*Trigger Warning : บทความนี้มีเนื้อหาและรูปภาพเกี่ยวกับสัตว์เลื้อยคลานประเภทงู*
“แล้วคุณจะรู้ว่างูไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด” คำพูดติดปากของเหล่าพนักงานที่นำเสนอจุดประสงค์การมีอยู่ของ ‘Siam Serpentarium’ พิพิธภัณฑ์งูในย่านลาดกระบังได้เป็นอย่างดี
เพราะที่นี่คือพิพิธภัณฑ์แห่งที่ 8 ภายใต้ซีรีส์คอนเทนต์ ‘MUSEUM-IN-SIGHT เพ่งพิศพิพิธภัณฑ์’ ที่เปลี่ยนจากการนำเสนองานศิลปะมาเป็นสิ่งมีชีวิตอย่าง ‘งู’ กว่า 70 สายพันธุ์
การจัดการพิพิธภัณฑ์ที่ผลงานจัดแสดงคือสิ่งมีชีวิตจะแตกต่างจากพิพิธภัณฑ์อื่นๆ อย่างไร ตามเราไปพูดคุยกับ ‘คุณบีม-ศรานนท์ เจริญสุข’ Senior Manager และเหล่าพนักงานที่หลงใหลในเสน่ห์ของน้องงู ไม่ว่าจะเป็นผู้นำชม หมองู ผู้ดูแลสัตว์ และนักวิทยาศาสตร์ในบทความนี้กันเลย
ป.ล. บทความนี้เขียนเป็นภาษาไทย ใครที่อ่านภาษาพาร์เซลไม่ออก ไม่ต้องกังวล

ตอบทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับงู
งูเคลื่อนที่อย่างไร
ปกติงูกินอะไรเป็นอาหาร
ถ้าเจองูต้องทำยังไง
สารพัดคำถามเกี่ยวกับงูที่เราสงสัยจะได้รับคำตอบแน่นอนเมื่อมาเยือน Siam Serpentarium สวนงูที่ทันสมัยที่สุดแห่งแรกและแห่งเดียวในเอเชีย พื้นที่การเรียนรู้ที่เริ่มต้นด้วยจุดมุ่งหมายที่อยากให้ผู้คนรู้จักงูในแง่มุมต่างๆ มากขึ้น
“เราไม่ได้อยากเล่าเรื่องงูเพื่อให้ทุกคนรักงู เราแค่อยากให้ทุกคนรู้ว่างูก็เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่อยู่รอบๆ ตัวเรา” คุณบีม Senior Manager ประจำพิพิธภัณฑ์งูแห่งนี้บอกกับเราในระหว่างพูดคุย

งูขดเป็นเครื่องหมายคำถาม คือโลโก้ของพิพิธภัณฑ์ฯ ซึ่งสอดคล้องกับความตั้งใจของที่นี่ที่คุณบีมเน้นย้ำเป็นอย่างดี “ถ้ามีคำถามหรือข้อสงสัยอะไรเกี่ยวกับงูให้มาหาคำตอบที่นี่”
ย้อนกลับไป แม้ชื่อ Siam Serpentarium จะเป็นที่รู้จักครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2559 แต่ความเป็นจริงที่นี่อยู่มานานเป็นระยะเวลากว่า 40 ปีแล้ว แต่ในตอนนั้นสถานที่แห่งนี้วางตำแหน่งตัวเองไปที่การรับทัวร์ต่างชาติและขายสินค้าที่ระลึกเป็นหลัก ในขณะที่มีงูจัดแสดงอยู่เพียง 10 กว่าตู้เท่านั้น
จนเมื่อมีการเปลี่ยนผู้บริหาร จึงเริ่มมีทิศทางในการพัฒนาองค์กรไปในรูปแบบของศูนย์การเรียนรู้และพิพิธภัณฑ์มากขึ้น เพื่อรองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทย ด้วยการหยิบเอาเรื่องงูที่มีองค์ความรู้อยู่แล้วมาขยาย เพิ่มส่วนของพิพิธภัณฑ์ให้ความรู้เข้าไป และได้คุณบีมเข้ามาช่วยดูแลส่วนพิพิธภัณฑ์ฯ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ไขข้อข้องใจ ด้วยการเกิดใหม่เป็นลูกงู

ย้อนกลับไปตอนเด็ก เชื่อว่าทุกคนมักถูกปลูกฝังมาว่า งูคือสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัว อันตราย และมีพิษร้าย ซึ่งนั่นเป็นความท้าทายของคุณบีมและตัวพิพิธภัณฑ์ฯ เป็นอย่างมากที่ต้องนำเสนองูออกมาในรูปแบบที่ไม่เป็นการส่งเสริมภาพของความน่ากลัว
“จะเห็นได้จากตัวการ์ตูนหรือหุ่นตุ๊กตาต่างๆ ที่เราพยายามใส่เข้ามา เพื่อทำหน้าที่บอกเล่าว่างูมีความน่าสนใจอย่างไร” คุณบีมกล่าว
‘Immersive Snake Museum’ คือด่านแรกที่เหล่าผู้เข้าชมจะได้เจอ โดยมีรูปแบบการเข้าชมอยู่ด้วยกันทั้งหมด 2 รูปแบบ ได้แก่ การเดินชมด้วยตัวเอง และการเดินชมแบบมี ‘Museum Guide’ นำบรรยายทุกๆ 30 นาที
ซึ่งในวันนี้เราได้ ‘พี่ที-ภูริโชติ โชติพันธุ์’ นักวิทยาศาสตร์ผู้ผันตัวเป็น Museum Guide Supervisor มาร่วมเดินไปกับเรา เพื่อบอกเล่าถึงความน่าสนใจในส่วนต่างๆ ของที่นี่ เริ่มตั้งแต่การสวมบทเป็นลูกงูที่กำลังจะฟักออกจากไข่ไปใช้ชีวิต

เพราะจะมีอะไรที่ทำให้เราเข้าใจชีวิตของงูได้มากกว่าการเกิดเป็นงูซะเองล่ะ
กระบวนการอิเซไกเกิดใหม่เป็นงูของเรานั้นเริ่มจากการดู VCR เพื่อเป็นอินโทรพาเราเข้าสู่โลกของงู จากนั้นเมื่อเราฟักออกจากไข่ก็ได้เวลาท่องโลกกว้างภายในตัวพิพิธภัณฑ์ฯ ที่มีการจำลองป่าและสัตว์ต่างๆ ในสเกลที่ใหญ่กว่าปกติ เพื่อแสดงให้เห็นว่าถ้าเป็นงู สัตว์ชนิดอื่นๆ ในสายตาของงูจะมีขนาดตัวเท่าไหน
จากนั้นพี่ทีชี้ชวนให้เห็นการเคลื่อนที่ของงูในแต่ละรูปแบบที่นำเสนอผ่านการฉายท่าทางบนโปรเจกเตอร์ แล้วพาเราเดินไปตามทางเพื่อพบโมเดลงูหางกระดิ่งที่กำลังสะบัดหางส่งเสียงอยู่ในส่วนถัดไป

“เรามักเข้าใจว่าในหางของงูหางกระดิ่งจะมีเม็ดทรายหรืออวัยวะที่ทำให้เกิดเสียงกระดิ่งกรุ๊งกริ๊งอยู่ข้างใน แต่ในความเป็นจริงแล้วหางของงูหางกระดิ่งเป็นเพียงปล้องกลวงๆ ซึ่งเกิดจากการลอกคราบสะสม เพียงแต่เมื่อแต่ละปล้องกระทบเสียดสีกันจึงทำให้เกิดเสียงขึ้นมา” ความสงสัยเรื่องที่มาของเสียงของงูหางกระดิ่งคลี่คลายด้วยคำอธิบายของพี่ที
ขณะเดียวกัน เขายังบอกกับเราอีกว่า คนไทยมักเข้าใจว่าในเมืองไทยมีงูหางกระดิ่ง แต่ความเป็นจริงแล้วในประเทศเราไม่พบงูหางกระดิ่งอยู่เลย เพียงแต่มีงูบางชนิดที่มีพฤติกรรมตีปลายหางเวลาตกใจจนทำให้เกิดเสียง คนเลยคิดไปเองว่าเป็นงูหางกระดิ่ง
เราในบทบาทลูกงูสมมุติเดินตามเส้นทางของตัวพิพิธภัณฑ์ฯ ที่พาเข้าไปในลำตัวของงูเพื่อเรียนรู้เรื่องอวัยวะภายในของสัตว์ชนิดนี้ แต่เราขอเตือนไว้สักหน่อยว่า ปากงูที่เรากำลังจะเดินเข้าไปสามารถขยับขึ้นลงได้ด้วย ระวังจะตกใจแบบเรานะ


อีกความเซอร์ไพรส์คือ ทันทีที่เหยียบเข้าไปในตัวงูจะพบว่าพื้นภายในได้รับการออกแบบให้นิ่มและยวบเล็กน้อย ที่เป็นแบบนี้คุณบีมเฉลยว่าเป็นความตั้งใจของทางพิพิธภัณฑ์ฯ ที่อยากให้เราได้ความรู้สึกเหมือนเข้าไปในตัวงูจริงๆ
“แต่ก็จะมีลูกค้าถามว่า แล้วในตัวงูจริงๆ เป็นแบบนี้หรือเปล่า อันนี้ก็เป็นเพียงการจำลองเฉยๆ เพราะเรายังไม่เคยเข้าไปในตัวงูจริงๆ เหมือนกัน” พี่ทีเล่าพลางหัวเราะ ก่อนเดินนำเราผ่านเข้าไปในตัวงูเพื่อไปยังส่วนถัดไป
สัมผัสความหลากหลายของสายพันธุ์งู
หลังจากเปิดประสบการณ์เป็นงู ตั้งแต่การเกิด วิธีการล่า การเอาตัวรอด ตลอดจนการสืบพันธุ์ และรู้ลึกถึงอวัยวะทุกส่วนตั้งแต่หัวจรดหางด้วยการท่องทะลุผ่านลำตัวงูยักษ์จำลอง ก็ได้เวลาเข้าสู่ ‘Snake Planet’
บริเวณนี้เป็นสวนงูที่มาพร้อมตู้กระจกจัดแสดงงูที่เปิดให้เราได้เห็นงูตัวเป็นๆ จากทุกมุมโลกกว่า 70 สายพันธุ์

“ป้ายข้างบนจะบอกชื่องูแต่ละชนิด ในขณะที่ป้ายข้างล่างนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับงูนั้นๆ” พี่ทีอธิบาย
นอกจากนี้ ในป้ายแต่ละตู้ยังมีการใช้สี 3 สีล้อมรอบรูปงู เพื่อจำแนกงูออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ สีเขียวแสดงถึงงูที่ไม่มีพิษ สีส้มแสดงถึงงูที่มีพิษเล็กน้อย และสีแดงคืองูที่มีพิษอันตราย

“ส่วนใหญ่งูที่จัดแสดงอยู่ภายในตู้กระจกจะเป็นงูจากต่างประเทศมากกว่างูไทย ที่เป็นแบบนี้ส่วนหนึ่งเพราะงูไทยหลายชนิดมีหน้าตาและสีสันคล้ายกัน อีกทั้งงูไทยที่น่าสนใจหลายชนิดถือเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองที่เรายังไม่มีใบอนุญาติรับรอง ทำให้เลี้ยงและจัดแสดงไม่ได้” คุณบีมอธิบายถึงที่มาที่ไปของสัดส่วนสายพันธุ์งูในห้องนี้
แต่ถึงอย่างนั้น ภายในส่วนการจัดแสดงนี้ทางพิพิธภัณฑ์ฯ ก็พยายามนำเสนอสายพันธุ์งูที่มีความหลากหลายและครอบคลุมมากที่สุด
“ปัจจุบันเราพยายามจัดโทนของการตกแต่งภายในตู้ให้ล้อไปกับถิ่นที่อยู่ในธรรมชาติ รวมไปถึงจัดโซนตามการอยู่อาศัยของงู เช่น งูที่อาศัยในทราย บนต้นไม้ ในป่า พื้นที่แห้งแล้ง ไปจนถึงแหล่งน้ำ”


นอกจากนี้ คุณบีมยังเล่าถึงความท้าทายของการออกแบบภายในตู้กระจกที่ต้องบาลานซ์ระหว่างให้งูอยู่ได้อย่างสบายและผู้ชมต้องมองเห็นงูได้ด้วย โดยจะใช้ต้นไม้ปลอมในการตกแต่ง เพื่อโฟกัสไปที่การดูแลงูได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากไม่ต้องคอยรดน้ำหรือดูแลการเจริญเติบโตของพืชภายในตู้กระจก
พี่ทีเสริมว่า นอกจากการออกแบบภายในตู้แล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษคือ การควบคุมอุณหภูมิและความชื้นให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม และในส่วนนี้จะมีเจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์หรือ Zoo Keeper คอยดูแลและตรวจเช็กอยู่บริเวณหลังตู้กระจกอยู่เสมอ

และนั่นคือส่วนถัดไปที่พี่ทีขอส่งไม้ต่อให้ ‘พี่ปื๊ด-สันติ อินทร์จันทร์’ Zoo Keeper Supervisor และ ‘พี่เบสท์-กชนันท์ บรรเจิดลักษณ์’ นักวิทยาศาสตร์ที่ควบหน้าที่ดูแลงานด้านการศึกษา เป็นคนพาเราเข้าไปดูหลังบ้านของพิพิธภัณฑ์ฯ ในลำดับถัดไป
ล้วงลึกหลังบ้าน เบื้องหลังการทำงานกับงู
แม้จะพูดว่าหลังบ้านแต่ที่นี่พิเศษกว่านั้น เพราะห้องเพาะเลี้ยงงูและห้องวิจัยได้รับการออกแบบมาให้บริเวณด้านหน้าเป็นกระจกมองทะลุได้ ทำให้ผู้เข้าชมสามารถมองเห็นการทำงานหลังบ้านได้ด้วย

“พอยต์หนึ่งคือ ผมคิดว่าคนน่าจะสงสัยว่างานเบื้องหลังของพิพิธภัณฑ์ฯ และการดูแลสัตว์เขาทำกันอย่างไร พอเราเริ่มทำที่นี่เลยตัดสินใจพลิกหลังบ้านที่ทุกคนอาจไม่เคยได้สัมผัสออกมา เปิดให้มองเห็นเกือบหมด” คุณบีมอธิบายก่อนเดินนำเราเข้าไปสัมผัสบรรยากาศภายในห้องทำงานที่เหล่าเจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์และนักวิทยาศาสตร์ใช้ทำงานจริง
“ผมทำงานที่นี่มาตั้งแต่ช่วงเปิดแรกๆ ประมาณแปดปีแล้ว ทำงานกับงูก็สนุกดี เพราะงูไม่เหมือนหมาแมวที่จะอ้อนหรือส่งเสียง เราต้องคอยสังเกตความเปลี่ยนแปลงของเขาตลอดเวลา” พี่ปื๊ดเล่าถึงความท้าทายในการทำงาน

นอกจากพี่ปื๊ดจะทำงานในห้องสำหรับเพาะเลี้ยงงูแล้ว หน้าที่ของเจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์ยังรวมไปถึงการตรวจเช็กโซนพื้นที่จัดแสดงงูทั้งด้านหน้าและด้านหลัง การตรวจเช็กระบบไฟ ความชื้น รวมถึงน้ำด้วยว่ามีความผิดปกติอะไรไหม เพราะทุกอย่างล้วนส่งผลกับงูด้วยกันทั้งสิ้น
ในขณะที่พี่เบสท์ นักวิทยาศาสตร์ประจำพิพิธภัณฑ์ฯ ที่ทำงานอยู่ห้องข้างกันบอกกับเราว่า นอกจากจะนั่งทำงานเอกสารอยู่ในห้องวิจัยข้างๆ ห้องเพาะเลี้ยงงูแล้ว สิ่งที่เธอต้องทำงานร่วมกับผู้ดูแลสัตว์คือ เมื่อมีงูตัวไหนที่แสดงอาการผิดปกติตามการสังเกตการณ์ของพี่ปื๊ด เธอนี่แหละจะสวมบทเป็นผู้ช่วยสัตวแพทย์ คอยประสานงานติดตามอาการในระหว่างสัปดาห์ เพื่อรอสัตวแพทย์เขามาตรวจรักษา


“ในส่วนงานนักวิทยาศาสตร์ เบสท์จะเป็นคนจัดทำทะเบียนงู ทั้งงูเข้า-ออก หรืองูที่ตายและเกิดใหม่ รวมไปถึงเมื่อมีลูกค้าถามข้อมูลมาทางพี่ที แล้วเป็นเรื่องใหม่ที่ต้องใช้การศึกษาค้นคว้า เราจะเป็นคนหาข้อมูลเพิ่มเติมเป็นฐานข้อมูลในอนาคตสำหรับตอบลูกค้า
“ทุกคนอาจเข้าใจว่านักวิทย์จะต้องอยู่แล็บ ใช้อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์อย่างพวกบีกเกอร์หรือกระบอกตวง แต่ที่ทุกคนอาจจะยังไม่รู้คือ นักวิทย์เองก็มีสาย Zoo Scientist ที่ทำเกี่ยวกับตัวอย่างที่มีชีวิต (Life Specimen) เป็นงานกึ่งๆ นักวิทยาศาสตร์ กึ่งๆ คิวเรเตอร์แบบนี้ด้วยเหมือนกัน” พี่เบสท์แชร์ถึงสายงานให้ฟัง ก่อนจะเล่าถึงงานอีกส่วนที่ทำซึ่งก็คืองานด้านการศึกษา

“หลังที่นี่เปิดมาได้สักพักเราก็เปิด Serpentarium Academy เพื่อถ่ายทอดข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ให้กลุ่มคนที่สนใจ ในรูปแบบที่เข้าใจง่ายและสนุก ผ่านการทำกิจกรรมให้เด็กๆ แล้วแต่ช่วงอายุได้เข้ามาเรียนรู้” นักวิทย์ที่ควบตำแหน่งนักการศึกษาบอกกับเรา
“มีจุดหนึ่งที่เด็กๆ ที่มาเที่ยวอยากรู้เรื่องงูมากขึ้น เราเลยตัดสินใจเปิด Serpentarium Academy เพื่อให้ความรู้กับเด็กๆ และครอบครัว ซึ่งก็ได้รับความสนใจเป็นอย่างดีจากพ่อแม่ ผู้ปกครอง และเด็กๆ” คุณบีมเสริม

แม้แต่งูก็ต้องมีสวัสดิการ
เมื่อมาที่ Siam Serpentarium อีกส่วนที่ห้ามพลาดคือ ‘Naka Theatre’ พื้นที่โรงละครที่จัดแสดงชุดจับงูด้วยมือเปล่าตลอดเวลาทำการด้วยทีมหมองู นำโดย ‘พี่อุทัย ฝูงใหญ่’ หมองูรุ่นเดอะที่อยู่กับพิพิธภัณฑ์ฯ มาตั้งแต่เริ่ม
เราจะได้นั่งชมการแสดงระหว่างคนกับงู ผ่านเทคนิคตระการตา พร้อมแสง สี เสียงสุดอลังการ ในโรงละครอันกว้างขวางและสะดวกสบาย ที่รองรับผู้ชมได้ถึง 400 ที่นั่ง ให้เราได้สนุก ตื่นเต้น เร้าใจไปกับการแสดง ทั้งการจับงู จูบหัวงู และการรีดพิษ

“ตอนแรกที่รับโจทย์มาว่าเราจะพัฒนาพื้นที่ให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ ส่วนหนึ่งที่คุยกันเลยคืออยากเปลี่ยนวิธีโชว์งูด้วย เพราะมันเป็นโชว์แบบโบราณที่มีลำดับการแสดงแบบเดิมๆ คือเอางูมาวาง ล่อ ฉก จูบหัวงู จับงูมือเปล่า และรีดพิษ” คุณบีมเล่าถึงความตั้งใจแรก
แต่เมื่อศึกษาและสอบถามไปทางพี่อุทัยและหมองูคนอื่นๆ กลับพบว่า ที่การโชว์งูไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนต่างก็มีการเรียงลำดับการแสดงแบบนี้ เป็นเพราะอาจารย์ที่เป็นคนสอนการโชว์งูต้นตำรับเป็นคนไทย เมื่อคนต่างชาติเข้ามาเรียนแล้วนำกลับไปที่ประเทศตัวเองจึงมีลำดับการโชว์เหมือนกัน

“ถ้ามองแบบนี้ การแสดงแบบดั้งเดิมก็ถือเป็นการถ่ายทอดทางวัฒนธรรมออกไป เราเลยมาพรีเซนต์ในอีกมุมหนึ่งว่า เราอาจไม่ต้องเปลี่ยนการลำดับหรือรูปแบบใหม่ก็ได้ แต่เรามาทำให้มันเป็นมาตรฐานมากขึ้น พยายามเติมเรื่องสวัสดิการให้มากที่สุดแทน” ผู้จัดการพิพิธภัณฑ์ฯ พูดถึงการปรับมุมมองเรื่องของการโชว์งู
คำว่า ‘สวัสดิการ’ ที่ว่าไม่ใช่เฉพาะหมองู แต่รวมไปถึงงูที่ใช้ในการโชว์ด้วย
พี่อุทัยบอกกับเราว่า ในการโชว์งูแต่ละครั้งจะมีการสับเปลี่ยนงูอยู่เสมอ เพราะการโชว์ในลักษณะนี้จะทำให้งูเกิดความเครียดได้ง่าย สิ่งที่ต้องคอยดูแลคือสภาพจิตใจของเหล่างูเพราะต้องพึ่งพากันและกัน

“เวลาโชว์เราต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา อันนี้คือสิ่งที่สำคัญมากของหมองู เพราะการแสดงที่นี่ไม่ได้ถอดเขี้ยวพิษออก ไม่ได้รีดพิษทิ้ง เราโชว์งูที่สมบูรณ์ เพราะถ้าไปถอดเขี้ยวเขาออกก่อนจะโชว์ โชว์ได้แค่ไม่กี่วันมันก็ตาย” พี่อุทัยเล่าถึงเบื้องหลังการแสดงที่เราไม่เคยรู้มาก่อน
“เราคุยกับหมองูว่า ถ้าไม่หักเขี้ยวพิษจะโชว์ได้มั้ย ทีมนี้เขาบอกว่าโชว์ได้ ซึ่งมันก็เป็นการอนุรักษ์วิชาชีพแบบดั้งเดิมของเขาไปพร้อมกับการเซฟงูของเราไปด้วย” คุณบีมกล่าวเสริม
โบกมือลาพร้อมความเข้าใจใหม่ที่มีต่องู

เมื่อออกจาก Naka Theatre เราก็มาถึง 2 โซนสุดท้ายของวันนี้แล้วกับโซน ‘Souvenir Shop’ หรือร้านขายของที่ระลึก และ ‘Snaka Snake Café’ ซึ่งเป็นโซนคาเฟ่ที่เปิดบริการบริเวณด้านหลังของตัวพิพิธภัณฑ์ฯ พื้นที่ที่ไม่ต้องซื้อบัตรเข้าชมก็เข้าใช้บริการได้ตามปกติ
โดยภายในตัวคาเฟ่นอกจากจะมีเครื่องดื่มและขนมอร่อยๆ คอยให้บริการแล้ว ยังมีโซน ‘Snakeducation’ ที่เป็นการผสมระหว่างคำว่า Snake และ Education ตั้งอยู่ด้วย เพื่อเปิดโอกาสให้คนที่สนใจได้ลองสัมผัสงูโดยมีเจ้าหน้าที่คอยดูแล
“โซนนี้เปิดขึ้นครั้งแรกในช่วงโควิด เป็นโซนจับงูที่เปิดให้ลูกค้าหรือนักท่องเที่ยวเข้ามาเรียนรู้เรื่องราวของงูแบบง่ายๆ ได้ฟรี ซึ่งทำให้เราได้เห็นหลายคำถามที่น่าสนใจของเด็ก และต่อยอดไปเป็น Serpentarium Academy” คุณบีมบอก

แม้งูในพื้นที่ส่วนนี้จะไม่ได้มีเยอะมาก แต่ได้รับผลตอบรับจากเด็กๆ และผู้ปกครองเป็นอย่างดี จนมีบางคนที่มาเป็นประจำจนสนิทกับเจ้าหน้าที่
“บางคนมาตั้งแต่สามขวบ จนตอนนี้แปดเก้าขวบ จากที่บ้านไม่ให้เลี้ยงงู จนที่บ้านโอเค จนต้องไปเรียนต่างประเทศ มาขอฝากงูไว้กับเราก็มี” คุณบีมเล่าด้วยรอยยิ้ม
ประสบการณ์ดีๆ และสิ่งเหล่านี้คงเกิดขึ้นได้ยากหากไม่มีพื้นที่ที่ให้ความรู้เรื่องงูรอบด้านอย่าง Siam Serpentarium ที่ต้องการให้คนได้เข้ามาเรียนรู้สัตว์ชนิดนี้กันมากขึ้น
เพราะแม้ภาพจำของงูจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวและอันตรายของใครหลายคน แต่ทั้งหมดนั้นอาจเป็นเพราะเรายังไม่เคยได้สัมผัสและเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับมันอย่างจริงจังเท่านั้นเอง
‘MUSEUM-IN-SIGHT เพ่งพิศพิพิธภัณฑ์’ คือซีรีส์บทสัมภาษณ์ในคอลัมน์ One Day With… จาก Urban Creature ที่จะพาไปสำรวจพิพิธภัณฑ์ที่ได้รับรางวัล Museum STAR ว่า กว่าจะมาเป็นแหล่งเรียนรู้ติดดาวให้เราเข้าชม มีอินไซต์อะไรที่คนเข้าชมอย่างเราๆ ไม่เคยเห็นมาก่อนบ้าง