิดเราออกกองไม่ได้ ถ่ายทำไม่ได้ เขาก็ชะลอ ไม่ได้ซื้อโฆษณา เลยได้รับผลกระทบหนักเลยแหละ เราก็ไม่ใช่เจ้าเดียวที่ได้รับผลกระทบ เราเผื่อใจไว้เหมือนกันว่ามีโอกาสที่จะเละเทะเพราะอยู่ภายใต้รัฐบาลแบบนี้ นโยบายที่ผิดตั้งแต่ต้น เรื่องวัคซีน ฯลฯ และมันก็ไม่เกินความคาดหมาย เข้าสู่ปีที่สาม เราก็ไม่ไหวแล้วจริงๆ
ท่ามกลางวิกฤต ยังเห็นทางออกไหม?
พ่อหมอ : (หัวเราะ)
จอห์น : พูดมาอย่างนี้เห็นไหมล่ะฮะ แต่สิ่งที่พอจะหล่อเลี้ยงหัวใจได้คือเห็นการต่อสู้ที่ไม่หยุด ประชาชนยังต่อสู้อยู่เรื่อยๆ หลายวันที่ผ่านมาเราก็เห็นการระดมทุน (กองทุนราษฎรประสงค์) เห็นการช่วยเหลือนักกิจกรรม การลงชื่อเพื่อแก้ไขกฎหมาย แก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือการชุมนุม การดันเพดาน สิ่งเหล่านี้ก็ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจริงๆ แต่ก็เห็นผลได้ช้ามากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ต้องใช้เวลานานขึ้นเรื่อยๆ ตราบใดที่เผด็จการยังอยู่ เราจะไม่เปลี่ยนแปลงสักที
ก่อนหน้าที่จะมีสงครามรัสเซียบุกยูเครน เราเห็นว่าเศรษฐกิจกำลังเริ่มผงกหัว แต่พอมีสงคราม มีเรื่องใหม่อีก ตอนนี้ความหวังคือ ถ้าโควิดคลี่คลาย สงครามคลี่คลาย แล้วค่อยกลับมาเจอปัญหาทางเศรษฐกิจของจริง อย่างเงินเฟ้อ แต่ถ้าพูดถึงแค่ประเทศไทย เลือกตั้งใหม่ มีรัฐบาลใหม่ที่ไม่ใช่พวกเผด็จการสืบทอดอำนาจ อันนี้ดูจะมีหวัง
นอกจากเจาะข่าวตื้น SpokeDark TV มีรายการในเครืออยู่กี่รายการ
พ่อหมอ : โค้ชแขก เจาะข่าวตื้น Daily Topics เชื่อชัย ตือสนิท ยังทำอยู่บ้าง นิดๆ หน่อยๆ แล้วก็คลิปความรู้ ประมาณ 5 – 6 รายการเนี่ยแหละ แต่ก็ไม่ได้สร้างรายได้ทุกรายการ
เปรียบเทียบช่วงแรกที่เป็นเหมือนยุคบุกเบิกอินเทอร์เน็ต กับช่วงนี้ที่มีสื่อ โซเชียลมีเดียกระจายเยอะขึ้น คนหน้าใหม่ๆ ลุกขึ้นมาทำสื่อมากขึ้น พวกคุณเห็นความท้าทายอะไรบ้าง
พ่อหมอ : คนละเรื่องเลย โคตรท้าทาย คนก็มีเท่าเดิมนะ เวลาก็มีเท่าเดิม แต่ทุกคนต่างแย่งความสนใจจากคนดู และใครๆ ก็ผลิตคอนเทนต์ออกมาได้ ตรงนี้เป็นความยากที่แม่งยากเกินบรรยายเลย
ผมคิดว่าวันแรกๆ ที่เจาะข่าวตื้นมีลูกค้า ส่วนหนึ่งเพราะตอนนั้นตลาดยังเล็ก คนผลิตคอนเทนต์ยังน้อยอยู่ เราเป็นเจ้าแรกๆ โซเชียลมีเดียยังไม่กระจายมาก เราทำตั้งแต่เป็นเว็บไซต์ อัปโหลดเอง จากนั้นพอมี YouTube เราค่อยย้ายมา แล้ว Facebook ก็ตามมา แต่ตอนนี้ เราไม่รู้จักแล้วว่าใครเป็นใคร แล้วเราก็เริ่มอายุเยอะกันแล้ว อยู่มาเป็น 10 กว่าปี ไปๆ มาๆ กะพริบตาเดียวจะเข้า 15 ปีแล้วนะเนี่ย
ต้องหาโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ผมคิดว่า เรื่อง Loyalty (การสนับสนุนอย่างแนบแน่น) จากคนดูกำลังมา คือหาคนที่รักเราจริงๆ ให้เขาสนับสนุนเรา น่าจะเป็นทางรอดได้
สำหรับผมนะ ใครที่จะทำสื่อออนไลน์ตอนนี้แม่งเป็นโซนอันตรายอะ ไม่ใช่บอกว่าอย่าออกมาทำเลย มึงตายแน่ ไม่ใช่ แต่ต้องมีวิธีการ ตอนนี้คุณออกมาในถนนที่รถแม่งเยอะมากอะ อาจจะชนกันมั่วซั่วไปหมด คนที่กระโจนเข้ามาตอนนี้ ผมว่าหลักๆ เลยนะ หนึ่ง ต้องมีใจ สอง ต้องมีเงิน (หัวเราะ) ยิ่งถ้าทำเป็นองค์กรนะยิ่งต้องมีสายป่านเลย เราอยู่มานานจนเห็นคนเกิด-ดับในเวลาแค่ไม่กี่วันเยอะมาก
กลับมามอง SpokeDark TV คิดว่าอะไรทำให้มีจุดที่ยังยืนระยะจนถึงตอนนี้ได้
พ่อหมอ : หลักๆ คือความสม่ำเสมอในการทำ ผมต้องยกให้คุณจอห์นกับคุณโรซี่ เพราะเขาเป็นคนทำอะไรทำจริง คุณจอห์นทำรายการ Daily Topics มาหลายปีแล้วนะ ทำทุกวัน คุณโรซี่ทำเจาะข่าวตื้นมาสิบกว่าปียังไม่เลิกอะ ต้องทำระดับนี้ คุณต้องใช้เวลาฉิบหายเลยนะ ผมทำในแง่ธุรกิจก็ซัปพอร์ตอยู่หลังบ้าน แต่คนอยู่ข้างหน้าต้อง Creative คุณมีใจไม่พอ ต้องมีความสม่ำเสมอ มีความถึก และทน
ที่บอกว่ามีความสม่ำเสมอในการทำงานมาเกือบสิบกว่าปีแล้ว ถามจริงๆ ว่าเหนื่อยไหม
พ่อหมอ : เหนื่อยดิ สงสารเขาจะตาย ผมกลัวจอห์นจะ Burnout ไปมากกว่านี้ ส่วนคุณโรซี่ ภรรยาผม ผมกลัวเขาจะตายทุกวันเลย เมื่อคืนตี 3 ลุกมาเขียนบท ถึง 9 โมงครึ่ง อาบน้ำ แม่งเป็นอย่างนี้ทุกอาทิตย์ แล้วตอนเย็น จอห์นก็ต้องไปนั่งพูดเรื่อง Toxic อยู่ทุกวัน 5 วันต่อสัปดาห์ อย่างเนี้ยะ มันมีแต่เรื่องห่าๆ ในสังคม
อย่างเดียวที่ยึดเหนี่ยวผมนะ คือการที่ทำให้ธุรกิจมันรันต่อไปได้ และพวกเรายังมีเงินกินข้าว และความคาดหวังของผมในท้ายที่สุด ทั้งของผม และของ SpokeDark TV คือทำให้เรามีเงินมากพอที่ไม่ต้องทำงาน มีเงินใช้ในวันสุดท้ายของชีวิต แล้วเราก็จะแก่ตายไปอย่างไม่ลำบากมาก หมายถึงผม โรซี่ จอห์น ครอบครัวเรา และพนักงานทุกคนต้องได้รับการตอบแทนที่เหมาะสม ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
คิดยังไงกับการที่หลายคนมองว่าคุณเป็นกลาง วิจารณ์ทุกฝ่าย
จอห์น : หลายคนบอกว่าเราเป็นสื่อเพื่อประชาธิปไตย สื่อที่เรียกร้องเพื่อสิทธิมนุษยชน เขาก็จะชอบที่เราไม่อิงกับใคร แต่คุณผู้ชมเองที่ชอบแบบนี้ต้องเข้าใจด้วยว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ง่าย มีราคาที่ต้องจ่าย อย่างกระบวนการผลิตต้องใช้คน ทีมงานที่มีความสามารถ ซึ่งคนเหล่านี้ก็ต้องมีเงินเดือน ต้องมีอนาคต และการที่เราได้เขามาทำงานก็ต้องมีเงินสนับสนุน
รายการอย่างเจาะข่าวตื้นหรือรายการที่เกี่ยวข้องกับสังคมและการเมือง รายการเหล่านี้เคยมีสปอนเซอร์ในสมัยที่ประเทศนี้ยังพอจะเป็นประชาธิปไตยอยู่ แต่ใน 8 ปีนี้ที่เราอยู่กับเผด็จการ ไม่มีทางเลยที่จะมีลูกค้ามาซื้อ เพราะเขาก็กลัว แล้วประเทศไทยก็เป็นอย่างนี้แหละ
เราอยากจะยืนระยะจนเผด็จการมันไป เราอยากจะสู้ต่อ เราอยากเห็นประเทศนี้ดีขึ้นอยู่แล้ว แต่ถ้าเกิดไม่มีกำลังในการผลิต เราก็ไปต่อไม่ได้ ถ้าคุณไม่อยากให้เราอิงกับใคร เราก็ต้องไม่มีสปอนเซอร์ เพราะฉะนั้นคนที่จะเป็นสปอนเซอร์เราต้องเป็นคุณผู้ชม ถ้ารายการนี้จะอยู่ได้โดยที่คุณอยากจะให้รักษาอาจจะใช้คำว่า “ความเป็นกลาง” “ความอิสระ” เอาไว้ ไม่ต้องเกรงใจใคร มันก็ต้องมาจากการสนับสนุนของคุณผู้ชม เทปเรามีคนดูเป็นแสน หรือหลายเทปคนดูเป็นล้าน เราก็คาดหวังว่า น่าจะมีคนที่สนับสนุนเราแหละ หรือว่าคนก็ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจหนัก วันละ 5 บาท เดือนละ 150 บาท อาจจะสูงเกินไป
มองว่าสื่ออื่นที่ยืนระยะมาเท่าๆ กัน มีโมเดลหรือวิธีการอุ้มชูองค์กรยังไง
พ่อหมอ : ต้องแบ่งเป็นหลายประเภท ถ้ากลุ่มที่เป็นบันเทิงเนี่ย ผมว่าต่างกันเลย เอามาเทียบกันไม่ได้ แต่กับกลุ่มที่เป็นในเชิงสาระความรู้ด้วยกันเอง ต่างตรงที่เราไม่ได้รับเงินจากองค์กรที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล หรือรัฐ เป็นแนวที่ฝั่งหนึ่งวิพากษ์วิจารณ์รัฐไป อีกฝั่งหนึ่งรับเงิน เขาก็หาสมดุลตรงนี้ได้ แต่ของเราวิพากษ์วิจารณ์อย่างเดียวเลย เราไม่รับเงินรัฐด้วย เพราะเราทำไม่ได้
เช่น หนังสือพิมพ์ หรือในสื่อเก่าๆ ก็มีคอลัมนิสต์ที่เป็นลูกจ้างประจำอยู่ในบริษัท และคอลัมนิสต์นอกรับเชิญที่อาจจะวิพากษ์วิจารณ์ แล้วมันก็มีภาพของความไม่เกี่ยวข้องกันกับองค์กร หรืออ้างได้ว่าไม่เกี่ยว แต่ในขณะเดียวกันคอลัมนิสต์ก็ด่ารัฐมนตรีนั้นนี้ นึกออกไหม เป็นวัฒนธรรมของการดำเนินธุรกิจของสื่อไทยที่เกี่ยวข้องกับสาระ การเมือง สังคม วัฒนธรรม มาตั้งนานแล้ว
จอห์น : แต่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอะ (หัวเราะ) ซึ่งเราทำไม่ได้ ถ้าเราไปพูดโปรโมตอะไรก็ตามให้รัฐหรือองค์กรในลักษณะที่เป็นทางการเมือง มันก็ดูย้อนแย้ง
เคยคิดจะรับเงินสนับสนุนจากรัฐไหม?
จอห์น : สำหรับผมบางทีก็สับสนกับความเป็นไปเหมือนกัน เราก็มีความภูมิใจว่า ดีนะ เราไม่ต้องยึดอยู่กับใคร ยึดอยู่กับคุณผู้ชม มีคุณผู้ชมกลุ่มใหญ่ๆ สนับสนุนเราแหละ แต่กูก็นึกว่า มีคนดูกูเยอะกว่านี้นะ ในวันที่เราคิดว่าตัวเองน่าจะบอกได้ว่าเรามีคนดูเยอะนะเว้ย แต่ก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด พอมันมาถึงจุดหนึ่งก็รู้สึกว่า หรือจริงๆ กูควรจะรับตังค์มาตั้งนานแล้ว เพราะคนดูอาจจะไม่แคร์
แต่มานั่งคิดย้อนหลัง ถามว่าจะให้เปลี่ยนอะไรอีกไหม ก็คงไม่อยากเปลี่ยน เพราะที่เป็นอยู่มันก็ชัดเจนในตัวมันเอง ถ้าจะยืนหยัดอย่างนี้ต่อไป ปลายทางอยู่ตรงไหนก็ยอมรับ
พ่อหมอ : จริงๆ เราน่าจะหงุดหงิดตัวเองด้วยแหละ ถ้าจะเปลี่ยนตัวเอง แล้วเราไปรับตังค์อะ วันหนึ่งเกิดมีเรื่องที่แม่งต้องพูด สมมติรับตังค์กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมา แล้วเกิดน้ำมันรั่ว ไอ้เหี้ย อย่าพูดเลย เดี๋ยวกระทบใจ พี่เขาอุตส่าห์ให้ตังค์เราคราวที่แล้ว ผมกับฝ่ายโฆษณาอาจจะบอกว่า เฮ้ย จอห์น อย่าพูดเลยแล้วกัน จอห์นก็อาจจะบอกว่า หงุดหงิดอะ มันต้องพูดอะพี่ เราจะหงุดหงิดเอง หรือว่าพูดปุ๊บสายต้องเข้าแล้วดิ เฮ้ย ทำไมพูดอย่างนี้ พวกนี้เขาตาหูสับปะรดจะตาย
โลโก้ SpokeDark เป็นคาแรกเตอร์ที่ฉายแสงสว่าง มีนัยทางการเมืองไหม
พ่อหมอ : ตอนนั้นที่ตั้งชื่อ SpokeDark มันเป็นคำเหมือนที่แปลว่า สะเหล่อ เฟอะฟะ คุณโรซี่วาดโลโก้ตัว SpokeDark เวอร์ชันแรก เดินตามหลอดไฟที่เป็นความคิดของตัวเองไปเรื่อยๆ แล้วก็จะมีหลุมสีดำอันหนึ่ง ถึงมันเดินไปตามความคิด เจอหลุมตกไปก็ไม่สนใจ เป็นตัวแทนความเฟอะฟะ สะเหล่อๆ หน่อย ไม่สนใจอะไรมากมาย สนใจแต่ความคิดของตัวเองที่อยากทำอะไรบางอย่างจนอาจจะตกท่อไปก็ไม่ได้แคร์ จริงๆ ก็แอบเป็นตัวตนเรานิดหน่อย
SpokeDark ไปพ้องกับคำว่าพูด – Speak Spoke Spoke แล้วก็ Dark ซึ่งเรื่องที่เราพูดเป็นเรื่องที่เข้มข้น เรื่องที่ด้านมืดของสังคมต่างๆ มันเลยพ้องมาเป็นภาษาอังกฤษ เลยเลือกใช้คำนี้
คนทะลึ่งหน่อยอาจจะบอกว่า ในชื่อเดียวกันมีทั้งโปก ทั้งดาก แต่มันก็ล่วงเลยมานานแล้ว คิดไปก็เออ ทำไมตั้งชื่อนี้วะ เวลาคนบอกว่าเฮ้ย พวก SpokeDark มา เราก็แอบภูมิใจเหมือนกันนะ ชื่อติดหูเขา คนคงอยากรู้เยอะแหละว่าหมายความว่าอะไร จริงๆ ไร้สาระ ไม่มีอะไร (หัวเราะ)
ชวนคุยเรื่ององค์กรมามาก อยากถามทั้งสองคนว่า คุณฝันอยากเห็นสังคมที่มีหน้าตาเป็นแบบไหน
จอห์น : เอาแค่ให้เป็นสังคมประชาธิปไตยก่อนดีกว่า สังคมที่มองคนเท่ากัน ถ้าจุดเริ่มต้นทำแบบนี้กันได้ มันก็ไปได้อีกไกล แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ ไม่ใช่คือไม่ใช่ จะพูดว่าเลือกตั้งแล้วไง มันก็ไม่ใช่ บอกว่ามีสิทธิ เสรีภาพ ก็ไม่ใช่ เราต้องเลิกหลอกตัวเองกันด้วย ต้องเป็นสังคมประชาธิปไตย คนเป็นคน เท่ากันจริงๆ สิทธิเสรีภาพมีอยู่จริง มาตรฐานมีอยู่จริง ก็ต้องรอคอยกันต่อไป
แต่อย่างที่บอกว่าเราดีใจและชุ่มชื่นใจขึ้นมาบ้าง เพราะเราเห็นว่ามีการเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ที่ผลักดันเรื่องเหล่านี้อย่างเข้มข้น แล้วก็ดูมีความตั้งใจ เราเลยรู้สึกว่าตัวเองมีกำลังใจ
พ่อหมอ : ผมอยากเห็นสังคมมีหลักการ คนทำงาน ข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่จะทำหน้าที่ได้โดยไม่ต้องกลัว ไม่ต้องหนีออกนอกประเทศ เช่นถ้าคุณเป็นตำรวจ จะจับใครสักคนหนึ่งต้องรู้ว่า ไอนี่ แม่งใหญ่หรือเปล่า
กฎหมายเราเป็นระบบมาเฟีย รับใช้คนไม่กี่คน ไม่ได้รับใช้ความยุติธรรม ไม่ได้รับใช้ประชาชน ไม่ได้รับใช้สังคม ตัวหลักการเองก็ไม่ได้รับใช้หลักการเองด้วย บิดเบี้ยวอยู่เสมอ หรือต้องตีความกฎหมายอีกต่อหนึ่ง ก็เลยกลายเป็นอำนาจของคนที่ตีความ
จอห์น : แค่หลักการเบสิกง่ายๆ ที่เราพยายามไปเสนอหน้า ตอแหลกับประชาคมโลกว่า ‘อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน’ ยังไม่มีอยู่จริงเลย แม้กระทั่งรัฐธรรมนูญที่เป็นของประชาชน ก็ยังมีหน่วยงาน องค์กร และเครือข่ายขององค์กร หรือสถาบันที่มาฉีกกฎกติกาสูงสุดของประเทศได้เลย
แล้วก็มีคนที่ยอมรับและโอเคกับการกระทำนั้นด้วย แค่นั้นก็แสดงให้เห็นแล้วว่าสังคมนี้ไม่มีมาตรฐานไง มันคือสังคมปากว่า ตาขยิบ สังคมที่พูดอย่างทำอย่างจากบนสุดลงมา จนกลายเป็นวัฒนธรรม มันน่าเศร้านะที่มันกลายเป็นวัฒนธรรมเลย ไม่ใช่แค่ชั่วครั้งชั่วคราว
คุณจอห์นเคยทวีตว่าจะไม่มีวันให้อภัยสลิ่มที่เป็นต้นเหตุสำคัญที่พาประเทศมาถึงจุดนี้ วันนี้ยังคิดเหมือนเดิมไหม?
จอห์น : ใช่ ถ้าเกิดคุณได้กล่าวขออภัยกับสังคมอย่างชัดเจน ผมก็รู้สึกว่าอาจจะพูดคุยกันได้ แต่คงต้องพิสูจน์กันต่อไป
ถามเล่นๆ 2 – 3 ปีมานี้เห็นคนทำงานวงการบันเทิง คนทำงานสื่อกระโจนเข้าสู่เส้นทางการเมือง และทำพรรคการเมือง มีตัวเลือกนี้ในใจไหม
ทั้งสองคน : ไม่มี ไม่คิดอยู่แล้ว (ตอบทันที)
พ่อหมอ : แค่นี้เครียดจะแย่อยู่แล้ว เครียดๆๆ จะได้อยู่ถึงหัวขาวหรือเปล่าวะ อีก 20 ปีมาเจอกันใหม่ อาจจะย้ายประเทศไปแล้วก็ได้ (หัวเราะ)
สุดท้าย อยากจะฝากอะไรถึงผู้ชมและผู้ติดตาม
จอห์น : เราคงพูดอะไรเกี่ยวกับสังคมนี้ต่อไม่ได้ ถ้าเราไม่มีแพลตฟอร์ม ถ้าไม่มีกำลังในการผลิต ถ้าคุณเห็นคุณค่าของสิ่งที่เราทำ ถ้าคุณไม่อยากให้เราไปผูกอยู่กับใคร ผูกอยู่กับคุณผู้ชมเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของคุณผู้ชม ซึ่งคือประชาชนชาวไทย ก็อย่าลืมสนับสนุน SpokeDark TV นะครับ (หัวเราะ)