จะมีสักกี่พิพิธภัณฑ์ที่เราไปเยี่ยมชมแล้วไม่ใช่แค่พิพิธภัณฑ์ แต่ยังเป็นบ้าน เป็นที่พักอาศัย เป็นหัวใจที่เจ้าของงานสะสมกว่าพันชิ้นใช้ชีวิตอยู่ภายในพื้นที่เดียวกัน
สถานที่แห่งนี้คือ ‘บ้านพิพิธภัณฑ์ คุณาวงศ์’ หรือ ‘Kunawong House Museum’ พิพิธภัณฑ์ในรูปแบบบ้านพิพิธภัณฑ์ (House Museum) ที่เปิดให้เราเข้าชมของสะสมที่เต็มไปด้วยแพสชันของ ‘คุณเสริมคุณ คุณาวงศ์’ นักสะสมผู้คร่ำหวอดในวงการศิลปะไทยมาอย่างยาวนาน
อีกความพิเศษของที่นี่คือ เปิดให้บริการเฉพาะวันอาทิตย์เท่านั้น คอลัมน์ One Day With… ในซีรีส์คอนเทนต์ ‘MUSEUM-IN-SIGHT เพ่งพิศพิพิธภัณฑ์’ จึงอยากชวนทุกคนทำตัวว่างๆ ในวันสุดท้ายของสัปดาห์ แล้วมาใช้เวลาหนึ่งวันในบ้านพิพิธภัณฑ์ คุณาวงศ์ พร้อมพูดคุยกับคุณเสริมคุณและเหล่าพนักงานถึงแพสชันในการเปิดบ้านเป็นพิพิธภัณฑ์ให้คนเข้ามาสัมผัสบรรยากาศสเปซในฝันของใครหลายคนที่อยากมีบ้านเป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์ รวมถึงเยี่ยมชมผลงานสะสมที่หาชมไม่ได้ง่ายๆ

บ้านพิพิธภัณฑ์ที่เปิดขึ้นตอนผู้อาศัยอยู่ยังมีชีวิต
แค่เดินจากรถไฟฟ้าสายสีเหลืองสถานีโชคชัย 4 เข้ามาในซอยลาดพร้าว 54 จนสุดซอยประมาณ 400 เมตร แม้ยังไม่ทันก้าวเข้าไปในบ้าน เราจะพบประติมากรรม 2 ชิ้นตั้งเด่นเป็นสง่าแบบที่ไม่ต้องดูป้ายก็รู้ว่ามาถึงจุดหมายของเราในวันนี้กับบ้านพิพิธภัณฑ์ คุณาวงศ์ พิพิธภัณฑ์ในรูปแบบบ้านพิพิธภัณฑ์กันแล้ว
ทันทีที่เปิดประตูเข้ามาในบ้านพิพิธภัณฑ์ คุณาวงศ์ สิ่งหนึ่งที่ทำเอาเราหลุดเข้าไปในโลกของงานศิลปะได้ทันทีคือ การออกแบบพื้นที่ที่บอกเล่าด้วยตัวของมันเองว่า ‘นี่แหละ งานศิลปะ’

หนึ่งสวนบวกกับสามอาคาร ได้แก่ สวนแห่งชีวิต อาคารคิวบิก หอพระ และ The Residence บริเวณด้านหลัง ประกอบกันทำให้เกิดสุนทรียภาพในการรับชมชิ้นงานศิลปะได้เป็นอย่างดี
“ถ้าให้พูดถึงจุดเริ่มต้นของการทำบ้านพิพิธภัณฑ์ คุณาวงศ์ ก็คงเริ่มต้นจากความหลงใหลในประติมากรรม เลยเก็บแรงบันดาลใจเหล่านั้นมาสร้างเป็น ‘ศูนย์ประติมากรรมกรุงเทพ’ ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ประติมากรรมสมัยใหม่แห่งแรกของประเทศไทย” คุณเสริมคุณย้อนความหลัง
เมื่อรวมแพสชันเรื่องการสะสมงานศิลปะเข้ากับการเป็นหัวเรือใหญ่ของ CMO Group กลุ่มบริษัทที่ให้บริการด้านการบริหารจัดการอีเวนต์และการตลาด และ Art Tank Group กลุ่มบริษัทที่ให้บริการด้านศิลปะแบบครบวงจร ครอบคลุมทั้งการประมูลศิลปะ การขนส่งและติดตั้ง การประเมินมูลค่า การอนุรักษ์ รวมถึงงานสื่อและอีเวนต์ที่เกี่ยวข้องกับศิลปะอย่างรอบด้าน ทั้งหมดทั้งมวลจึงหลอมรวมเกิดเป็นบ้านพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ในที่สุด

คุณเสริมคุณเล่าว่า เหตุผลที่เขาตัดสินใจเปิดที่นี่เป็นบ้านพิพิธภัณฑ์ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะได้แรงบันดาลใจจาก ‘Sir John Soane’s Museum’ ที่ลอนดอน ซึ่งถ้าให้อธิบายคำจำกัดความ Sir John Soane’s Museum คือพิพิธภัณฑ์ประเภทบ้านพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงบ้านและคอลเลกชันส่วนตัวของ Sir John Soane สถาปนิกชาวอังกฤษผู้มีชื่อเสียงหลังจากเสียชีวิต
“บ้านพิพิธภัณฑ์ในต่างประเทศเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ได้เปิดในตอนที่เจ้าของมีชีวิตอยู่ แต่เราอยากเห็นว่าคนแฮปปี้หรือเปล่าที่มาชมของสะสม เลยคิดว่างั้นทำไมเราไม่เปิดตั้งแต่ตอนที่เรามีชีวิตอยู่ล่ะ” คุณเสริมคุณกล่าว

ขอแค่คนอยู่มีความสุขก็พอแล้ว
“ผมเริ่มจากการทดลองเปิดบ้านพิพิธภัณฑ์ฯ ในส่วนของ The Residence ทุกวันเสาร์สุดท้ายของเดือนเป็นระยะเวลาหนึ่งปี ไม่ได้ทดลองว่าคนที่มาจะมีความสุขไหม แต่ทดลองว่าผมเองจะมีความสุขหรือเปล่า” คุณเสริมคุณเล่าพร้อมเสียงหัวเราะ
และถ้าถามว่าในช่วงระยะเวลานั้นคุณเสริมคุณมีความสุขแค่ไหน ก็คงวัดได้จากการขยายพื้นที่เพิ่มจากส่วนของ The Residence มาสร้างอาคารคิวบิกและหอพระ เพื่อนำคอลเลกชันทั้งหมดที่ตนสะสมมารวมกันที่บ้านพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ และปรับจากการเปิดเดือนละครั้งมาเป็นเปิดทุกวันอาทิตย์อย่างในปัจจุบัน
“ก่อนหน้านี้ทางเข้าจะอยู่ฝั่งซอยลาดพร้าว 52 แต่พอที่นี่เปิดครบทุกส่วนในช่วงเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว เราเลยเปลี่ยนทางเข้ามาเป็นซอยลาดพร้าว 54 เพราะฝั่งนี้เราซื้อที่ดินทำลานจอดรถเพิ่มเพื่อรองรับผู้เข้าชมด้วย” คุณเหมย General Manager ของบริษัท Art Tank Group ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยดูแลบ้านพิพิธภัณฑ์ฯ บอกกับเรา

ก่อนจะเล่าต่อว่า ไม่ว่าส่วนไหนในพื้นที่ตรงนี้ต่างผ่านตา ได้รับการออกแบบ และมีส่วนร่วมจากคุณเสริมคุณทั้งหมด
“ถ้าบอกว่ามาพิพิธภัณฑ์นี้แล้วจะเห็นอะไรเป็นอันดับแรก ผมว่ามันคือรสนิยมในการออกแบบพื้นที่ ตกแต่งภายใน การเลือกเฟอร์นิเจอร์ เพราะเราเป็นคนกำหนดการออกแบบทั้งหมดว่าจะออกมาในทิศทางไหน ด้วยการทำงานร่วมกับบริษัทองศาสถาปนิก” เจ้าของที่นี่เล่าพลางชี้ชวนให้เรามองไปยังรายละเอียดต่างๆ
แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ที่นี่ไม่ใช่พิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงผลงานศิลปะอย่างเดียวแต่เป็นพื้นที่พักอาศัยด้วย แต่ละห้องที่คุณเสริมคุณออกแบบจึงมีฟังก์ชันอื่นในการใช้งานด้วยเช่นกัน

ไม่ใช่แค่สวย แต่ทุกห้องต้องใช้งานได้จริง
เริ่มตั้งแต่ ‘อาคารคิวบิก’ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เรานั่งคุยกันในวันนี้ แม้ตัวอาคารจะมีทั้งหมด 5 ชั้น แต่ภายในแบ่งโซนออกได้เป็น 7 โซนด้วยกัน เริ่มตั้งแต่ชั้นแรกที่เป็นที่ตั้งของ ‘ห้องพาเลอร์’ ห้องรับรองสไตล์โมเดิร์น มู้ดแอนด์โทนแบบอบอุ่นบริเวณด้านซ้ายที่มีจุดเด่นคือการเลือกใช้แชนเดอเลียร์สีขาวของ Flos Zeppelin S1 ออกแบบโดย Marcel Wanders ในปี 2548

นอกจากนั้น ในชั้นเดียวกันบริเวณด้านขวาของโถงกลางยังเป็นที่ตั้งของ ‘ห้องครุฑ’ หรือห้องรับประทานอาหาร ที่เดินเข้าไปภายในจะพบกับโต๊ะรับประทานอาหารแบบยาวที่มาพร้อมประติมากรรมครุฑขนาดใหญ่ ผลงานของศิลป์ พีระศรีและลูกศิษย์ รวมไปถึงผลงานเสาไม้แกะสลักทรงกลม และผลงานศิลปะอื่นๆ ของถวัลย์ ดัชนี
“ครุฑนี้เป็นครุฑที่เราไปขออนุญาตถอดพิมพ์อย่างถูกต้องมาจากไปรษณีย์กลาง” คุณเหมยบอกกับเรา
คุณเสริมคุณเสริมต่อว่า ก่อนหน้านี้ประติมากรรมครุฑเคยตั้งอยู่ที่ศูนย์ประติมากรรมกรุงเทพ ซึ่งถ้าใครเคยไปอาจจะรู้สึกว่าแม้เป็นงานชิ้นเดียวกันแต่ให้ความรู้สึกต่างกัน ที่เป็นแบบนั้นเพราะศิลปะขึ้นอยู่กับระยะมอง การควบคุมแสง และเสียงเพลงที่เปิดเพื่อสร้างอารมณ์ร่วมด้วย

จากนั้นคุณเหมยชี้ชวนให้สังเกตว่า ด้านหลังประติมากรรมครุฑมีประตูที่กลืนไปกับผนังซ่อนอยู่ ซึ่งด้านหลังเป็นครัวกลาง เมื่อห้องนี้มีการจัดเลี้ยงรับประทานอาหาร อาหารจะถูกลำเลียงออกมาจากประตูนี้นั่นเอง
ถัดไปกับโถงบันไดกลางที่มีความสูงถึง 21 เมตร ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมไปยังห้องในชั้นต่างๆ ด้วยการออกแบบให้ไขว้กันไปมา โดยมีโดมหล่อคอนกรีตด้านบนสุดที่เปิดรับแสงธรรมชาติจากภายนอก ให้มุมมองแปลกตาอย่างน่าสนใจ และพาเราเชื่อมไปยังชั้นต่างๆ
“จะเห็นว่าโถงกลางนี้ถึงแม้จะมีแสงธรรมชาติเยอะ แต่ถ้าเข้ามายืนจริงๆ แล้วไม่ค่อยร้อน เป็นเพราะเราติดฟิล์มกันอัลตราไวโอเลตกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ไว้ด้วย” คุณเสริมคุณเล่าให้ฟัง ก่อนที่จะอธิบายต่อว่า แสงเป็นส่วนจำเป็นที่ต้องควบคุมให้ดีเพื่อไม่ให้สร้างความเสียหายกับผลงานภายใน

เมื่อเดินขึ้นบันไดไปในชั้นที่ 2 เป็นที่ตั้ง ‘ห้องทำงานส่วนตัว’ ของคุณเสริมคุณที่ออกแบบตามคอนเซปต์ ห้องอ่านหนังสือสไตล์วิกตอเรียน (Victorian Study Room) ภายในห้องจัดวางผลงานของศิลปินชั้นครูมากมาย เช่น ผลงานของอาจารย์ศิลป์ พีระศรี, เขียน ยิ้มศิริ, วสันต์ สิทธิเขตต์, สมโภชน์ อุปอินทร์ ไปจนถึงการจัดแสดง 5 ผลงานว่าด้วยจุดเริ่มต้นของการเป็นศิลปิน จวบจนผลงานชุดท้ายๆ ของชีวิตมณเฑียร บุญมา

งานศิลปะที่นั่งได้ เข้าถึงง่าย
ก่อนจะมาถึงห้องไฮไลต์ที่เห็นตามโซเชียลมีเดียอยู่บ่อยๆ กับ ‘ห้องคชาเลานจ์’ บริเวณชั้น 3 ซึ่งเป็นห้องที่คุณเสริมคุณออกแบบด้วยแนวคิดเซอร์เรียล ให้เป็นพื้นที่นั่งฟังเพลงหรือจัดปาร์ตี้สังสรรค์ภายในบ้าน ทันทีที่ก้าวเข้ามาสิ่งหนึ่งที่สะดุดตาและเป็นที่มาของชื่อห้องคือประติมากรรม ‘คชา’ ที่ตั้งอยู่กลางห้อง
“ห้องนี้เป็นห้องสองชั้น สูงเจ็ดเมตร มีเพดานเป็นกระจก ให้ความรู้สึกว่าห้องกว้าง รวมถึงถ้าดูดีๆ จะพบว่าในห้องนี้มีประตูซ่อนไว้เยอะมาก ตั้งแต่ประตูเซอร์วิสที่มีลิฟต์ส่งอาหารจากครัวกลางด้านล่าง ประตูสำหรับนักแสดงหรือวงดนตรีที่จะเข้ามาเล่นเวลาจัดงาน” คุณเหมยเล่าให้เราฟัง

“จุดเด่นของที่นี่คือ มีความเฟรนด์ลี ให้ความรู้สึกอบอุ่นในการดูศิลปะ เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ให้คนนั่งได้ด้วย คนมาที่นี่ส่วนใหญ่จะชอบกัน เรามองว่ามันเป็นกรณีศึกษาที่ดีอีกแบบหนึ่งเหมือนกันสำหรับพิพิธภัณฑ์” คุณเสริมคุณบอกกับเรา
ถัดมาที่ชั้น 5 ซึ่งเป็นชั้นบนสุดของอาคารคิวบิก คุณเสริมคุณบอกว่า ชั้นนี้ถือเป็นชั้นที่ดูมีความเป็นพิพิธภัณฑ์มากที่สุดกับ ‘ห้องแกลลอรี่’ หรือส่วนจัดแสดงงานศิลปะที่จัดแสดงผลงานจากศิลปินไทยหลากหลายท่าน รวมไปถึงผลงานแกะสลักภาพนูนต่ำของคุณเสริมคุณเองด้วย

นอกจากนี้ ในชั้นเดียวกันยังเป็นที่ตั้งของคาเฟ่ที่ให้ผู้เข้าชมตัวบ้านพิพิธภัณฑ์ฯ แวะพักจิบน้ำหวาน รับประทานขนมอร่อยๆ พร้อมกับสร้างสรรค์ผลงานศิลปะในแบบฉบับของตัวเอง
“โต๊ะตรงนี้เป็นโต๊ะที่เราให้ศิลปินแกะสลักเป็นรูปต่างๆ คนที่มาสามารถหยิบกระดาษและสีที่ทางบ้านพิพิธภัณฑ์ฯ เตรียมไว้มาลองระบายดูได้” คุณเหมยอธิบายพลางชวนเราให้สร้างสรรค์ผลงานเป็นของตัวเอง ซึ่งเป็นจุดสุดท้ายภายในอาคารคิวบิกที่เรามาเยี่ยมชม

“‘หอพระ’ คืออีกหนึ่งอาคารที่สร้างขึ้นใหม่พร้อมๆ กับอาคารคิวบิก” คุณมิ้น Site Manager อีกหนึ่งสาวที่อยู่กับเราตลอดการเดินทัวร์บ้านพิพิธภัณฑ์ฯ บอก พร้อมกับเล่าต่อว่า จุดนี้เป็นจุดแรกที่ใครซื้อตั๋วแบบ ‘The Kunawong Residence Tour’ ซึ่งมีบริการผู้นำชมบรรยายทั้งโครงการ รวมบริการ Tea Time จะได้รับชม
เธอเสริมต่อว่า โดยปกติแล้วตั๋วแบบ The Kunawong Residence Tour ราคาอยู่ที่ 1,200 บาท แต่เนื่องในโอกาสที่บ้านพิพิธภัณฑ์ฯ ได้รับคัดเลือกเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่ได้รับรางวัล Museum STAR 2025 จึงมีการจัดโปรโมชันลดราคาเหลือเพียง 999 บาท และบัตรเข้าชมแบบทั่วไปเหลือเพียง 299 บาท จากปกติ 450 บาท
หอพระแห่งนี้ถูกออกแบบมาเป็นอาคารหล่อคอนกรีตหลังคาจั่ว (Gable Roof) ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปสุโขทัย คู่กับพระพุทธรูปสมัยรัชกาลที่ 9 สร้างสรรค์โดยจักรพันธุ์ โปษยกฤต และอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์

หลอมรวมงานศิลปะเข้ากับที่พักอาศัย
และเมื่อเดินตามทางมาเรื่อยๆ จะเข้าสู่ ‘สวนแห่งชีวิต’ สวนของบ้านพิพิธภัณฑ์ฯ ที่จัดแสดงประติมากรรมท่ามกลางธรรมชาติ อันสะท้อนให้เห็นแนวความคิดของชีวิตมนุษย์ในหลากหลายแง่มุม ให้แต่ละคนลองตีความตามความเข้าใจของตัวเอง

จากนั้นลัดเลาะเข้าไปบริเวณด้านในจะพบกับ ‘The Residence’ หรือพื้นที่อยู่อาศัยจริงของคุณเสริมคุณและครอบครัว ที่เปิดให้ผู้ซื้อตั๋วแบบ The Kunawong Residence Tour ได้เข้าชมในวันอาทิตย์ทั้งหมด 3 รอบ โดยแบ่งเป็นการนำชมแบบภาษาไทย 2 รอบ และภาษาอังกฤษ 1 รอบ
เมื่อเข้ามาในบ้าน สิ่งแรกที่พบคือ ‘โถงบทสนทนาของยุคสมัย’ หรือห้องโถงเพดานสูงตกแต่งด้วยสไตล์ Eclectic ที่มีเหล่าเก้าอี้หลากหลายรูปทรงและสไตล์ที่ถูกจัดวางแบบล้อมวงหันหน้าเข้าหากัน
“ที่จัดวางเก้าอี้แบบนี้ คุณเสริมคุณอธิบายว่าเป็นเหมือนการเอาเฟอร์นิเจอร์ต่างยุคมาพูดคุยกัน เปรียบเสมือนคนเราที่มีความแตกต่างกันแต่มานั่งคุยกันได้” คุณเหมยเล่า

เธอชวนให้เราเงยหน้ามองไปยังด้านบนเพดานที่จะพบกับประติมากรรม ‘สี่ชีวิตกับดวงตาฮอรัส’ ที่ออกแบบโดยเสริมคุณ คุณาวงศ์ ปั้นและหล่อโดยศิลปิน ธนดล ดีรุจิเจริญ ซึ่งถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นสัตว์สัญลักษณ์ราศีเกิดของ 4 สมาชิกภายในบ้านแห่งนี้ด้วย

นอกจากนี้ ในชั้นเดียวกันยังเป็นที่ตั้งของ ‘ห้องแดง’ หรือห้องอ่านหนังสือที่คุณเสริมคุณใช้งานเป็นประจำ ซึ่งหนังสือที่อยู่ในห้องนี้ต่างเป็นหนังสือที่เขาอ่านจริงทุกเล่ม และมีตู้ใส่หุ่นละครขนาดใหญ่ตั้งอยู่
ใกล้กันเป็น ‘ห้องน้ำชามรดกไทย’ ที่พนักงานในบ้านพิพิธภัณฑ์ฯ จะเรียกกันเองว่า ‘ห้องเขียว’ เป็นห้องที่มาพร้อมมุมดื่มน้ำชาที่จัดวางเก้าอี้พร้อมโต๊ะข้างแบบจีน รวบรวมศิลปะและงานฝีมือแบบไทยไว้จำนวนมาก ในขณะที่อีกปีกหนึ่งของชั้นนี้คือ ‘ห้องรุ่งอรุณของศิลปะไทย’ ห้องสีเหลืองสำหรับรับประทานอาหารของครอบครัวที่เต็มไปด้วยภาพวาดของอีกหลากหลายศิลปิน


ก่อนที่คุณเหมยและคุณมิ้นจะพาเราเดินผ่าน ‘โถงบันไดพอร์ตเทรต’ ที่ติดภาพเหมือนบุคคลและประติมากรรมบนผนังสูงสีขาว ชวนให้ค้นหาว่าภาพแต่ละภาพเป็นภาพของใครกันแน่

เราขึ้นไปยังบริเวณชั้น 2 ของบ้าน ซึ่งเป็นที่ตั้งห้องไฮไลต์ของบ้านหลังนี้ นั่นคือ ‘ห้องจักรพันธุ์’ ที่เก็บรวบรวมผลงานของอาจารย์จักรพันธุ์ โปษยกฤต เอาไว้
“ห้องนี้ถือเป็นห้องที่มีมูลค่าเยอะที่สุดในตัวบ้านพิพิธภัณฑ์ฯ” คุณเหมยบอกกับเรา

ก่อนจะเดินนำไปยัง ‘ห้องนั่งสมาธิ’ ซึ่งปกติแล้วหากเป็นการพาทัวร์จะให้ผู้เข้าชมได้ทดลองนั่งสมาธิคนเดียวภายในห้องเป็นเวลา 3 นาทีด้วยกัน

จากนั้นเธอพาเราเดินขึ้นมาบริเวณชั้น 3 และพบกับรูปปั้นพระพุทธรูปจากฝีมืออาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ใน ‘โถงพุทธศิลป์’ ที่มีการใช้แสงไฟในการนำเสนอ เพื่อขับเน้นความสวยงามและอ่อนช้อยของลวดลาย

ก่อนนำไปสู่พื้นที่สุดท้ายกับ ‘เพนท์เฮาส์ศิลปะนามธรรม’ ที่พำนักของคุณเสริมคุณและภรรยา นอกจากห้องนั่งเล่นยังมีครัวเปิด และมุมทำงานของภรรยา พื้นที่ตั้งโชว์อาร์ตทอยที่เธอสะสมด้วย
“วิธีจัดบ้านพิพิธภัณฑ์ฯ มันเริ่มต้นจากแนวคิดพื้นที่ต้องเป็นฟังก์ชันที่เหมาะกับการใช้งานของตัวเรา ถ้าห้องไหนไม่ได้ใช้ เราก็ไม่ทำหรอก อยู่ที่ว่าจะใช้มากใช้น้อยแค่นั้นเอง” เจ้าของบ้านบอกกับเราด้วยรอยยิ้ม

เพราะทุกส่วนของบ้านพิพิธภัณฑ์ฯ ถือเป็นพื้นที่ส่วนตัวที่คุณเสริมคุณและคนอื่นในบ้านใช้งานจริงในทุกๆ วัน เพียงแต่ทุกวันอาทิตย์จะเปิดให้คนเข้ามาชมงานศิลปะภายใน ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการออกแบบพื้นที่ให้ผู้อยู่อาศัยใน 6 วันที่เหลือสามารถใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน
“บ้านพิพิธภัณฑ์ฯ แห่งนี้สะท้อนออกมาจากวิถีชีวิตของเรา แพสชันในชีวิตที่เรามีผ่านฟังก์ชันของแต่ละห้อง ผ่านงานสะสมแต่ละชิ้น ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงเรื่อยๆ อยู่แล้ว บางทีคนเราจะชอบคำว่านิรันดร มันเป็นคำที่เพราะนะ แต่ผมว่ามันไม่มีอยู่จริง”

พื้นที่เล็กที่จุดประกายแรงบันดาลใจ
ก่อนที่แพสชันของคุณเสริมคุณจะส่งไปถึงผู้เข้าชมในวันอาทิตย์ คนกลุ่มหนึ่งที่ได้รับอิทธิพลจากจุดนี้ไม่แพ้กันคือเหล่าพนักงานที่ทำงานอยู่ภายในบ้านพิพิธภัณฑ์ฯ ไม่เว้นแม้กระทั่งคุณมิ้นที่พาเราเดินชมที่นี่วันนี้

“การที่คุณเสริมคุณมีแพสชันต่อการทำบ้านพิพิธภัณฑ์หลังนี้ มันก็สร้างแพสชันให้เราด้วยเหมือนกัน มันทำให้เราอยากส่งต่อแพสชันนี้ให้กับผู้ชมต่อไป” คุณมิ้นเล่าด้วยรอยยิ้ม
เธอบอกอีกว่า มีอยู่หลายครั้งที่เมื่อได้พูดคุยกับผู้เข้าชมหลังจบการทัวร์ สิ่งแรกที่พวกเขาพูดถึงคือ ตอนแรกคิดว่าราคาบัตรค่อนข้างแพง แต่เมื่อได้มาเดินชมและฟังเรื่องราวที่อยู่เบื้องหลังการออกแบบพื้นที่และงานศิลปะแต่ละชิ้นแล้วก็เกิดคำถามว่าทำไมถึงตั้งราคาแค่นี้ เพราะมันคุ้มค่ามากจริงๆ
มากไปกว่าการเพิ่มพื้นที่พิพิธภัณฑ์ให้ประเทศไทย เป้าหมายระยะยาวที่คุณเสริมคุณต้องการคือ การทำให้บ้านพิพิธภัณฑ์ คุณาวงศ์แห่งนี้สร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้
“เราอยากให้คนที่มาชมที่นี่ได้แรงบันดาลใจบางอย่างกลับไป เขาอาจจะกลับไปทำมุมเล็กๆ สำหรับนั่งอ่านหนังสือของเขาก็ได้ ไม่ต้องถึงขั้นสะสมงานศิลปะ ผมว่าพิพิธภัณฑ์ควรมีประโยชน์แบบนั้น” เจ้าของบ้านพิพิธภัณฑ์ คุณาวงศ์ทิ้งท้าย ก่อนจะบอกลาเราแล้วเดินเข้าไปในสิ่งก่อสร้างที่เป็นตัวตนของเขา เพื่อรอต้อนรับผู้เข้าชมในวันอาทิตย์ถัดไป

‘MUSEUM-IN-SIGHT เพ่งพิศพิพิธภัณฑ์’ คือซีรีส์บทสัมภาษณ์ในคอลัมน์ One Day With… จาก Urban Creature ที่จะพาไปสำรวจพิพิธภัณฑ์ที่ได้รับรางวัล Museum STAR ว่า กว่าจะมาเป็นแหล่งเรียนรู้ติดดาวให้เราเข้าชม มีอินไซต์อะไรที่คนเข้าชมอย่างเราๆ ไม่เคยเห็นมาก่อนบ้าง