ถ้าไม่ใช่ที่สุด, เทเลอร์ สวิฟต์ ก็น่าจะเป็นหนึ่งในศิลปินที่ขยันที่สุดในอุตสาหกรรมเพลงตะวันตก
นับตั้งแต่อายุก้าวเข้าเลข 3 ในปี 2020 เทเลอร์ออกอัลบั้มใหม่มาแล้ว 4 ชุด ทั้งอัลบั้มเพลงแนวโฟล์กที่เธอทำใหม่ทั้งหมดอย่าง Folklore และ Evermore รวมถึงอัลบั้มเก่าที่เธอนำมาอัดเสียงอีกครั้ง แถมยังทำเพลงใหม่เพิ่มเข้าไปให้พิเศษกว่าเดิมอย่าง Red (Taylor’s Version) และ Fearless (Taylor’s Version)
ไม่เพียงเท่านั้น ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เทเลอร์ยังกระโดดไปทำสิ่งที่เราไม่เคยเห็นเธอทำมาก่อน ทั้งเป็นนักแสดงในหนังมิวสิคัลอันลือลั่น (ในทางไหนว่ากันอีกที) เรื่อง Cats, ไปลองกำกับหนังสั้นประกอบเพลง All Too Well (10 Minute Version) ของตัวเองที่ได้นักแสดงวัยรุ่นชื่อดังอย่าง Sadie Sink และ Dylan O’Brien มาเล่นให้
ปังบ้าง เป๋บ้าง เป็นเรื่องปกติธรรมดาของชีวิต สิ่งสำคัญคือเทเลอร์ไม่หยุดทดลองสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ ซึ่งหากมองในมุมของคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในแสงสปอตไลต์ของวงการบันเทิง นั่นอาจเป็นเรื่องจำเป็น
ล่าสุด เทเลอร์ปล่อย Midnights สตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 10 ซึ่งมาพร้อมกับคอนเซปต์ ‘ชุดเพลงที่เขียนตอนเที่ยงคืน’ ตอกย้ำภาพจำของการเป็นคนขยันของเธออีกหน
“เรานอนลืมตาอยู่กับความรักและความกลัว กับสภาวะไม่คงที่ของจิตใจและน้ำตา เราจ้องผนังเปล่าเปลือยและดื่มให้มันจนกว่ามันจะตอบเรา เราบิดตัวอยู่ในกรงขังที่เราสร้างขึ้นเอง และแม้แต่ในนาทีนี้ เราสวดภาวนาว่าเราจะไม่ทำสิ่งผิดพลาดที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของเราอีก” โปรยของอัลบั้มนี้ว่าไว้แบบนั้น
“นี่คือชุดเพลงที่เขียนขึ้นตอนกลางดึก เป็นการเดินทางสู่เรื่องน่าหวาดหวั่นและฝันดี บนเส้นทางที่เราแผ้วถางและผ่านการเผชิญหน้ากับปีศาจ สำหรับเราทุกคนที่เคยพลิกตัวไปมาบนเตียง และตัดสินใจเปิดโคมไฟทิ้งไว้เพื่อค้นหาบางอย่าง–หวังว่าบางที, ตอนที่นาฬิกาตีสิบสองครั้ง เราจะพบตัวเราเอง”
Midnights ปล่อยออกมาตอนเที่ยงคืนของวันที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมา บรรจุ 13 เพลงเกี่ยวกับ 13 คืนที่นอนไม่หลับของเทเลอร์ ก่อนเธอจะเซอร์ไพรส์แฟนเพลงอีกหนด้วยการปล่อย 3am Tracks อีก 7 เพลงที่ถูกคัดออกจากอัลบั้มหลัก รวมแล้วกลายเป็นอัลบั้มแนวอิเล็กโทรนิกา-ป็อปจำนวน 20 แทร็กด้วยกัน
และอย่างที่เคยเป็นมาตลอด Midnights ทำลายสถิติที่เคยมีในสตรีมมิงต่างๆ ได้อีกครั้ง แถมยังเป็นครั้งใหญ่ยิ่งกว่าครั้งไหน เพราะเทเลอร์ถือเป็นศิลปินคนแรกในประวัติศาสตร์ที่มีเพลงครองอันดับ 1 – 10 บนชาร์ต Billboard Hot 100 ในสัปดาห์เดียวกัน บ่งบอกว่าอัลบั้มนี้ฉุดไม่อยู่แค่ไหน
สำหรับเรา อาจพูดได้ว่า Midnights คืออัลบั้มที่มีหลากรสชาติไม่ต่างจากความรู้สึกที่ผุดขึ้นมาในคืนนอนไม่หลับ บางเพลงเชิญชวนให้เราตกอยู่ในห้วงรักอ่อนหวาน บางเพลงฉุดให้ดำดิ่งในวังวนความเศร้า และบางเพลงก็พาเราไปแหวกว่ายอยู่ในมหาสมุทรของคำถามที่ตั้งต้นด้วย ‘ถ้าตอนนั้น…’
นี่คือ 10 เพลง 10 อารมณ์จาก Midnights กับเรื่องราวเบื้องหลังที่เราอยากหยิบมาเล่าให้ฟัง
Lavender Haze
เพลงแรกของอัลบั้มที่เซต Mood & Tone ให้คนฟังรู้ว่าจะได้เจอกับอะไร ในบรรดาแทร็กแรกของทุกอัลบั้ม Lavender Haze ถือเป็นแทร็กที่เราชอบเป็นอันดับต้นๆ เพราะบีตหนึบแต่ไม่หนัก เนื้อหาฟุ้งฝัน ชวนให้เราอยากดำดิ่งและล่องลอยไปกับห้วงรักในเวลาเดียวกัน
Lavender Haze คือคำที่เทเลอร์หยิบยืมมาจาก Mad Men ซีรีส์ดราม่าเกี่ยวกับแวดวงเอเจนซีโฆษณาในยุค 60 ที่เปรียบ ‘เมฆหมอกสีลาเวนเดอร์’ เสมือนระยะแรกที่ความรักความสัมพันธ์กำลังผลิบาน และก็อย่างที่หลายคนเดาออก เธอหมายถึงความสัมพันธ์ของเธอกับ Joe Alwyn นักแสดงหนุ่มที่เริ่มเดตกันตั้งแต่ปี 2016
“ในความสัมพันธ์หกปีนั้น เราต้องคอยหลบเลี่ยงข่าวลือแปลกๆ พวกข่าวแท็บลอยด์ทั้งหลาย เราเลิกสนใจมันไปเลย เพลงเพลงนี้เกี่ยวกับการไม่สนใจนั้นที่ช่วยปกป้องความสัมพันธ์ของเรา” เทเลอร์เผย
Maroon
ถ้าบอกว่าเทเลอร์เป็นเจ้าแม่แห่งสีสันคงไม่ผิดนัก เพราะหลังจากซิงเกิล Red ที่เธอเปรียบเปรยช่วงเวลาอินเลิฟว่าเป็นสีแดง อัลบั้มนี้ก็มี Maroon (สีน้ำตาลแดง) ที่คล้ายเป็นเพลงพี่น้องกัน ไม่เพียงเท่านั้น คราวนี้เทเลอร์ขนสีแดงหลายเฉดมาละเลงในเพลงเพื่อช่วยเล่าเรื่องอย่างสนุกสนาน ตั้งแต่สีม่วงแดง (Burgundy) ไปจนถึงสีแดงเลือดหมู (Scarlet)
Maroon เล่าเรื่องราวความสัมพันธ์สั้นๆ ตั้งแต่รักกันจนถึงเลิกรา (แฟนๆ บางคนมโนว่าน่าจะพูดถึง Tom Hiddleston ที่เธอเดตด้วยในปี 2016) ที่จับใจเราได้เพราะมันโชว์ความเก่งกาจในการเป็นนักเล่าเรื่องของเทเลอร์ได้อีกครั้ง แต่ละท่อนนั้นทำให้เราเห็นภาพความสัมพันธ์ของคู่รักในเพลงได้เป็นฉากๆ เหมาะกับการเป็นเพลงฟังในวันเหงาๆ ฟีลคิดถึงคนรักเก่าเป็นที่สุด
Anti-Hero
เทเลอร์เคยให้สัมภาษณ์ว่า Anti-Hero เปรียบเสมือนไกด์ทัวร์สู่ความรู้สึกไม่มั่นคง (Insecurity) ในจิตใจเธอ แล้วกับคนที่ตาสว่างกลางดึกเพราะโดนความรู้สึกแบบนั้นจู่โจม Anti-Hero จึงทำงานกับเราได้มากเป็นพิเศษ
ความสงสัยในคุณค่าของตัวเอง ความรู้สึกแปลกแยกแตกต่าง ไปจนถึงความรู้สึกเกลียดตัวเองแต่ทำอะไรไม่ได้ เหล่านี้ล้วนถูกระบายผ่านเนื้อร้องและทำนองสุดติดหูที่เทเลอร์ออกปากว่า เป็นหนึ่งในเพลงที่เธอเขียนแล้วชอบที่สุดเพราะมันจริงใจ เห็นได้ชัดจากท่อน ‘It’s me. Hi. I’m the problem.’ หรือ ‘I’ll stare directly at the sun but never in the mirror.’ ซึ่งบรรยายความรู้สึกสีขุ่นได้อย่างตรงไปตรงมา ขณะเดียวกันมันก็ไม่ได้ทำให้คนฟังอย่างเรารู้สึกแย่กับตัวเองมากนัก แต่กลับรู้สึกเหมือนได้นั่งอยู่กับเพื่อนสักคนที่เข้าใจหัวอกเราดี
You’re on Your Own, Kid
ฟังผ่านๆ You’re on Your Own, Kid อาจเป็นเพลงรักที่ว่าด้วยเด็กสาวคนหนึ่งผู้รอให้ผู้ชายที่เธอชอบหันมามองบ้าง จนถึงจุดที่รอไม่ไหวแล้วเลยขอมูฟออนไปทำสิ่งที่รักก่อน แต่เมื่อลองฟังดีๆ เรากลับพบเรื่องเล่าที่น่าสนใจสอดแทรกอยู่
ถ้าเทเลอร์ขึ้นชื่อว่าเป็นศิลปินที่เป็นเสียงของยุคสมัย You’re on Your Own, Kid คือหนึ่งในตัวอย่างที่พูดแทนความรู้สึกของคนเจนฯ เราได้ดี เพราะนอกจากความรัก มันยังพูดถึงการเติบโต ความฝัน การต้องลาจากบ้านเกิดมาทำงานในเมืองใหญ่ ความรู้สึกโดดเดี่ยวคล้ายอยู่ตัวคนเดียวแม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางคนมากมายหรือประสบความสำเร็จแค่ไหน ในเวลาเดียวกัน เพลงนี้ก็คล้ายปลอบประโลมว่าเราจะไม่เป็นไร โดยเฉพาะท่อน ‘‘Cause there were pages turned with the bridges burned. Everything you lose is a step you take. So, make the friendship bracelets, take the moment, and taste it. You’ve got no reason to be afraid.’
Midnight Rain
การขึ้นต้นด้วยเสียงทุ้มต่ำฟีล Jump Scare อาจทำให้หลายคนตกใจ แต่เชื่อเถอะว่าฟังไปฟังมาแล้วจะติดหู
ในบีตสุดหลอกหลอน Midnight Rain เล่าเรื่องการย้อนกลับไปมองอดีตที่ผ่านมาพร้อมคำถามว่า สิ่งที่เลือกตอนนั้นคือทางที่ถูกต้องจริงๆ หรือเปล่า ความรักที่จบลงไปตอนนั้นเพราะฝ่ายหนึ่งเลือกชื่อเสียงมากกว่าความสัมพันธ์ มันควรจะปิดฉากลงเหรอ สุดท้ายเราอาจไม่พบคำตอบ ทำได้แค่ครุ่นคิดกับทางเลือกที่เลือกไปแล้วในเวลาเที่ยงคืนแบบนี้
Question…?
หนึ่งในเพลงที่ป็อปที่สุดในอัลบั้ม ติดหูตั้งแต่ท่อนเปิด ‘Good girl, sad boy. Big city, wrong choices.’ เนื้อหาพูดถึงความรู้สึกวาบหวามระหว่างคนสองคนที่เจอกันในสถานที่แห่งหนึ่ง (เดาว่าปาร์ตี้) นำมาซึ่งคำถามชวนครุ่นคิดว่าด้วยความสัมพันธ์ที่คนคนหนึ่งเอ่ยปากถามอีกฝ่าย
แฟนคลับหลายคนมองว่า Question…? น่าจะเกี่ยวกับ Karlie Kloss นางแบบสาวผู้เป็นอดีตเพื่อนสนิทและเคยมีรูปจูบกันในงานปาร์ตี้แห่งหนึ่งหลุดออกมา เพราะท่อน ‘Did you ever have someone kiss you in a crowded room?’ ซึ่งไปเชื่อมกับท่อนหนึ่งของเพลง Dress ที่ร้องว่า ‘Our secret moments in your crowded room.’ ซึ่งแฟนๆ เชื่อว่าพูดถึงคาร์ลีอีกเช่นกัน แต่ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ใช่ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Question…? เป็นเพลงที่ฟังเพลินจริงๆ
Vigilante Shit
ถ้าใครคิดถึงเทเลอร์ในช่วงออกอัลบั้ม Reputation แทร็กนี้น่าจะตอบโจทย์คุณได้ดี เพราะ Vigilante Shit พูดถึงการแก้แค้น มีกลิ่นอายแบบ Reputation จากเสียงเบสหนักๆ ที่ยิ่งส่งเสริมเรื่องราวของสาวฮอตที่ออกไปหลอกผู้ชายคนหนึ่งเพื่อแก้แค้นให้เพื่อนสาวที่โดนนอกใจ ยิ่งทำให้เพลงนี้ร้อนแรงเหมือนใส่พริกล้านเม็ด โดยเฉพาะท่อน ‘Don’t get sad, get even. So, on the weekends, I don’t dress for friends. Lately I’ve been dressing for revenge.’ ฟังแล้วต้องซู้ดปากแล้วกรี๊ดว่า แม่!!
Labyrinth
ส่วนถ้าใครคิดถึงอัลบั้ม Folklore และ Evermore แทร็กอย่าง Labyrinth อาจทำให้หายคิดถึงได้ เพราะเป็นเพลงช้าว่าด้วยการมีความหวังในรักครั้งใหม่หลังจากเสียใจมาแล้วหลายครั้ง ฟังแล้วรู้สึกล่องลอยและเหมือนหลงทางอยู่ใน ‘เขาวงกตทางความคิด’ เหมือนในเพลงบอกจริงๆ
เพลงนี้ยังมีท่อนที่พูดถึงการดีลกับภาวะวิตกกังวลจากความผิดหวังในความรักของเทเลอร์อย่าง ‘Breathe in, breathe through, Breathe deep, breathe out’ เรื่องตลกคือท่อนที่ว่าเคยเป็นส่วนหนึ่งของปาฐกถาที่เทเลอร์พูดไว้วันปัจฉิมนิเทศของ New York University เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ทำให้หลายคนมองว่าเธอนี่มันเจ้าแม่แห่งการสปอยล์งานใหม่ของตัวเองจริงๆ (ฮา)
Karma
หลังซู้ดปากกับ Vigilante Shit พอเห็นชื่อ Karma (ที่ว่ากันว่าเป็นชื่อแรกของอัลบั้ม Reputation ก่อนจะมาเปลี่ยนทีหลัง) เราก็คาดหวังว่าเพลงนี้จะเป็นฟีลเดียวกัน แต่เทเลอร์เซอร์ไพรส์เรากลับ เพราะถึงจะพูดเรื่องเวรกรรม Karma กลับเป็นแทร็กที่ไม่ได้ใช้บีตหนักๆ ไม่ได้มีเนื้อหาสุดดาร์ก อันที่จริงมันเป็นหนึ่งในเพลงที่ป็อปจ๋าที่สุดของอัลบั้มด้วยซ้ำ ฟังสนุกจนอยากร้องเต้นตาม โดยเฉพาะท่อน ‘Sweet like honey, karma is a cat. Purring in my lap ’cause it loves me. Flexing like a goddamn acrobat. Me and karma vibe like that.’
อาจเพราะเทเลอร์ในวัย 32 มองเรื่องเวรกรรมในเชิงปล่อยวางแล้วก็ได้ เธอไม่คิดจองล้างจองผลาญ แต่ระลึกไว้เสมอว่าสุดท้ายใครทำอะไรไว้ก็คงได้รับผลกรรมอยู่ดี (มองแรงไปที่เหล่าอดีตคู่รักตัว K กับโปรดิวเซอร์ผู้มีชื่อเหมือนยานพาหนะ) เธอในวัยนี้อยากปกป้องความสงบสุขของตัวเองด้วยการเอนจอยสิ่งดีๆ ในชีวิตและปล่อยให้เวรกรรมทำงานของมัน
Bigger Than the Whole Sky
3am Tracks คือ 7 เพลงในอัลบั้ม Midnights ที่ไปไม่ถึงรอบไฟนอลและถูกเทเลอร์คัดออก ก่อนที่เธอจะปล่อยมาเซอร์ไพรส์แฟนๆ ภายหลังปล่อยอัลบั้มได้ไม่กี่ชั่วโมง และในบรรดาแทร็กทั้งหมด Bigger Than the Whole Sky คือเพลงที่เราชอบเป็นการส่วนตัว
เพลงบัลลาดเศร้าสร้อยว่าด้วยความสัมพันธ์เก่าที่ถึงแม้จะได้ใช้เวลาด้วยกันแค่สั้นๆ แต่มีความหมาย เป็นเพลงฟังสบายแต่ร้าวราน ซึมลึก ชวนให้นึกถึงโอกาสอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่เคยทำกับเขาคนนั้น ถ้าใครเคยผ่านประสบการณ์การสูญเสียใครสักคนไม่ว่าจะรูปแบบไหน อาจมีน้ำตารื้นได้ โดยเฉพาะท่อน ‘And I’ve got a lot to pine about. I’ve got a lot to live without. I’m never gonna meet. What could’ve been, would’ve been, what should’ve been you.’
Sources :
Facebook : Taylor Swift
Facebook : E! News
Vox | Vox.com
We are IOWA | weareiowa.com