“น้ำมาจากไหน” เมื่อ ‘โอ๊ค-จักรพันธ์ สุวรรณพาณิชย์’ ลองโยนคำถามไปให้เด็กรุ่นใหม่ใกล้ตัว คำตอบที่ได้คือ “น้ำมาจากก๊อก”
ธรรมชาติอยู่รอบตัวเรา ต้นไม้ สายน้ำ สรรพสัตว์น้อยใหญ่ ต่างใช้ชีวิตเกื้อหนุนกัน ร่วมรังสรรค์ระบบนิเวศโลกให้สมบูรณ์ หากทรัพยากรธรรมชาติส่วนใดเสื่อมโทรมลง ผลกระทบก็จะลุกลามต่อเนื่องราวกับโดมิโนที่ล้มตามกัน พอน้ำเสีย พืชพรรณก็แห้งเหี่ยว สรรพสัตว์ก็ขาดอาหารหล่อเลี้ยงชีวิต
คนรุ่นใหม่คือกำลังสำคัญของการสร้างสรรค์โลกอนาคตให้ยั่งยืน แต่ถ้าพวกเขาไม่รู้จักที่มาที่ไป หรือไม่เห็นความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติ แล้วเราจะเตรียมตัวให้พร้อมสร้างสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์และยั่งยืนได้อย่างไร โอ๊คตั้งคำถาม

หลังเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในฐานะกราฟิกดีไซเนอร์และอาร์ตไดเรกเตอร์กับเอเจนซีโฆษณาระดับโลกที่ต่างประเทศ โอ๊คตัดสินใจเก็บกระเป๋ากลับเมืองไทย แล้วใช้พลังด้านกราฟิกดีไซน์และความสร้างสรรค์ของตนมาขับเคลื่อนชุมชน อย่างเช่น ARI Magazine นิตยสารที่จุดประกายบทสนทนาเรื่องความสร้างสรรค์ให้ย่านอารีย์ หรือโปรเจกต์ Phrae Revival ที่ผลักดันงานศิลปหัตถกรรมท้องถิ่น พร้อมเปิดพื้นที่ให้ศิลปินนักออกแบบในเมืองแพร่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง
แม้จะผ่านการทำงานกับชุมชนมาหลายพื้นที่ คลุกคลีกับโปรเจกต์นับไม่ถ้วน แต่โอ๊คก็ไม่หมดแรงบันดาลใจ เพราะล่าสุดเขาก็เริ่มโปรเจกต์ใหม่อีกครั้ง นั่นคือ Pulu’s Indigo Dream โปรเจกต์กราฟิกโนเวลที่ชวนเด็กๆ มารู้จักและรักทรัพยากรธรรมชาติมากขึ้น ผ่านเรื่องเล่าที่แสนอบอุ่นและภาพประกอบอันสบายตา โดยโปรเจกต์นี้ได้รับทุนสนับสนุนจากโครงการ Connections Through Culture 2024 จาก British Council ซึ่งสนับสนุนการทำงานร่วมกันของศิลปินไทยและสหราชอาณาจักร

แรงบันดาลใจจากหมู่บ้านในขุนเขา
หมู่บ้านนาตองซ่อนตัวอย่างเงียบสงบท่ามกลางขุนเขาและป่าเขียวขจีของตำบลช่อแฮ อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ กลางหมู่บ้านมีธารน้ำไหลผ่าน มอบบรรยากาศอันสดชื่นร่มเย็นให้พื้นที่รอบข้าง และในบ้านหลังน้อยใหญ่ที่ตั้งสองฝั่งน้ำคือชาวบ้านหน้าตายิ้มแย้มใจดีที่พร้อมต้อนรับด้วยความอบอุ่น เสน่ห์งดงามของหมู่บ้านนาตองบันดาลใจให้โอ๊คเลือกหมู่บ้านนี้เป็นจุดตั้งต้นของการสร้างสรรค์กราฟิกโนเวล Pulu’s Indigo Dream
“นาตองเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ในหุบเขาที่มีธรรมชาติสวยงาม มีความน่ารัก มีเสน่ห์ มองทีไรก็มีความสุข เราหลงรักที่นี่” โอ๊คเล่า “พอได้ทำนิทาน เราเลยคิดว่านิทานมันต้องเกิดขึ้นที่นี่”


เขาไม่ได้ลุยสร้างสรรค์เรื่องราวนี้เพียงลำพัง เพราะได้ร่วมมือกับ ‘ลอรา ดาร์ลิง’ (Laura Darling) ศิลปินนักวาดภาพประกอบชาวสกอตแลนด์ที่ชื่นชอบการถ่ายทอดรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของชีวิตผ่านลายเส้นที่แสนอ่อนโยน เธอผ่านการร่วมงานกับองค์กรเพื่อสังคมและวัฒนธรรมต่างๆ มามากมาย เช่น Glasgow Children’s Hospital, Mental Health Foundation หรือพิพิธภัณฑ์ V&A Dundee
ก่อนจะร้อยเรียงเรื่องราวบนหน้ากระดาษ โอ๊คกับลอราตีตั๋วไปจังหวัดแพร่เพื่อเก็บเกี่ยววัตถุดิบมาปรุงแต่งจินตนาการ ทั้งคู่ไปเยี่ยมเยือนศิลปินท้องถิ่นที่ทำงานศิลปหัตถกรรม รวมถึงได้เกาะขอบหม้อศึกษาการทำผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อของจังหวัดอย่างผ้าหม้อห้อมอย่างใกล้ชิด และแน่นอน พวกเขายังได้ไปหมู่บ้านนาตองเพื่อสัมผัสธรรมชาติอันงดงาม เก็บสะสมบรรยากาศ พร้อมเรียนรู้สิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตของผู้คนอย่างลึกซึ้ง ซึ่งหมู่บ้านนาตองเป็นแหล่งห้อมตามธรรมชาติของเมืองแพร่ มีต้นห้อมที่โตในหุบเขา และชาวบ้านก็ผลิตน้ำห้อมเพื่อนำไปทำเป็นสีย้อมธรรมชาติด้วย


“ฉันไม่เคยเดินทางมาประเทศไทยมาก่อน ที่จริงแล้วฉันไม่เคยเดินทางนอกโซนยุโรปเลย มันเป็นการก้าวข้าม Comfort Zone ของฉันมาก” ลอราย้อนประสบการณ์การเดินทางเปิดโลกครั้งนี้ของเธอ “ตอนไปถึงหมู่บ้าน ฉันรู้สึกว่าที่นี่พิเศษมาก เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีบ้านเพียงไม่กี่หลัง ฉันเจอสุนัขวิ่งเล่นในลำธาร มีไก่เดินเล่นอยู่ริมฝั่ง และต้นกล้วยกับต้นไผ่ที่แสนใหญ่โต ช่างเป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ” ลอราหัวเราะ
“ตอนเรียนรู้เรื่องการทำหม้อห้อม ฉันว่ามันน่าสนใจมากที่เราต้องป้อนผลไม้ให้ห้อม เพื่อให้ได้สีย้อมที่สดใสและบริสุทธิ์ มันมหัศจรรย์มากเลยสำหรับฉันที่สีย้อมมีชีวิตจิตใจเป็นของตัวเอง” ลอราว่า

ของดีที่ทำให้ทั้งคู่ตาลุกวาวไม่ได้มีแค่ห้อม เพราะยังมีสิ่งมีชีวิตที่น่าทึ่ง นั่นคือ ‘เต่าปูลู’
“ที่นาตองจะมีเต่าที่ชื่อเต่าปูลูอยู่ด้วย เป็นเต่าที่หัวใหญ่เลยหดหัวเข้าไปในกระดองไม่ได้ แล้วเท้าของมันมีเล็บ เลยเกาะเกี่ยวปีนต้นไม้ได้ด้วย” โอ๊คเสริมถึงสิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ของนาตอง “เต่าปูลูจะอยู่ในที่ที่น้ำสะอาดเท่านั้น มันเลยเป็นตัวชี้วัดความสะอาดของแหล่งน้ำด้วย”

ใช่ว่าการลงพื้นที่จะเจอแต่ภาพงดงาม เพราะทั้งคู่ยังได้รับรู้ถึงปัญหาที่หมู่บ้านเคยเผชิญ
“ชาวบ้านเล่าให้ฟังว่า บนเขาเคยมีการปลูกพืชเชิงเดี่ยวกัน ซึ่งมันต้องตัดไม้ถางพื้นที่เพื่อปลูกพืช แล้วการตัดไม้เยอะๆ คือปัญหา เพราะว่าต้นไม้คือฝายธรรมชาติที่ชะลอน้ำ พอเขาหัวโล้นน้ำก็ไหลไม่ชะลอ เกิดปัญหาน้ำท่วม น้ำก็ไม่ใส แต่ว่าตอนนี้พอเขาหยุดทำแล้วปล่อยให้ธรรมชาติฟื้นฟู ป่าก็กลับมาสวยงาม และน้ำก็ใสสะอาดเหมือนเดิม” โอ๊คว่า
และแล้วไอเดียการทำนิทานเล่าเรื่องการอนุรักษ์สายน้ำผ่านเต่าปูลูและห้อมก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น “เราเลยทำนิทานที่อยากให้คนใส่ใจน้ำมากขึ้น และตั้งชื่อเรื่องว่า Pulu’s Indigo Dream โดยให้เต่าปูลูเป็นตัวละครหลัก” เจ้าของโปรเจกต์เผย

เรื่องเล่าของเต่าปูลู ช่างผู้ทำผ้าหม้อห้อม
“นิทานเริ่มต้นด้วยเด็กในหมู่บ้านกำลังเล่นฟุตบอลกันอยู่แล้วลูกบอลตกน้ำ” โอ๊คเท้าความเรื่องราวใน Pulu’s Indigo Dream ให้ฟัง “เสร็จแล้วเต่าปูลูที่เป็นดีไซเนอร์ทำหม้อห้อมก็มาเจอ เจ้าเต่าเก็บลูกบอลไปคืนเด็ก แล้วถามว่าเธอทิ้งขยะในแม่น้ำของฉันเหรอ ตอนนี้ฉันกำลังเก็บขยะในน้ำอยู่ เด็กสงสัยว่าทำไมต้องเก็บขยะด้วย เต่าปูลูเลยเล่าว่า เมื่อก่อนสายน้ำเคยใสสะอาดกว่านี้นะ เสร็จแล้วก็พาเด็กไปเข้าป่า ให้เห็นความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ เต่าปูลูก็ชวนเด็กเก็บผลไม้เพื่อเอามาเลี้ยงห้อม ถ้าห้อมไม่แฮปปี้ สีห้อมจะไม่สวย เด็กก็เลยเอาผลไม้ใส่ลงไปแล้วคนเลี้ยงห้อมในหม้อนั้นเสร็จ แล้วเขาก็เอาเสื้อผ้าไปจุ่ม ได้เสื้อผ้าหม้อห้อมซึ่งเป็นการย้อมสีธรรมชาติ
“เด็กได้เห็นว่าทุกอย่างมาจากธรรมชาติหมดเลย ทั้งต้นห้อม ทั้งผลไม้ ทุกอย่างเอามาผสมกันหมด มันเป็นการสอนว่าทุกอย่างสร้างสรรค์ได้จากธรรมชาติ ถ้าเรารักษาธรรมชาติ เราก็มีอะไรให้สร้างสรรค์ต่อไปได้อีกเยอะเลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ธรรมชาติต้องสมบูรณ์ น้ำต้องสะอาด ป่าต้องสภาพดี แล้วเราก็จะใช้ชีวิตเกื้อหนุนกันกับธรรมชาติ นี่คือเนื้อเรื่องของ Pulu’s Indigo Dream” โอ๊คสรุป

ทุกสิ่งทุกอย่างส่งผลกระทบต่อกันหมดเป็นลูกโซ่ ต้นไม้บนเขานับร้อยที่ถูกโค่นล้ม เปิดทางให้น้ำไหลบ่าแบบไม่มีอะไรกั้น ทำลายแหล่งน้ำที่อยู่เบื้องล่าง หากแหล่งน้ำไม่สะอาด ผลไม้ก็ไม่อุดมสมบูรณ์ สีย้อมห้อมก็ไม่สวยสดเพราะไม่มีผลไม้มาป้อนกิน เต่าปูลูก็ไม่อาจอาศัยอยู่ในลำธารที่เสื่อมโทรม ท้ายที่สุด ชื่อ ‘เต่าปูลู’ จะกลายเป็นแค่ตำนานเล่าขานของหมู่บ้านเพียงอย่างเดียว
“ปรัชญาของเรื่องนี้คือ เราแค่พิทักษ์ธรรมชาติ แต่การรักษาธรรมชาติอาจไม่ใช่การเข้าไปปลูกป่า สร้างฝาย แต่คือการไม่เข้าไปทำลายมากกว่านี้ เราต้องเคารพเขา ให้พื้นที่เยียวยาตัวเอง ธรรมชาติเขาอยู่มาเป็นล้านๆ ปีแล้ว เขารู้จักวิธีวิวัฒนาการตัวเอง” โอ๊คเสริม
“นอกจากเรื่องธรรมชาติ เรายังอยากให้เด็กที่อ่านเห็นว่าที่แพร่มีของดี มีการทำหม้อห้อม มีประวัติศาสตร์วัฒนธรรมที่น่าสนใจ อยากให้เขาภูมิใจตรงนี้และอยากรักษาด้วยตัวเอง”

เรียนรู้จากการทำงานร่วมกัน
โปรเจกต์นี้ไม่เพียงแต่จะพาโอ๊คและลอร่าไปทำความรู้จักกับบ้านนาตอง ค้นพบภูมิปัญญา และเสน่ห์อันน่าทึ่งของหมู่บ้าน มาถ่ายทอดให้ทุกคนฟัง แต่ยังเป็นโอกาสทองที่ศิลปินจากคนละมุมโลกจะได้มาทำงานร่วมกัน แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และไอเดียอันหลากหลาย
“เป็นโอกาสที่ดีมากที่ได้ร่วมงานกับลอร่า” โอ๊คว่า “เหมือนเราได้เพื่อนคู่คิด ไม่ว่าจะเป็นการแต่งเรื่อง หรือการออกแบบรูปเล่ม ลอร่าเป็นคนทำงานมีระเบียบแบบแผน แต่เราชอบทำตามความรู้สึก”
“สิ่งหนึ่งที่ได้จากการทำงานกับลอร่าคือ ให้เริ่มกลับมาฟังสัญชาติญาณตัวเองมากขึ้น เราเคยคิดว่าต้องใส่ข้อมูลลงในงานเยอะๆ แต่มันทำให้ลืมความรู้สึกสนุก ตื่นตาตื่นใจ เหมือนตอนไปหาข้อมูลกัน ถ้าเรานำความสนุกตรงนั้นมาเสนอ เด็กที่อ่านก็จะรักและอยากเรียนรู้มากขึ้นเอง” โอ๊คพูด
ในฝั่งของลอร่า การทำงานกับโอ๊คครั้งนี้ขยายโลกทัศน์ของเธอให้กว้างขึ้น
“โอ๊คเปิดประตูให้ฉันรู้จักกับแพร่มากขึ้น ทำให้ฉันเข้าใจวิถีชีวิตของผู้คนที่นั่นทั้งตัวเมืองและชนบทอย่างลึกซึ้ง ด้วยความที่โอ๊คพูดทั้งไทยและอังกฤษได้ เขาช่วยฉันพูดคุยกับศิลปินไทยคนอื่นๆ ซึ่งมีคุณค่ามากสำหรับฉัน” ลอร่าว่า
“การย้อมสีธรรมชาติ ผ้าพิมพ์ลาย หรืองานเซรามิกที่ฉันพบเจอ จุดประกายโปรเจกต์ในอนาคต ฉันตื่นเต้นเหมือนกันว่ามันจะอยู่ในผลงานในอนาคตอย่างไร และส่วนตัวแล้ว การเดินทางมาประเทศไทยเพิ่มความมั่นใจและขยายความรู้เกี่ยวกับโลกของฉันมากทีเดียว หวังว่าจะได้ทำงานกับโอ๊คอีกในอนาคต”

นิทานสำหรับทุกคน
แม้เด็กคือกลุ่มเป้าหมายหลักของนิทาน Pulu’s Indigo Dream แต่การนำเสนอผ่านสื่อที่เข้าถึงง่ายอย่างกราฟิกโนเวลและวิดีโอแอนิเมชัน ช่วยเปิดประตูเรื่องราวการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้เข้าถึงคนทุกเพศทุกวัย
“ถึงจะโฟกัสกับกลุ่มเด็ก แต่ฉันมองว่างานของเราจะเข้าถึงคนทุกเพศทุกวัยได้อย่างง่ายดาย ถึงหนังสือภาพจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มหนังสือเด็ก แต่แท้จริงแล้วหนังสือภาพเป็นหนังสือสำหรับทุกคน และทุกคนก็ปลูกฝังความรักในสิ่งแวดล้อมได้เหมือนกัน” ลอราว่า
ในวันที่ 7 – 12 ตุลาคมที่จะถึงนี้ โอ๊คและลอราจะนำผลงาน Pulu’s Indigo Dream มาให้ทุกคนได้ยลโฉมกันในนิทรรศการเด็กบ้านป่า + Pulu’s Indigo Dream ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC) นอกจากจะมีงาน Pulu’s Indigo Dream ให้ทุกคนได้ชื่นชมแล้ว ยังมีผลงานการ์ตูน ‘เด็กบ้านป่า’ ที่เขาเล่าเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติโดยมีหมู่บ้านนาตองเป็นฉากหลังอีกเช่นกัน
หากความตั้งใจนี้ส่งต่อถึงเด็กๆ ได้จริง หวังว่าในอนาคตเมื่อถามเด็กๆ ว่า “น้ำมาจากไหน” คำตอบของเด็กไทยอาจไม่หยุดอยู่แค่ “น้ำมาจากก๊อก” อย่างที่เคยเป็น
