‘ไทย’ ถูกจัดให้อยู่อันดับที่ 6 จาก 10 ประเทศที่ทิ้งขยะพลาสติกในทะเลมากที่สุดในโลกถึง 1.03 ล้านตัน
เรื่องราวของ ‘มาเรียม’ พะยูนน้อยขวัญใจคนไทยที่ต้องจากไปเพราะขยะพลาสติก เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้หลายคนตื่นตัวกับ ‘ปัญหาขยะทะเล’ ซึ่งเกิดจากการกระทำในชีวิตประจำวันของมนุษย์ เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่หรือเพิ่งเกิดขึ้น แต่เป็นปัญหาสะสมที่คนเมืองอย่างเราอาจมองเป็นเรื่องไกลตัว แต่หลายจังหวัดตามชายฝั่งทะเลกล่าวถึงปัญหานี้มาโดยตลอดเป็นเวลายาวนาน
SCG หนึ่งในแรงขับเคลื่อนที่ช่วยผลักดันการจัดการปัญหาขยะตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) พาเรามายังอำเภอกันตัง จังหวัดตรัง เพื่อสัมผัสกับ ‘บ้านมดตะนอย’ ชุมชนที่เปรียบเสมือนบ้านของพะยูน และเหล่าสัตว์แห่งท้องทะเลตรัง ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัญหาขยะทะเลที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ โดยวิกฤตขยะทะเลไม่ได้ทำให้ชาวบ้านถอดใจ เพราะชุมชนแห่งนี้ตั้งเป้าเป็นชุมชนปลอดขยะ 100% ภายในปี พ.ศ. 2565
ร่วมออกสำรวจปัญหาขยะทะเลไทย ทางออกของปัญหา ไปจนถึงการส่งต่อความรู้จากชุมชนสู่ชุมชนในแบบฉบับบ้านมดตะนอยไปพร้อมกัน
ขยะทะเล ความน่าเป็นห่วงของทะเลไทย
เมื่อเราเดินทางถึงชุมชนบ้านมดตะนอย ภาพที่คิดว่าจะต้องเจอกับขยะเกลื่อนกลาดได้ถูกลบไป เพราะกว่าที่บ้านมดตะนอยจะมาถึงวันนี้ ชาวบ้านต้องเรียนรู้ถึงต้นตอของปัญหาจนเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง ซึ่งขยะทะเลส่วนใหญ่ที่ชุมชนต้องพบเจอ เป็นขยะพลาสติกอย่างพวกถุง ขวด ภาชนะใส่อาหาร และไฟแช็ก ที่มีน้ำหนักเบาและไม่สามารถย่อยสลายได้ในเวลาอันสั้น ไปจนถึงขยะชิ้นใหญ่อย่างรองเท้าแตะ หมวกกันน็อก แห อวน ลอบ ที่ถูกพัดพาไปโดยคลื่น ลม กระแสน้ำ และน้ำขึ้นน้ำลง โดยขยะพลาสติกในทะเลกว่า 80% มาจากกิจกรรมบนบก และอีก 20% มาจากกิจกรรมในทะเล
ขยะที่ถูกพัดพามาสู่ท้องทะเลนั้นส่งผลต่อชีวิตของเหล่าสัตว์ทะเล เช่น เต่าทะเล พะยูน โลมา วาฬ เมื่อสัตว์ทะเลกลืนกินขยะชิ้นน้อยใหญ่ลงไปทำให้สัตว์ทะเลเจ็บปวด ทรมาน และต้องจากไปในที่สุด ไม่เพียงแค่นั้นยังทำลายระบบนิเวศปะการัง ทำให้ทัศนียภาพเสื่อมโทรมลง โดยแรกเริ่มชุมชนบ้านมดตะนอยยังไม่มีการจัดการขยะเหล่านี้ เพราะรู้สึกว่าตนเองไม่ได้เป็นคนทิ้งขยะ และเป็นหน้าที่ของหน่วยงานรัฐที่ต้องจัดการ
บ้านมดตะนอย เปลี่ยนหาดขยะเป็นชุมชนน่าอยู่
“ชุมชนนี้มีขยะเยอะจัง” คำพูดของคนภายนอกที่ได้มาเยือนชุมชน กลายเป็นแรงผลักดันของชาวบ้านจนเกิดเป็นการจัดการขยะแบบมีส่วนร่วมสู่ชุมชนน่าอยู่ ผู้ใหญ่บ้านบ้านมดตะนอย ประธานกลุ่มร้านค้าชุมชน และหัวหน้ากลุ่มโซนดุหยง ได้ปรึกษากับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านมดตะนอยให้ช่วยหาแนวทางแก้ไขปัญหาขยะที่เกิดขึ้น
หนึ่ง-หนึ่งหทัย สกุลส่องบุญศิริ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ ประจำโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านมดตะนอย เล่าว่า ปี พ.ศ. 2557 ชุมชนเริ่มจากการจัดการขยะในบ้านตนเองก่อน และกำหนดให้มีการปัดกวาดบ้านตนเองทุกวันศุกร์ และจะร่วมกันทำความสะอาดพื้นที่สาธารณะเป็นประจำทุกเดือน จากนั้นเมื่อชาวบ้านเริ่มเห็นการทำงาน และหมู่บ้านเริ่มสะอาดมากขึ้น จึงเกิดเป็นความร่วมมือร่วมใจและขยายผลไปทั้งหมู่บ้าน
ต่อมาในปี พ.ศ. 2558 ชุมชนเริ่มคัดแยกขยะไว้ขายและรีไซเคิล ไปจนถึงประกาศตัวเป็นหมู่บ้านปราศจากโฟม ผ่านการเซย์โนโฟมและพลาสติกจากความร่วมมือของชาวบ้านและร้านค้ากว่า 30 ร้าน ซึ่งความจริงจังแน่วแน่นี้ ทำให้หมู่บ้านได้รับการรับรองจากกรมอนามัยให้เป็นหมู่บ้านปลอดโฟม ประจำปี พ.ศ. 2559
“ตอนปี 58 เราตรวจเจอคนไข้เป็นมะเร็งเต้านม เราหาสาเหตุของโรค และพบว่ามาจากการใช้โฟมใส่อาหารมาเป็นเวลานาน นี่เลยทำให้ชุมชนเลิกใช้โฟมอย่างจริงจัง” หนึ่งบอกกับเรา
โฟมหายไป แต่พลาสติกยังมี เหล่านี้ต้องถูกจัดการ
แม้ปัญหาเรื่องโฟมในชุมชนจะหมดไป แต่ในหมู่บ้านยังมีปัญหาเรื่องถุงพลาสติกอยู่ ทำให้ปี พ.ศ. 2561 SCG ได้เข้ามาให้ความรู้เรื่องการจัดการขยะแบบองค์รวม รณรงค์ให้ใช้ถุงผ้าแทนการใช้ถุงพลาสติก รวมถึงให้ความรู้เรื่องแนวปฏิบัติ SCG Circular Way ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งให้ความสำคัญกับการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า มีประสิทธิภาพสูงสุด ใช้แล้วกลับเข้าสู่กระบวนการผลิต เพื่อส่งต่อทรัพยากรของโลกสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน
ตั้งแต่มองเห็นปัญหา ชุมชนคอยผลักดันทุกคนให้มีส่วนร่วมมาโดยตลอด อย่างโครงการจัดการขยะชุมชนชายฝั่งทะเล ที่ให้แต่ละบ้านเปลี่ยนขยะที่หลายคนมองว่าไร้ค่าให้มีมูลค่าและใช้ประโยชน์ได้จริง ผ่านการคัดแยกขยะเป็น 4 ประเภท ได้แก่
1. ขยะอินทรีย์ นำเปลือกกุ้ง เปลือกปู ไปทำน้ำหมักชีวภาพ
2. ขยะรีไซเคิล นำหลอดพลาสติกไปทำไส้หมอนเพื่อผู้สูงอายุ และนำเศษพลาสติกไปอัดใส่ขวดน้ำเพื่อทำเป็น Eco-Brick ส่งให้กลุ่ม Trash Hero
3. ขยะทั่วไป แปลงโฉมยางรถยนต์เก่าเป็นกระถางปลูกพืชผักสวนครัว เปลี่ยนเศษอวนเป็นถุงคัดแยกขยะแทนถุงดำ และนำลูกมะพร้าวเหลือทิ้งมาทำเป็นกระถางต้นไม้
4. ขยะอันตราย นำส่ง อบต.เกาะลิบง เพื่อกำจัดอย่างถูกวิธี
ขยะทะเลจะหายไป ไม่ใช่แค่ความร่วมใจของชุมชน
ระหว่างการเยือนชุมชน เราได้แวะ ‘เกาะลิบง’ เกาะพี่ใหญ่ของจังหวัดตรังซึ่งมีความหลากหลายทางชีวภาพ เมื่อก่อนเคยมองข้ามการจัดการขยะ แต่เมื่อปัญหาเริ่มทวีคูณจนคุกคามสิ่งมีชีวิตในทะเล ก็ได้มีกลุ่มอาสาสมัครพิทักษ์ดุหยง เกิดขึ้นมาเพื่อปกป้องทรัพยากรและสัตว์ประจำถิ่นอย่างเจ้าพะยูน
บังจ้อน-สุวิทย์ สารสิทธิ์ อาสาสมัครพิทักษ์ดุหยง แห่งเกาะลิบง เล่าให้เราฟังว่า เกาะลิบงมีความหมายต่อชุมชนเป็นอย่างมาก ทุกคนต้องช่วยกันดูแลทรัพยากรของเกาะโดยเฉพาะหญ้าทะเล เพราะเมื่อไรที่หญ้าทะเลหมดไป เราก็จะไม่มีพะยูน ขยะทะเลที่มันลอยมาจากไหนก็ตาม สุดท้ายมามากองรวมกันที่ชุมชน ซึ่งเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้วที่จะต้องเจอกับขยะทะเล ดังนั้นชุมชนต้องรู้วิธีรับมือกับมัน ไม่ใช่แค่มาเดินเก็บบนชายหาด แต่ต้องเริ่มจากในครอบครัว
การจากไปของพะยูนมาเรียมและสัตว์ทะเลอีกหลายชีวิต เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ชาวบ้านหันมาใส่ใจการจัดการขยะ และลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งอย่างจริงจัง โดย ณัฐวัฒน์ ทะเลลึก ผู้ใหญ่บ้านบ้านมดตะนอย บอกว่า ชุมชนมดตะนอยได้นำอวนดักขยะวางไว้ทุกจุดของชุมชนตามคลองต้นทาง 5 จุด เพื่อป้องกันไม่ให้ขยะไหลออกสู่ทะเล และพร้อมเป็นชุมชนตัวอย่างส่งต่อความรู้ให้ชุมชนอื่นๆ ต่อไป
การพักความเหนื่อยล้าจากเมืองมาสัมผัสวิถีชีวิตบ้านมดตะนอย ทำให้เรารู้ว่า การจัดการขยะทะเลต้องอาศัยความร่วมมือของคนหลายกลุ่ม ซึ่งก่อนกลับกรุงเทพฯ เราได้มีโอกาสพูดคุยกับ ศ.ดร.เผดิมศักดิ์ จารยะพันธุ์ อาจารย์บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ร่วมเดินทางมาด้วยกัน อาจารย์ได้เปิดมุมมองถึงพลาสติกจนทำให้เราฉุกคิดว่า จริงๆ แล้วพลาสติกไม่ใช่ ‘ตัวร้าย’ ทำลายพะยูน แต่เราทุกคนนี่แหละที่ต้องเปลี่ยนความคิด
อาจารย์เผดิมศักดิ์บอกว่า เราอาจจะมองข้ามขั้นไป อย่างเรามีของที่กำลังจะทิ้ง พอโยนลงถังมันก็เป็นขยะ พอเราเห็นมันเป็นขยะ มูลค่าก็จะลดทันที จนมันเกินความสามารถที่มนุษย์จะจัดการได้ แล้วการที่มีสิ่งมีชีวิตตายหนึ่งตัว มันอาจจะไม่กระทบกับเราโดยตรง แต่เราอาจจะโดนทางอ้อม สมมติเกาะลิบงจัดการขยะไม่ดี คนก็ไม่มาเที่ยว นี่คือตัวอย่างที่เห็นเลยว่ามันส่งผลกระทบกับคนแน่นอน
“การที่มาเรียมตาย นี่คือตัวชี้วัดว่า วันหนึ่งมันอาจจะมาถึงเราก็ได้ ขนาดมาเรียมอยู่ตั้งไกล กลายเป็นว่ามีขยะมาจากเมืองมาทำร้ายมัน” อาจารย์เผดิมศักดิ์อธิบาย
ความสะดวกสบายที่เรามีอยู่ทุกวัน ส่วนหนึ่งต้องขอบคุณเจ้าพลาสติกที่ถูกคิดค้นขึ้นมาบนโลกใบนี้ ประโยคที่บอกว่า ‘พลาสติกเป็นตัวทำลายระบบนิเวศ’ เป็นเพียงคำครหา เพราะที่จริงพลาสติกไม่ใช่ผู้ร้าย ถ้าเรารู้จักจัดการและใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าที่สุด
คนเมืองอย่างเราสามารถเริ่มต้นง่ายๆ ด้วยแนวทางสุดเบสิกที่เรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก คือ ลดใช้ ใช้ซ้ำ นำกลับมาใช้ใหม่ ไม่เพียงแค่ตัวเราเท่านั้น แต่รวมไปถึงการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และพวกเราทุกคน ถ้าเราช่วยกันคนละไม้คนละมือ ลองคิดภาพตามดูว่า เมืองและโลกของเราจะดีขึ้นมากแค่ไหน