ทำไมคนเมืองถึงพึ่งความเชื่อสายมูฯ - Urban Creature

‘พี่เปิดประตูมา นึกว่าอยู่ในตำหนักไหนสักแห่ง’

นี่คือคำที่คุณแฟนใช้บรรยายมุมหนึ่งในห้องเล็กๆ ของฉันในย่านเอกมัย ที่มีทั้งหินมงคล (เอาออกไปอาบแสงจันทร์ทุกคืนที่พระจันทร์เต็มดวง), เครื่องหอมกำยาน, เครื่องรางเสริมดวงจากครูบาที่มีชื่อเสียงมากมาย, เทวรูปเล็กๆ ของศาสนาฮินดู รวมไปถึงศาสนาพุทธ พร้อมน้ำและดอกไม้ที่คอยเปลี่ยนถวายอยู่เรื่อยๆ

คอนโดฯ High-rise ที่มองออกไปเห็นวิวทิวทัศน์รายล้อมด้วยตึกสูงสไตล์โมเดิร์น รอบๆ เป็นบาร์ฮิปๆ ที่มักมีเสียงวัยรุ่นโหวกเหวกทุกคืน โดยเฉพาะช่วงตี 2 – 3

ข้างนอกคอนโดฯ กับข้างในห้องของฉันช่างเป็นภาพที่ดูไม่เข้ากันเหลือเกิน

‘The growth rate of cities urgently requires that we give attention not merely to design and planning
but also to deeper questions of meaning and purpose.
We not only live in the world; we also live with a sense, implicit or explicit,
of what the world means.’

‘การเติบโตของชีวิตในเมือง มันไม่ใช่แค่เรื่องของการใส่ใจดีไซน์หรือ
การวางแผนอีกต่อไปแล้ว แต่ยังรวมไปถึงการค้นหาความหมายและจุดประสงค์ที่ลึกซึ้งของแต่ละคนอีกด้วย
เพราะเราไม่ได้แค่อาศัยอยู่ ‘ในโลก’ แต่เราอาศัยอยู่ท่ามกลางการเดินทาง
หาความหมาย ทั้งจากภายนอกและภายใน ว่าโลกให้อะไรกับเรา
และเราเกิดมาเพื่ออะไร’

– Philip Sheldrake –

เราอยากเริ่มต้นบทความนี้ด้วยการอธิบายถึง ‘Spiritual Beliefs’ หรือความเชื่อด้านจิตวิญญาณ ว่าคือความรู้สึกผูกพันระหว่างตัวเราต่ออะไรก็ตามที่เชื่อว่ามีพลังอยู่เหนือตัวเอง ซึ่งส่งผลต่อมุมมองที่เรามีต่อการใช้ชีวิต ความตาย และความจริงต่างๆ ของจักรวาลนี้

ส่วน ‘Religious Beliefs’ หรือความเชื่อด้านศาสนา จะคล้ายๆ กับความเชื่อด้านจิตวิญญาณ เพียงแต่เพิ่มจารีตปฏิบัติและพิธีบูชา รวมไปถึงการร่วมกิจกรรมกับผู้ร่วมศาสนาคนอื่นๆ

ที่ต้องเริ่มต้นแบบนี้เพราะว่า ‘สิ่งศักดิ์สิทธิ์’ ที่เคยถูกมองว่าเป็นความเชื่อเฉพาะกลุ่ม บ้างก็ว่านี่คือความเชื่อที่พิสูจน์ไม่ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ เข้าถึงยาก ถึงขนาดที่เมื่อก่อน หลายคนแอบเขินด้วยซ้ำถ้าจะบอกใครว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินชีวิต

แต่ทำไมในปัจจุบัน คนเมืองหลายคนที่มีชีวิตทันสมัยถึงยังรู้สึกผูกพันและอุ่นใจ เมื่อได้เชื่อมโยงและยึดเหนี่ยวจิตใจตัวเองกับความเชื่อที่ยิ่งใหญ่ แต่ดูจะหาคำอธิบายเป็นรูปธรรมยากอย่างโลกจิตวิญญาณขนาดนี้

ผิดไหมถ้าเลือกความเชื่อสายมู
ผิดไหมถ้าเลือกความเชื่อสายมู

ยิ่งชีวิตแต่ละวันต้องเดิมพันสูง ยิ่งไม่สามารถเสี่ยงล้มได้เลย

ก่อนถึงโอกาสสำคัญใดๆ อย่างการเสนองานโปรเจกต์ใหญ่ หลายคนนอกจากทบทวนหัวข้อและเตรียมคำตอบที่แยบยลเผื่อโดนถามเพิ่มแล้ว ‘สีเสื้อมงคล’ หรือการสวดมนต์ สวดคาถา เอาฤกษ์เอาชัย ก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกมองข้าม

เพราะการพลาดงานสำคัญชิ้นหนึ่งไม่ได้สร้างแค่ความเศร้าให้เรา แต่อาจหมายถึง ‘การสูญเสียความมั่นใจ’ ที่ทำให้เราเริ่มตั้งคำถามกับตำแหน่งงานที่ทำอยู่ ท่ามกลางสังคมที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน

ไหนจะส่งผลต่อ ‘ความเจริญก้าวหน้าในงาน’ เพราะเจ้านายอาจลดระดับความน่าเชื่อถือของเราลงจากความผิดพลาด เสี่ยงไม่ได้รับโอกาสครั้งต่อไปในการทำงานใหญ่ๆ ทำให้โอกาสนั้นหลุดมือไปเป็นของคนอื่นในทีม หรือที่หนักกว่านั้น หากเป็นบริษัทที่เข้มงวดมาก เราอาจโดนกดดันให้ออกจากงานและต้องไปเริ่มต้นตั้งตัวใหม่

นอกจากนี้ยังมี ‘ความรู้สึกดีไม่พอ’ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่หันกลับมามองความสำเร็จของตัวเอง หลายครั้งเราก็เผลอวัดคุณค่าตัวเองจากความก้าวหน้าของงาน ซึ่งส่งผลกระทบตั้งแต่ภายนอกที่มองเห็นได้ชัดเจน ลึกลงไปจนถึงสภาพจิตใจ

และสุดท้ายคือ ‘ความไม่มีที่ติ’ ที่หลายคนฝันจะมุ่งไปให้ถึง และความพยายามที่จะอยู่เหนือกว่าทุกคน เพื่อให้ตัวเองปลอดภัยในสังคมที่แข่งกันว่าใครดีใครได้ การเตรียมตัวแต่ละขั้นตอนเพื่อไปถึงวันสำคัญจึงไม่ใช่เรื่องธรรมดา

ผิดไหมถ้าเลือกความเชื่อสายมู

การต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้ ทำให้เกิดความกังวลที่เพิ่มพูน

ความวิตกกังวลจนใจอยู่ไม่สุขมักเกิดขึ้นเมื่อเราเผชิญหน้าหรือถูกรายล้อมไปด้วยปัจจัยที่ ‘เรา’ ไม่สามารถควบคุมได้

ระหว่างการรอคอยจุดที่ในที่สุดเราจะได้หายใจโล่ง คือช่วงเวลาแห่งการบ่มเพาะความกังวล-ความเจ็บปวด โดยเฉพาะถ้าเป็นการรอคอยโดยไม่รู้ว่าเส้นชัยที่เราหวังไว้จะหน้าตาเหมือนสิ่งที่อยู่ในหัวหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน ความสัมพันธ์ หรือเรื่องการแข่งขันใดๆ ก็ตาม

ความเชื่อคือตัวช่วยที่ทำให้ความประหม่าและวิตกกังวลของเราเจือจาง

ความประหม่าและวิตกกังวลคือภาวะที่ใครก็ล้วนประสบได้ตลอดเวลา แต่การจะทำให้อาการเหล่านี้ลดน้อยลงหรือหายไปคือ การทำอะไรก็ได้ที่สร้างความมั่นใจและลดความเครียดระหว่างรอผลลัพธ์ พร้อมๆ กับเติมไฟในใจว่าภาพนั้นมันต้องมาถึงจนได้แน่ๆ

เพราะยิ่งมั่นใจเท่าไหร่ ยิ่งคลายกังวลเท่านั้น การได้มีที่ยึดเหนี่ยวจากบางคนหรือบางสิ่งที่เรารู้สึกว่ามีพลัง ‘เหนือ’ เรา หยั่งรู้บางอย่างได้มากกว่าเรา ไม่ว่าจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หมอดู ซินแส เครื่องราง ฤกษ์ หรือตัวช่วยด้านความมงคลตามความเชื่อจากไหนก็ตาม ขั้วอำนาจที่มากกว่าของคนหรือสิ่งนั้นนั่นแหละ มีพลังมากพอจะทำให้เรารู้สึกมีหลักประกันคุ้มกันหัวใจจากความเจ็บใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้

ยิ่งไปกว่านั้น หากเกิดความผิดหวังจากสิ่งที่เราฝันไว้จริงๆ ความรู้สึก ‘ได้รับการปกป้องและดูแลอย่างทะนุถนอม’ จากสิ่งที่เราศรัทธาจะขับกล่อมหัวใจของเราให้ผ่านความเจ็บปวดได้ หรืออย่างน้อยความเจ็บปวดนั้นอาจถูกลดหย่อนผ่อนลงมาจนเราทนความหนักหนาไหว

ผิดไหมถ้าเลือกความเชื่อสายมู

อะไรก็ทำให้เราเสียสุขภาพจิตได้ทั้งนั้น แม้จะเป็นโลกจิตวิญญาณก็ตาม

แม้จะรู้สึกว่าได้รับการคุ้มครองจากอะไรหรือใครก็ตาม แต่อะไรที่มากเกินไปก็ทำให้สุขภาพจิตเราสั่นคลอนได้ทั้งนั้น ดังนั้นใจความหลักจึงไม่ได้อยู่ที่ ‘สิ่งนั้นคืออะไร’ แต่เป็น ‘การจัดการสภาวะจิตใจของเราต่อสิ่งนั้น’ มากกว่า

อะไรก็ตามที่สร้างความรู้สึก ‘พอดี’ ให้กับใจเรา สิ่งนั้นจะช่วยยกระดับอารมณ์เราได้เสมอ แต่หากจิตใจของเราอยู่เกินจุดสมดุลไปไกล จากการยึดเหนี่ยวเพื่อความสบายใจอาจเปลี่ยนเป็นสูญเสียตัวเองขึ้นมาได้

หากเราศรัทธาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จนเลยไปถึงจุดที่ใจเสพติด เหนื่อย หวาดกลัว และระแวงชีวิตรอบด้าน

หากเราตั้งใจทำกิจกรรมใดๆ เพื่อความเป็นมงคล แต่กลายเป็นเครียดและกดดันตัวเอง

หากเราเชื่อคำหมอดู ซินแส ผู้นำทางจิตวิญญาณ จนเศร้าหรือขาดความมั่นใจในพลังของตัวเอง

อยากให้ลองค่อยๆ ปลอบโยนตัวเอง พร้อมพาเดินกลับมาในจุดที่เราชอบตัวเองให้ได้อีกครั้ง ปล่อยวางในสิ่งที่เราเชื่อว่ามันคุ้มจะปล่อยวาง สิ่งไหนที่แรกเริ่มทำเพราะอยากให้เรารักตัวเองและชีวิตมากขึ้น ระหว่างที่ทำสิ่งนั้นไปเรื่อยๆ ก็ควรพิจารณาไปด้วยว่าหัวใจเรายังรู้สึกสดใสแบบนั้นอยู่ไหม

“ชะตากรรมก็ไม่สู้ชะตากู” ครูสอนไพ่ทาโรต์ของเราเคยบอกไว้แบบนี้ ซึ่งในโลกของจิตวิทยาและโลกของจิตวิญญาณนั้นมีแก่นที่เหมือนกันเลย นั่นคือ ‘เราคือตัวละครหลักของชีวิตนี้’

การได้ฟังหรือรับรู้ข้อความที่ทำให้ห่อเหี่ยวใจจากใคร ยังไงเราก็มีอำนาจในชีวิตที่จะเปลี่ยนอะไรบางอย่างให้ดีขึ้นเสมอ เหมือนกับการเติบโตมาในสภาพสังคมที่แย่ เคยผ่านประสบการณ์ชีวิตที่ทำให้ใจเจ็บขนาดไหน สิ่งนั้นไม่ใช่คำสาปว่าชีวิตเราต้องพังทลายจนแก้ไขไม่ได้ตลอดไป

ขอแค่เพียงเราตั้งใจเยียวยาตัวเอง สร้างบทละครบทใหม่ที่เราเป็นคนกำหนดเอง


Sources :

Spiritual and Religious Beliefs and Practices, and Social Support’s Relationship to Diabetes Self-Care Activities in African Americans | bit.ly/3NjKOvq
Spirituality and the Urban | bit.ly/3NAGo4u

Writer

Graphic Designer

SEND YOUR STORY

REQUEST INTERVIEW

ติดตามอ่าน “Urban Creature”
นิตยสารออนไลน์ที่จะทำให้คุณรักเมืองที่คุณอยู่ รักตัวเองมากขึ้นด้วยการเปิดมุมมองและนำเสนอแนวทางการใช้ชีวิตอย่างสร้างสรรค์ และสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ในการใช้ชีวิต
Better Life. Better Living.

Max. file size: 256 MB.