Mamkkeot House สนามเด็กเล่นที่ไม่มีเครื่องเล่นในเกาหลีใต้ พื้นที่ที่สร้างให้เด็กๆ ได้เล่นสนุกอย่างเป็นอิสระ

ในยุคที่เทคโนโลยีทันสมัยมากขึ้น เมืองขยายตัวขึ้น พื้นที่ที่เด็กๆ วิ่งเล่นได้อย่างอิสระกลับลดลงอย่างเห็นได้ชัด เพื่อแก้ปัญหานี้ บริษัทสถาปนิกในเกาหลีใต้ชื่อ ‘ilsangarchitects’ จึงสร้าง ‘Mamkkeot House’ หรือสนามเด็กเล่นที่ไม่มีเครื่องเล่นขึ้นมา เพื่อให้เด็กๆ ได้มีพื้นที่เล่นสนุกอย่างเต็มที่ โดยสถาปนิกเล่าว่า โครงการนี้เกิดจากความร่วมมือระหว่างเมืองจอนจู (Jeonju) และองค์การยูนิเซฟ (UNICEF) เพื่อเปลี่ยนสระน้ำกลางแจ้งที่ถูกทิ้งร้างนาน 30 ปีให้กลับมามีชีวิตชีวาและกลายเป็นพื้นที่สาธารณะสำหรับเด็กๆ ในเมืองอีกครั้งหนึ่ง สระน้ำร้างใน Doekjin Park สวนสาธารณะกลางเมืองจอนจู ถูกชุบชีวิตใหม่จนกลายเป็นสนามเด็กเล่น Mamkkeot House ซึ่งจุดเด่นของที่นี่ไม่ได้อยู่ที่ตัวสถาปัตยกรรม แต่อยู่ที่ภูมิทัศน์มากกว่า เพราะสถาปนิกของโครงการตั้งใจออกแบบให้ Mamkkeot เป็นพื้นที่วิ่งเล่นขนาดใหญ่มากกว่าที่จะเป็นเพียงอาคารหลังหนึ่ง แม้ตัวอาคารจะเป็นพื้นที่ส่วนน้อยของโครงการ แต่ก็ถูกออกแบบมาอย่างประณีต โดยเลือกใช้โครงสร้างไม้ Glulam ทรงจั่วครอบบนทางเดินชั้นลอยเพื่อสร้างร่มเงา รวมถึงทำหน้าที่เป็นราวจับที่เพิ่มความปลอดภัย รองรับการเล่นที่หลากหลาย ส่วนพื้นที่ใช้สอยหลักทั้งชั้นบนและชั้นล่างยังถูกออกแบบให้เป็นห้องกระจกที่ปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ตามความต้องการของชุมชน นอกจากนี้ การออกแบบ Mamkkeot House ยังตั้งใจลดพื้นที่ในร่มให้เหลือน้อยที่สุด และทำให้พื้นที่ในร่มรู้สึกเหมือนอยู่กลางแจ้ง รวมถึงพยายามทำให้เด็กได้สัมผัสภาพและเสียงของสิ่งแวดล้อมรอบตัว โดยการสร้างพื้นที่โล่งที่เปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้เชื่อมต่อกับโลกนอกห้องเรียน สามารถวิ่งเล่นเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระและมีข้อจำกัดน้อยที่สุด Source :ArchDaily | […]

สำรวจ ‘จะนะ’ ผ่าน ‘Voice of Chana’ แพลตฟอร์มข้อมูลจาก Greenpeace ที่จะทำให้รู้จักจะนะมากกว่าแค่ข่าวนิคมฯ

เมื่อปี 2562 โครงการ ‘นิคมอุตสาหกรรมจะนะ’ ได้ผ่านมติพิจารณาของคณะรัฐมนตรี โดยเป็นโครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ที่ประกอบด้วยโรงไฟฟ้า ท่าเรือน้ำลึก และโซลาร์ฟาร์ม ซึ่งดูเหมือนว่าโครงการนี้จะส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมของชาวจะนะมากกว่าช่วยพัฒนาพื้นที่โดยรอบ จากเหตุการณ์นี้ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนไหวของกลุ่มจะนะรักษ์ถิ่น และกระแส #saveจะนะ บนแพลตฟอร์มโซเชียล จนทำให้ปัจจุบันโครงการถูกชะลอออกไปจนกว่าการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์จะเสร็จสิ้น หากสงสัย อยากทำความเข้าใจ และหาข้อมูลเพิ่มเติมว่า การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมที่จะนะนั้นจะส่งผลกระทบอะไรบ้าง และทำไมชาวบ้านถึงออกมาเรียกร้องปกป้องบ้านเกิด Urban Creature ชวนไปติดตามข้อมูลทั้งหมดจาก ‘Voice of Chana’  Voice of Chana เป็นแพลตฟอร์มที่ชาวจะนะและกรีนพีซ (Greenpeace) ใช้เวลากว่าสองปีในการรวบรวมข้อมูลและศึกษาผลกระทบของโครงการนิคมฯ ที่อาจเกิดขึ้น ทั้งต่ออาชีพ สิ่งแวดล้อม และสุขภาพ ก่อนจะนำมาย่อยเพื่อเล่าใหม่ให้เข้าใจง่าย โดยใช้วิธีเล่าข้อมูลด้วยภาพ (Data Visualization) รวมไปถึงเป็นช่องทางการส่งเสียงของชาวจะนะให้สังคมได้รับรู้ว่าชาวบ้านไม่ได้จะขัดขวางการพัฒนา เพียงแต่ต้องการอยู่ในบ้านเกิดของตนเองภายใต้สภาพแวดล้อมที่ดี และมีสิทธิ์มีเสียงในการออกแบบการพัฒนาบ้านเกิดของตนเองด้วยเช่นกัน ตามไปสำรวจชีวิตชาวจะนะและผลกระทบของนิคมอุตสาหกรรมได้ที่ : voiceofchana.greenpeace.org

Wastic Thailand แบรนด์แว่นตากันแดดอัปไซเคิลที่เชื่อว่าเรามีไลฟ์สไตล์ชิกๆ ได้พร้อมกับการช่วยโลก

Wastic Thailand คือแบรนด์สินค้าอัปไซเคิลจากขยะพลาสติกที่อยากหลุดออกจากกรอบเดิมๆ ของสินค้ารักษ์โลก ตั้งแต่ชื่อ Wastic ที่มาจากคำว่า Waste กับ Plastic ตั้งใจให้อ่านออกเสียงว่า วาส-ติก ไม่ใช่ เวส-ติก เพราะไม่อยากให้ลูกค้านึกถึงภาพขยะเมื่อได้ยิน นอกจากชื่อ ผู้ก่อตั้งทั้ง 4 อย่าง กมลชนก คล้ายนก, รสลิน อรุณวัฒนามงคล, สินีนาฏ จารุวาระกูล และ อริสรา พิทยายน ยังเชื่อว่า สินค้ารักษ์โลกไม่จำเป็นต้องมีดีไซน์เรียบง่ายหรือดูออกว่าทำจากวัสดุอะไรเสมอไป แต่สามารถชิกได้ เปรี้ยวได้ เป็นสินค้าที่ให้สายแฟฯ สวมใส่ในชีวิตประจำวันได้อย่างมั่นใจ แว่นกันแดดของ Wastic คือตัวอย่างที่ยืนยันความเชื่อนั้นได้ดี ซึ่งก็ไม่ได้สักแต่ว่าจะดีไซน์ให้เก๋ไก๋ แต่สินค้าตัวแรกของพวกเธอยังสื่อสารเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมได้ในตัวมันเอง อย่างสีทั้ง 3 ของตัวแว่นกันแดดเองก็ได้แรงบันดาลใจมาจากบรรยากาศของทะเล ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ได้รับผลกระทบจากขยะพลาสติกมากที่สุด คอลัมน์ Sgreen คราวนี้ ชวนคุณไปคุยกับกมลชนก หนึ่งในผู้ก่อตั้งแบรนด์ ฟังเธอเล่าเบื้องหลังการคิดค้นสินค้าที่เลอค่าทั้งรูปลักษณ์และเป้าหมาย ขั้นตอนกว่าจะเป็นแว่นกันแดดอันแรก ไปจนถึงความเชื่อที่ว่าสินค้าอัปไซเคิลก็ชิกได้ ใส่แล้วไม่อายใคร From Plastic to […]

‘Tactical Urbanism’ โครงการปรับพื้นที่ถนนในบาร์เซโลนา ที่ใช้กราฟิกลายพื้นเมืองชวนให้คนเดินเท้ากันมากขึ้น

หลายประเทศทั่วโลกกำลังประสบปัญหามลพิษทางอากาศและเสียงที่เกินเกณฑ์มาตรฐานขององค์การอนามัยโลก จากพาหนะที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลสัญจรกันไปมา โดยหลายพื้นที่ในเมืองบาร์เซโลนาเองก็กำลังเผชิญปัญหานี้อยู่เหมือนกัน รวมไปถึงการใช้ชีวิตในเมืองที่เร่งรีบยังส่งผลให้การพบปะสังสรรค์หรือหาพื้นที่พักผ่อนในเขตเมืองนั้นเป็นไปได้ยาก ‘Arauna’ สตูดิโอออกแบบกราฟิกในเมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน จึงเสนอวิธีแก้ปัญหาด้วยการเปลี่ยนฟังก์ชันถนนที่ทำได้อย่างรวดเร็วและไม่แพง เพื่อสร้างความมีชีวิตชีวา เรียกคืนพื้นที่ในเมือง พร้อมกับสร้างประโยชน์ให้ประชาชน ผ่านการสร้างถนนที่เป็นมิตรกับคนเดินถนนมากขึ้น และส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีโดยทำให้เป็นพื้นที่สำหรับการเดินเล่นและพักผ่อนได้ ทั้งหมดที่กล่าวมาคือรายละเอียดของโครงการ ‘Tactical Urbanism’ ที่ทั้งเพิ่มพื้นที่ในการเดิน เติมเต็มพื้นถนนด้วยกราฟิกสีสันสดใส เพื่อชวนให้คนมาเดินกันมากขึ้น Arauna ได้คิดค้นระบบกราฟิกโดยใช้เวลาในการออกแบบลายและเทคนิคการลงสีสร้างองค์ประกอบต่างๆ อย่างพิถีพิถัน เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ความต้องการ และบริบทอันหลากหลายที่สามารถเกิดขึ้นได้ภายในพื้นที่เหล่านี้ กราฟิกที่ปรากฏบนพื้นนั้นมีที่มาจากหินปูพื้นแบบดั้งเดิมของบาร์เซโลนาที่เรียกว่า ‘Panot’ ซึ่งถูกนำมาใช้สร้างทางเท้าของเมืองตั้งแต่ปี 1906 โดยทีมออกแบบของ Arauna นำลายเหล่านี้มาทาสีให้กลายเป็นภาพกราฟิกลงบนพื้น โดยไม่ลืมที่จะนึกถึงความเป็นเอกลักษณ์ของถนนแต่ละสาย ละแวกบ้าน และหัวมุม นำไปสู่การปรับกราฟิกให้เข้ากับความต้องการและบริบทที่หลากหลายของพื้นที่ในเมืองแต่ละแห่ง นอกจากนี้ Arauna ยังเสนอให้สลักชื่อถนนบนทางเท้าทั่วบาร์เซโลนา เพื่อนำทางและเป็นหมุดหมายให้คนเดินเท้า แทนที่จะใช้ป้ายชื่อถนนที่ออกแบบมาสำหรับผู้ขับขี่รถยนต์เพียงอย่างเดียว ซึ่งทีมออกแบบก็ได้ใช้ส่วนประกอบจาก Panot ประดิษฐ์ตัวอักษรในรูปแบบที่หลากหลายให้กลายเป็นอักขระแต่ละตัว เพื่อใช้ระบุถึงการใช้พื้นที่สาธารณะ ชื่อถนน โรงเรียน และอื่นๆ Sources :Barcelona Secreta | tinyurl.com/3tbr2wh8Designboom | tinyurl.com/3tnwrmc3

Urban Eyes 40/50 เขตวังทองหลาง

ในที่สุดโปรเจกต์ Bangkok Eyes ก็เดินทางมาถึงหลักไมล์ที่ 40 จากทั้งหมด 50 เขตของกรุงเทพฯ แล้ว ที่ผ่านมาการพกกล้องออกจากบ้านไปลงพื้นที่แต่ละเขตได้กลายเป็นกิจกรรมที่ผมรอคอยและเอนจอยทุกครั้ง เพราะต่อให้เหนื่อยและร้อนขนาดไหน แต่หลังจากเห็นมุมแปลกใหม่ของกรุงเทพฯ และได้ภาพถ่ายสตรีทสวยๆ มานำเสนอให้ทุกคนชม ก็ทำให้ผมหายเหนื่อยไปได้ อีกอย่างการทำโปรเจกต์ที่ยาวนานชิ้นนี้ก็เป็นการท้าทายความสามารถและความอดทนของตัวเองด้วย เขตวังทองหลางคือเขตที่ผมเลือกมานำเสนอในบทความชิ้นที่ 40 แม้เขตนี้จะเป็นเขตที่ผมเดินทางผ่านไปผ่านมาบ่อยๆ แต่ก็ยังไม่เคยไปเดินสำรวจทำความรู้จักเขตนี้อย่างจริงจัง แน่นอนว่าเขตนี้มีถนนลาดพร้าวตัดผ่าน ทำให้การจราจรค่อนข้างติดขัด แถมยังมีการก่อสร้างถนนอีก เนื่องจากรถไฟฟ้าสายสีเหลืองเพิ่งเปิดให้ทดลองใช้กัน พื้นที่ใต้รางรถไฟฟ้าจึงยังเก็บงานได้ไม่ครบถ้วน แต่ก็ดีใจกับคนเขตนี้ที่มีขนส่งสาธารณะเพิ่มมาเป็นอีกทางเลือกการเดินทาง วัดสามัคคีธรรม (หลวงปู่หล่ำ) ━ เราชอบสถาปัตยกรรมของที่นี่ ทั้งวัดและรูปปั้นต่างๆ ลงสีได้เข้มและชัดเจน มีรายละเอียดตามสถาปัตยกรรมที่สวยงาม แถมยังแบ่งเป็นฝั่งวัดไทยและวัดจีน โชคดีที่เราเดินทางไปในช่วงเวลาที่นักเรียนกำลังเลิกเรียน ทำให้มีซับเจกต์ที่หลากหลาย ทั้งผู้ปกครองและนักเรียน ตลาดนัดร่ำรวย ━ ตลาดเล็กๆ ที่มีของกินเยอะมาก ช่วงเวลาที่เราไปนั้นแดดออกพอดี ทำให้มีช่วงหนึ่งที่ตัวร้านเอากันสาดสีชมพูมาปิด ผสมผ้าที่ปิดร้านนิดๆ บังแผงขายของหน่อยๆ เหมือนรอให้เราเข้าไปถ่ายรูป Imperial World และ Big C (ลาดพร้าว) ━ ห้างฯ เก่าแก่ที่ยังมีร้านค้าจำนวนมากขายของอยู่ข้างใน […]

Tutiru Café คาเฟ่และร้านดอกไม้จากมือเกษตรกรญี่ปุ่น ที่อยากให้ดอกเบญจมาศไม่ถูกใช้แค่ในงานศพและงานแต่ง

สำหรับคนไทย ดอกไม้ในตระกูลเบญจมาศ (Chrysanthemum) ถือเป็นดอกไม้ทั่วไปที่เห็นบ่อยครั้งในการจัดช่อดอกไม้เพื่อแสดงความยินดีในโอกาสต่างๆ แต่สำหรับประเทศญี่ปุ่น ดอกไม้ตระกูลนี้กลับถูกใช้ในพิธีสำคัญอย่างงานแต่งงานและงานศพเป็นส่วนใหญ่ เพื่อให้คนญี่ปุ่นคุ้นเคยกับดอกเบญจมาศในชีวิตประจำวันมากขึ้น เกษตรกรผู้ปลูกดอกเบญจมาศในเมือง Marugame จังหวัด Kagawa ประเทศญี่ปุ่น จึงตัดสินใจเปิด ‘Tutiru Café’ คาเฟ่ที่มีการขายดอกเบญจมาศร่วมด้วย ภายใต้การออกแบบของสตูดิโอสัญชาติญี่ปุ่นอย่าง ‘Fathom’ ที่แบ่งพื้นที่สี่เหลี่ยมแห่งนี้ออกเป็นสองส่วน โดยส่วนแรก นักออกแบบได้เปลี่ยนโกดังเก่าในฟาร์มให้เป็นบริเวณที่รวมร้านดอกไม้และคาเฟ่เข้าไว้ด้วยกัน และตกแต่งด้วยวัสดุที่มีลักษณะเป็นเส้นตรงทั้งในแนวนอนและแนวตั้ง ซึ่งการออกแบบลักษณะนี้มีความหมายซ่อนอยู่ เส้นตรงในแนวนอนสื่อถึงผืนดินอันกว้างใหญ่ ส่วนเส้นตรงในแนวตั้งแทนการเจริญเติบโตของดอกเบญจมาศ ซึ่งเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของสถานที่แห่งนี้ สำหรับพื้นที่อีกส่วนที่แยกตัวออกมาจะถูกใช้เป็นโกดังเก็บดอกเบญจมาศโดยเฉพาะ เพื่อควบคุมอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับดอกไม้เหล่านี้ นอกจากนี้ ภายในคาเฟ่ Tutiru Café ยังมีโต๊ะแบบเคาน์เตอร์บาร์ที่ลูกค้าสามารถมองเห็นโกดังและโต๊ะสำหรับทำเวิร์กช็อปจัดดอกไม้ ตามความตั้งใจเดิมของเจ้าของร้านและ Fathom ที่ต้องการให้ดอกเบญจมาศกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับชีวิตประจำวันของผู้เข้าใช้บริการได้ Sources : ArchDaily | t.ly/G-XfFathom | t.ly/5QOW

ชีวิตแบบ Spider-Neighbor ฮีโร่ของไทย เพื่อนบ้านคนใหม่ใน Bangklyn (Earth-112)

ติดตาม ‘Spider-Man’ มาตั้งแต่เวอร์ชันแรก ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีฮีโร่คนนี้อยู่ในจักรวาลอื่นๆ ด้วย แต่ ‘Spider-Man : Across the Spider-Verse’ ก็ทำให้เราได้เห็นแล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นใคร อยู่ที่ไหนบนจักรวาลนี้ ก็สามารถเป็นฮีโร่แมงมุมได้ด้วยเหมือนกัน พอได้เห็น Spider-Man ในภาพที่แตกต่างกันออกไปมากมายแล้วก็แอบนึกสงสัยว่า ถ้าหากมีไอ้แมงมุมในประเทศไทยของเราบ้างจะเป็นอย่างไร จะสามารถเดินทางข้ามตึกโดยเท้าไม่แตะพื้นเหมือนที่นิวยอร์กได้หรือเปล่า หรือจะต้องเผชิญกับรถจำนวนมากบนท้องถนนเหมือนกับที่มุมแบตตันกันนะ คอลัมน์ Urban Isekai ขอพาทุกคนไปติดตาม ‘Spider-Neighbor’ ฮีโร่เพื่อนบ้านที่แสนดีในเวอร์ชันที่ต้องใช้ชีวิตที่เมือง ‘Bangklyn’ กันว่า ในโลกหมายเลข 112 นี้ชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง Daily Life : ถึงจะมีตัวช่วยทำให้ชีวิตเปลี่ยนไป แต่การเดินทางก็ยังยากลำบากเหมือนเดิม ครั้งหนึ่ง Spider-Neighbor เคยมีชีวิตธรรมดาเหมือนกับ Spider-Man ในโลกอื่นๆ ก่อนหน้านี้เขาเป็นนักศึกษาที่ใช้เวลาเดินทางในแต่ละวันไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมง เคยเดินสะดุดฟุตพาทเพราะกระเบื้องไม่เสมอกันจนทำให้เลือดท่วมมาแล้ว แต่หลังจากโดนแมงมุมกัดจนกลายเป็น Spider-Neighbor เขาก็มีตัวช่วยอย่างใยแมงมุมที่ควรจะช่วยร่นเวลาเดินทางในเมืองได้ แต่ด้วยข้อจำกัดหลายอย่างของ Bangklyn ไม่ว่าจะเป็นจำนวนตึกสูงที่มีน้อยและตั้งอยู่ห่างกันจนไม่สามารถโหนตัวข้ามตึกได้ รวมถึงเสาไฟฟ้าและสายไฟระโยงระยางที่กีดขวางการห้อยโหน ทำให้ต้องโหนตัวระดับที่ต่ำและใกล้กับพื้นดิน ซึ่งวิธีนี้ยังเสี่ยงต่อการถูกรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ชนอีกด้วย […]

‘สองเทพบุตรสุดที่รัก’ ลิเกมรดกไทยร่วมสมัย | THE PROFESSIONAL

“แก่นแท้มันมีสามแก่น หนึ่งคือ ศิลปวัฒนธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถลืมได้ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ขาดการร้อง การรำ นั่นคือไม่ใช่ลิเก “แก่นที่สองคือ แก่นที่ปรับเข้ายุคตามสมัย ปรับให้เข้ากับสิ่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน “แก่นที่สามคือ AI เป็นสิ่งที่ทำให้คนดูตื่นตาอลังการเหมือนอยู่ในโรงละคร ทั้งหมดสามแก่นรวมเป็นหนึ่งเดียวคือ คณะลิเกสองเทพบุตรสุดที่รัก” รายการ The Professional ชวนไปเที่ยวชมมหรสพชมลิเก และร่ายรำพูดพร่ำทำเพลงไปกับสามพี่น้องคณะลิเก ‘สองเทพบุตรสุดที่รัก’ ที่จะมาเล่าเรื่องลิเก๊ลิเกฉบับยุค 5G ที่พวกเขาพัฒนาเข้ากับยุคสมัย เพื่อหวังให้ลิเกเป็นศิลปวัฒนธรรมที่ไม่ได้เป็นที่รู้จักแค่ในประเทศไทย แต่อยากให้กลายเป็นป็อปคัลเจอร์ที่คนทั่วโลกเอนจอย

กิจกรรม My Story, Our Story ฉายหนังจากกองทุน Netflix เพื่อความหลากหลายบนหน้าจอ

ในเดือนแห่งความหลากหลายนี้ นอกจากเรื่องเพศที่สังคมควรให้ความสำคัญและผลักดันอย่างเต็มที่แล้ว ภายใต้ร่มของความหลากหลายก็ยังมีมิติอื่นๆ ที่มองข้ามไปไม่ได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเชื้อชาติ สีผิว หรือความเชื่อ เมื่อวันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา Netflix ได้จัดงานฉายภาพยนตร์ ‘My Story, Our Story’ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายในการสนับสนุนผู้สร้างผลงานจากประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ไม่ได้มีโอกาสถ่ายทอดผลงานของตัวเอง ให้ได้มีโอกาสนำเสนอผลงานและร่วมเฉลิมฉลองการเล่าเรื่องที่แตกต่างหลากหลาย ภายในกิจกรรมมีการจัดฉายภาพยนตร์สั้นที่ได้รับการสนับสนุนและสร้างขึ้นจากกองทุน ‘Netflix Fund for Creative Equity’ ที่ทาง Netflix ลงทุนมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ตลอดระยะเวลา 5 ปี เพื่อปูเส้นทางให้แก่ผู้สร้างผลงานที่ไม่ได้มีโอกาสถ่ายทอดผลงานของตัวเองทั่วโลก ภาพยนตร์ที่ฉายในงานมีทั้งหมด 3 เรื่อง ประกอบด้วย ‘Dear You’ (ประเทศไทย) โดย ‘เหมือนดาว กมลธรรม’ ที่เล่าเรื่องของแม่เลี้ยงเดี่ยวผู้ต่อสู้ดิ้นรนในช่วงโรคระบาด ‘Soul-Kadhi’ (ประเทศอินเดีย) โดย ‘Sameeha Sabnis’ ที่หยิบเอาความแฟนตาซีมาผสมกับดราม่า เพื่อสำรวจถึงเสรีภาพผ่านสายสัมพันธ์ของลูกสะใภ้และแม่สามี และ ‘Pao’s Forest’ (ประเทศเวียดนาม) โดย […]

“ให้คิดว่าเป็นเหมือนทรัพย์สินของเราเอง” รู้จักอาชีพ ‘คนตรวจบ้าน’ กับ Mylovecondo

“ให้คิดว่าเป็นเหมือนทรัพย์สินของเราเอง” รู้จักอาชีพ ‘คนตรวจบ้าน’ ผ่านการทำงานตามแบบ Mylovecondo

คุยกับเจ้าของแบรนด์ ‘Pop Icon’ ไอศกรีมลายกระเบื้องพระปรางค์วัดอรุณฯ ขายความเป็นไทยกินได้ แถมน่ารักด้วย

ในช่วงไม่กี่วันมานี้ หลายคนน่าจะได้เห็นไวรัลไอศกรีมลายกระเบื้องวัดอรุณฯ สีส้มและสีฟ้าผ่านตาจำนวนมาก ซึ่งบางคนอาจไม่ได้แค่เห็นเท่านั้น แต่ยังตามไปซื้อมาถ่ายภาพคู่กับพระปรางค์ที่วัดอรุณฯ ถึงที่ด้วยซ้ำ ส่วนใครที่อยากกินช่วงนี้ก็อาจต้องพึ่งความไวสักนิด เพราะทางแบรนด์ ‘Pop Icon’ เจ้าของไอศกรีม 3 มิติกำลังอยู่ในช่วงรีสต็อก หลังจากขายดีเป็นเทน้ำเทท่า และจะกลับมาขายอีกทีวันที่ 15 มิถุนายนหรือวันนี้นี่เอง ระหว่างที่รอเวลาเลิกงานหรือเลิกเรียนเพื่อแวะไปที่วัดเย็นนี้ Urban Creature ได้ต่อสายตรงคุยกับ ‘ตาล ศิริญญา’ เจ้าของแบรนด์ Pop Icon ที่ใช้เวลาทำไอศกรีมลายดอกไม้รุ่งอรุณที่ป็อปที่สุดในเวลานี้มาเป็นเวลากว่า 2 ปีเลยทีเดียว “แบรนด์นี้เกิดจากความชอบไอศกรีมของเรา บวกกับความอยากส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย อีกอย่างตัวเราก็ชอบเรื่องประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรมไทยอยู่แล้ว ซึ่งก็มองเห็นว่าในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวบ้านเรา พวกของที่ระลึกยังเป็นรูปแบบเดิมๆ อยู่ เช่น โปสต์การ์ด แม่เหล็ก พวงกุญแจ ถ้าเราสามารถทำให้มันมีสีสันมากขึ้นด้วยการตีความใหม่ก็น่าจะดีต่อนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างประเทศ” ตาลเท้าความถึงจุดเริ่มต้นของไอเดีย ส่วนเหตุผลที่เลือกทำไอศกรีม เธอเล่าว่านอกจากความชอบแล้ว ขนมชนิดนี้ยังเหมาะกับประเทศไทย เพราะอากาศบ้านเราร้อน และแลนด์มาร์กของไทยส่วนใหญ่อยู่กลางแจ้ง การทานไอศกรีมในวันร้อนๆ จึงตอบโจทย์ที่สุด นอกจากนี้ เธอยังมองว่าวัฒนธรรมไทยไม่จำเป็นต้องนำเสนอในรูปแบบเดิมๆ หรือความโบราณเก่าก่อนเสมอไป การหยิบเอาศิลปะไทยมานำเสนอผ่านไอศกรีมน่าจะทำให้คนเข้าถึงความเป็นไทยมากขึ้น แถมยังอาจทำให้คนเกิดความสนใจ […]

ญี่ปุ่นกับนโยบายเช่าและขายบ้านราคาถูก ที่หวังแก้ปัญหาคนกระจุก บ้านร้างกระจาย

อีกหนึ่งปัญหาใหญ่ที่ทำเอารัฐบาลประเทศญี่ปุ่นปวดหัวไม่แพ้กับปัญหาสังคมผู้สูงอายุเลยคือ การเพิ่มจำนวนของ ‘บ้านร้าง’ ที่กระจายตัวอยู่ทั่วทุกพื้นที่บนหมู่เกาะ เนื่องจากคนรุ่นใหม่มีมุมมองเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยที่ต่างไปจากเดิม จนไม่ต้องการเสียเงินไปกับค่าใช้จ่ายในการซื้อและบำรุงรักษาบ้านอีกต่อไป เกิดเป็นปรากฏการณ์ที่ใครหลายคนพากันทิ้งบ้าน เดินทางเข้าหัวเมืองใหญ่เพื่อเช่าหรือซื้อห้องพักบนตึกสูงประเภทคอนโดฯ แทน เนื่องจากมองว่ามีความสะดวกสบายและดูแลรักษาได้ง่ายกว่าบ้านในรูปแบบเดิมๆ ปัญหาที่ตามมาคือการกระจุกตัวของผู้คนและที่อยู่อาศัยจำนวนมากบริเวณใจกลางเมืองใหญ่ เพราะไม่อยากให้บ้านถูกทิ้งไว้จนเปล่าประโยชน์ รัฐบาลญี่ปุ่นจึงต้องเร่งแก้ไขปัญหา และออกมาตรการผลักดันให้บ้านที่ถูกทิ้งร้างเหล่านี้กลับมามีเจ้าของอีกครั้ง ด้วยการเปิดขายบ้านราคาถูกและออกนโยบายช่วยเหลือในส่วนต่างๆ คอลัมน์ City in Focus ชวนไปดูปัญหาและผลกระทบที่เกิดจากการผุดขึ้นของบ้านร้างในประเทศญี่ปุ่น ไปจนถึงการแก้ปัญหาของรัฐบาลที่ต้องการกระจายคนไปตามบ้านร้างต่างๆ ทั่วประเทศ แทนที่จะกระจุกตัวอยู่แค่ใจกลางเมือง จำนวนบ้านร้างที่เพิ่มขึ้น ถ้าจะพูดว่า ในตอนนี้แดนอาทิตย์อุทัยกำลังตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเกี่ยวกับปัญหาที่อยู่อาศัยก็คงไม่ผิดนัก เพราะการเก็บสถิติในปี 2018 พบว่า ญี่ปุ่นต้องเผชิญกับปัญหาบ้านร้างที่กระจายตัวอยู่ทั่วทุกมุมเกาะมากถึง 8.49 ล้านหลัง และสถาบันวิจัยโนมูระยังคาดการณ์ว่า ตัวเลขนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 10 ล้านหลังภายในปี 2023 แต่เนื่องจากเทรนด์การเลือกซื้ออสังหาริมทรัพย์ของคนรุ่นใหม่ที่นิยมที่อยู่อาศัยมือหนึ่งในรูปแบบคอนโดมิเนียมกันมากขึ้น และไม่นิยมซื้อบ้านมือสองอีกต่อไป ทำให้จำนวนบ้านร้างมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่มีคนเข้าไปอยู่อาศัยหรือรับช่วงต่ออย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งความนิยมคอนโดฯ มือหนึ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้สอดคล้องกับข้อมูลจากกระทรวงกิจการภายในประเทศและการสื่อสารที่ระบุว่า เมื่อปี 2018 ญี่ปุ่นมีที่อยู่อาศัยซึ่งรวมทั้งบ้านและคอนโดฯ ทั้งหมด 62.41 ล้านยูนิต และมีการคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 65.46 ล้านยูนิตภายในปี 2023 กราฟที่เพิ่มสูงขึ้นชี้ให้เห็นว่า ขณะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์มือหนึ่งกำลังเติบโตขึ้น […]

1 101 102 103 104 105 387

SEND YOUR STORY

REQUEST INTERVIEW

ติดตามอ่าน “Urban Creature”
นิตยสารออนไลน์ที่จะทำให้คุณรักเมืองที่คุณอยู่ รักตัวเองมากขึ้นด้วยการเปิดมุมมองและนำเสนอแนวทางการใช้ชีวิตอย่างสร้างสรรค์ และสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ในการใช้ชีวิต
Better Life. Better Living.

Max. file size: 256 MB.