ดิสนีย์แลนด์ แหล่งชอปปิง อาหารท้องถิ่นท่ามกลางแสงสี ชานมไข่มุกต้นตำรับ และแหล่งสักการะขอพร น่าจะเป็นภาพจำของฮ่องกงที่หลายคนนึกถึง
ทว่าพ้นไปจากที่กล่าวมา สถาปัตยกรรมอาคารบ้านเรือนแนวตั้ง และพื้นที่ที่มีความเป็นอยู่อย่างแออัดก็เป็นอีกสิ่งที่คนจดจำฮ่องกงได้ ถึงอย่างนั้น เมืองเล็กๆ แห่งนี้ก็พยายามสร้างพื้นที่สร้างสรรค์ทางดนตรีและศิลปะขึ้นมาเพื่อดึงดูดคนในเมืองและนักท่องเที่ยว
โดยหนึ่งในอีเวนต์ที่ยิ่งใหญ่ เป็นที่จับตามองทั่วโลกคือ เทศกาลดนตรีระดับนานาชาติ Clockenflap กับไลน์อัปศิลปินที่คัดสรรมาอย่างดี จนไม่ว่าจะเป็นชาวฮ่องกงหรือชาวต่างชาติก็ล้วนต้องบินมาสัมผัสประสบการณ์ทางดนตรีทุกปี กลายเป็นหนึ่งหมุดหมายสำคัญของคนรักเสียงดนตรีที่พลาดไม่ได้
คอลัมน์ City in Focus จึงอยากพาไปสำรวจว่า เมืองนี้ทำอย่างไรถึงทำให้อีเวนต์ดนตรีนี้กลายเป็นจุดขายระดับโลก และบริบทรายล้อมอะไรบ้างที่ช่วยส่งเสริมความเป็นเมืองสร้างสรรค์ของฮ่องกง

สร้างแลนด์มาร์กด้านดนตรีและศิลปะใจกลางเอเชีย
จุดเริ่มต้นของ Clockenflap เกิดจาก 3 ผู้ก่อตั้ง ได้แก่ Jay Forster, Mike Hill และ Justin Sweeting กลุ่มคนที่ทำงานในสายศิลปะและดนตรีของฮ่องกง ที่เห็นว่าเมืองนี้มีความเป็นสากลจากฐานผู้ฟังดนตรีทั้งชาวต่างชาติและคนท้องถิ่น มีซีนดนตรีนอกกระแสและดนตรีอิเล็กทรอนิกที่สร้างสรรค์แต่กระจัดกระจายกันอยู่ มีวงท้องถิ่นเก่งๆ แต่ไม่มีพื้นที่แสดงฝีมือให้คนหมู่มากชม และไม่มีงานเทศกาลกลางแจ้งเกิดขึ้นแบบในหลายๆ ประเทศ
Clockenflap จึงเปิดตัวขึ้นในปี 2551 เริ่มจากไลน์อัปวงดนตรีฮ่องกงล้วนๆ โดยมีงานศิลปะและการฉายภาพยนตร์ร่วมด้วย ก่อนที่งานเทศกาลนี้จะค่อยๆ สร้างความสนใจให้คนในระดับกว้าง และดึงศิลปินบิ๊กเนมระดับสากลอย่าง The Pains of Being Pure at Heart หรือ Franz Ferdinand มาได้ ไปจนถึงศิลปินชื่อดังระดับตำนานที่หลายๆ คนไม่คาดคิดว่าจะมาเยือนฝั่งเอเชีย
ผู้ก่อตั้ง Clockenflap กล่าวว่า เป้าหมายของเทศกาลฯ คือ การทำให้ฮ่องกงได้รับการมองเห็นว่าเป็นเมืองศูนย์กลางศิลปะร่วมสมัยในเอเชีย โดยใช้การแสดงดนตรีและการสร้างงานศิลปะขนาดใหญ่ในระดับนานาชาติดึงดูดนักท่องเที่ยว นักฟังดนตรี และศิลปินนักดนตรีมารวมตัวกัน

เพราะนอกจากพลังด้านดนตรีแล้ว อีเวนต์นี้ยังช่วยเสริมแบรนดิ้งของเมืองให้เป็นมากกว่าเมืองทางเศรษฐกิจที่มีตึกสูงลิ่วและผู้คนอาศัยกันอย่างแออัด ซึ่งไลน์อัปภายในงานมีทั้งศิลปินระดับบิ๊กเนมและนอกกระแสระดับสากล ศิลปินโลคอลที่เป็นหน้าเป็นตาชาวฮ่องกง ศิลปินที่น่าผลักดันในฝั่งเอเชีย และศิลปินนักสร้างสรรค์งานศิลปะหลากหลายแขนง
ลำพังผู้จัดอีเวนต์อย่างเดียวคงไม่พอที่จะไปถึงเป้าหมายระดับโลกได้ อีกหนึ่งเบื้องหลังสำคัญที่ทำให้ Clockenflap ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องคือ การสนับสนุนจากทางภาครัฐที่ช่วยเหลือด้านพื้นที่จัดงาน การอำนวยความสะดวกเรื่องสถานที่จัดให้อยู่ใกล้ตัวเมือง จัดเตรียมจุดเติมน้ำเปล่าฟรีทั่วทั้งงาน การส่งเสริมด้านศิลปะและกิจกรรมทางวัฒนธรรมให้เกิดพื้นที่และเวทีต่างๆ ซึ่งนำไปสู่การนำเสนอที่มากกว่าแค่คอนเสิร์ตดนตรี แต่ยังมีคณะการแสดง Minimax ที่แสดงดนตรีสด เต้น เล่นละครแบบเคลื่อนที่ภายในงานด้วย
อีกสิ่งที่น่าสนใจคือ ปีนี้สตรีตฟูดซึ่งเป็นของดีของเด็ดเมืองฮ่องกงได้ถูกนำเสนอผ่านการนำ TamJai ร้านราเมนสไตล์ยูนนานที่เป็นสัญลักษณ์ของอาหารสตรีตฮ่องกงยุคใหม่ มาจับมือกับเทศกาลฯ ในฐานะพาร์ตเนอร์อย่างเป็นทางการ ที่ไม่ใช่แค่การนำแบรนด์มาออกร้านอาหารภายในเทศกาลฯ เท่านั้น แต่ยังออกเมนูพิเศษ ราคาย่อมเยา เข้าถึงได้ให้ผู้มาร่วมงานได้ลิ้มลอง และของที่ระลึกลิมิเต็ดเอดิชันจากการคอลแลบของร้านกับเทศกาลฯ อย่างเสื้อยืดและผ้าขนหนูที่ไม่เหมือนใคร กลายเป็นการนำความโลคอลมาผลักดันเทศกาลฯ และเมืองไปในตัว
ด้วยเหตุนี้ Clockenflap จึงไม่ใช่แค่ความพยายามของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่อยากพัฒนาเมืองด้วยเสียงดนตรีและศิลปะ แต่ยังสะท้อนถึงแนวคิดของภาครัฐที่เห็นความสำคัญของดนตรี ศิลปะ และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ผู้คนควรเข้าถึงได้อย่างสะดวก
อำนวยความสะดวกด้วยพื้นที่จัดงานและการเดินทาง
Central Harbourfront คือสถานที่จัดงาน Clockenflap ที่มีจุดเด่นเป็นการใช้สอยพื้นที่ว่างใจกลางเมืองให้เกิดประโยชน์ที่หลากหลาย ยกตัวอย่าง การเป็นพื้นที่จัดเทศกาลระดับโลก เพื่อส่งเสริมพลังทางศิลปะและวัฒนธรรม
เพราะถ้าพิจารณาดีๆ แล้ว พื้นที่ตรงนี้ถือเป็นทำเลที่มีศักยภาพในการเป็นแลนด์มาร์กทางธุรกิจหรืออสังหาริมทรัพย์ไม่น้อย แต่รัฐบาลฮ่องกงเลือกที่จะคืนพื้นที่สาธารณะริมอ่าวให้กับชุมชน แล้วเติมความมีชีวิตชีวาให้เมืองผ่านเสียงเพลง ศิลปะ และการรวมตัวของผู้คน
นอกจากความสวยงามของสถานที่ การเลือกจัดงานใจกลางเมืองยังส่งผลต่อความสะดวกสบายในการเดินทาง ตั้งแต่ MTR รถไฟใต้ดินที่เชื่อมฝั่งเกาะฮ่องกงไปยังย่านจิมซาจุ่ย (Tsim Sha Tsui) รถบัสที่เข้าถึงง่ายได้ทั่วเกาะ รถรางที่แล่นรอบเกาะฮ่องกง ชวนให้สัมผัสการเดินทางแบบในอดีต ไปจนถึงเรือเฟอร์รีพาข้ามฟากไปยังฝั่งเกาลูน (Kowloon) ที่เดินทางได้ถึงหน้าเทศกาลฯ อย่างง่ายดาย

และแน่นอนว่าค่าโดยสารทุกระบบขนส่งจ่ายผ่านระบบบัตร Octopus เพียงใบเดียวก็ครอบคลุมแล้ว เอื้อให้ทุกคนเข้าถึงการเดินทางที่สะดวก แถมราคาไม่แพงด้วย
ปัจจัยแวดล้อมเหล่านี้ทำให้ผู้คนตัดสินใจไปร่วมเทศกาลฯ ได้ง่ายขึ้น เนื่องจากไม่ต้องกังวลเรื่องการเดินทาง แค่เตรียมแผนวิ่งไล่ตามดูศิลปินที่แสดงดนตรีกันอย่างต่อเนื่องภายในงาน และเอนจอยแสงสีของเมืองหลวงฮ่องกงในยามค่ำคืนที่เป็นฉากหลังประกอบการแสดงของเหล่าศิลปินก็พอ
เชื่อมจุดร่วมของวัฒนธรรมและความหลงใหลที่รวมคนไว้ด้วยกัน
ฮ่องกงเป็นเมืองที่มีทรัพยากรทางวัฒนธรรมอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นศิลปิน สถานที่ ประวัติศาสตร์ หรือกระทั่งชุมชน จึงไม่ยากนักที่จะเปลี่ยนให้เป็นจุดเด่นของเทศกาลดนตรีที่ดึงคนหลากหลายกลุ่มทั้งในและนอกประเทศให้มาแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมร่วมกัน
ตัวอย่างหนึ่งคือ ด้วยความที่ฮ่องกงเคยเป็นอาณานิคมอังกฤษ ส่งผลให้มีร่องรอยทางวัฒนธรรมอย่างรสนิยมทางดนตรีแบบสากล และความป็อปทางดนตรีแบบตะวันตกหลงเหลืออยู่ใน DNA ของชาวเมืองและศิลปินคนทำเพลง ซีนดนตรีของที่นี่จึงมีความหลากหลายและร่วมสมัยมาก ไม่แปลกใจเลยที่เทศกาลดนตรีจะเฟื่องฟู
ในขณะเดียวกัน ฮ่องกงก็มีวัฒนธรรมร่วมแบบจีนและเอเชีย จนสร้าง Cantopop แนวดนตรีของตัวเองขึ้นมาได้ตั้งแต่ยุค 80 – 90 ส่งผลให้เทศกาลดนตรีของที่นี่มีแนวคิดแบบ East Meets West การบรรจบกันของวัฒนธรรมฝั่งตะวันตกและตะวันออกอย่างลงตัว
เห็นได้จากการดึงศิลปินระดับตำนานอย่าง My Bloody Valentine, Sparks หรือ Beth Gibbons จากฝั่งตะวันตกมาเป็นจุดขาย แต่ในขณะเดียวกัน ชาวฮ่องกงก็ให้ความสำคัญกับศิลปินของตัวเองมาก เช่น Panther Chan หรือ JACE หรือแม้แต่ศิลปินเอเชียบ้านใกล้เรือนเคียง Vaundy, ano และ Chilli Beans จากญี่ปุ่น Andr และ Wendy Wander จากไต้หวัน รวมถึง Phum Viphurit จากประเทศไทย
อีกเหตุผลที่ทำให้ Clockenflap กลายเป็นสะพานเชื่อมทางวัฒนธรรมได้อย่างทรงพลังคือ ความหลากหลายในการฟังดนตรีของคนในงานเอง ซึ่งเป็นกลุ่มที่เปิดกว้างทางดนตรีอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นศิลปินระดับโลกที่เป็นแม่เหล็กดึงดูด ศิลปินโลคอลภายในบ้านตัวเองที่ทุกคนพร้อมใจกันเชียร์ หรือวงดนตรีนอกกระแสจากชาติอื่นๆ ก็ตาม

ผู้ฟังที่นี่พร้อมจะวิ่งไปหน้าเวทีเพื่อสนับสนุนวงเหล่านั้นอย่างเต็มเปี่ยม โดยไม่แบ่งแยกเรื่องศิลปินในกระแสหรือนอกกระแส ความระดับโลกหรือโลคอล ทำให้ศิลปินบนเวทีของ Clockenflap ไม่ได้ถูกเลือกด้วยเกณฑ์ความดังเพียงอย่างเดียว แต่กลายเป็นพื้นที่ที่คนทั่วโลกพร้อมมาทดลอง เปิดใจ และค้นพบสิ่งใหม่ๆ ร่วมกัน
จุดแข็งในด้านการเปิดกว้างนี้เองที่ยิ่งส่งเสริมภาพฝันเมืองฮ่องกงในการเป็นศูนย์กลางของผู้คนหลากหลายเชื้อชาติและความคิดสร้างสรรค์ โดยมีเทศกาลนี้ทำหน้าที่เสมือนจุดนัดพบประจำปีของทั้งคนในและนอกประเทศ
เทศกาลดนตรีระดับโลกในฮ่องกงนับเป็นตัวอย่างชั้นดีที่ชี้ให้เห็นว่า พื้นที่สาธารณะและพื้นที่สร้างสรรค์ไม่ได้เกิดขึ้นจากใครคนใดคนหนึ่ง แต่ต้องเกิดจากการร่วมมือกันของหลายภาคส่วน และต้องคิดไปถึงปัจจัยแวดล้อมที่จะทำให้ทุกคนเข้าถึงพื้นที่นั้นๆ ได้สะดวกที่สุดด้วย
มิฉะนั้นแล้วพื้นที่ตรงนั้นก็คงเป็นได้แค่โครงสร้างที่จำกัดไว้ให้คนไม่กี่กลุ่มเข้าถึงได้ และไม่มีทางเป็นฟันเฟืองสำคัญที่จะผลักดันเมืองให้พัฒนาด้วยพลังงานของความสร้างสรรค์อย่างแน่นอน
Sources :
City Nomads | t.ly/B25sK
HKTDC Research | t.ly/4QxcR, t.ly/WLg5l
Hong Kong Free Press | t.ly/r1mWX
Tatler | t.ly/9BmVN
The Guardian | www.theguardian.com