“คุณคิดอะไรอยู่ ?”
ประโยคคำถามนี้ดูไม่ได้แปลกประหลาดอะไรหากจะเอ่ยถามใครสักคน แต่จะมีสักกี่ครั้งที่ได้ตอบสิ่งที่คิดอยู่ออกไปจริงๆ เพราะบางครั้งกลัวความเห็นต่าง บางครั้งก็คิดไม่เหมือนกับใครเขา จนทำให้สิ่งที่คิดไม่ได้ถูกแสดงออกไป ทั้งที่เราก็มีความคิดเหมือนกัน
“เราสนใจว่าสังคมตรงนั้น มีการแสดงความคิดเห็นที่เหมือนหรือว่าแตกต่างกันอย่างไรบ้าง”
นี่คือความคิดแรกเริ่มของ ‘พิมพ์ – พิมพ์ณภัส อนันตศิริ’ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 จากสาขาจิตรกรรมและมีเดียอาร์ต คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ก่อนสรรสร้างโปรเจกต์ภาพถ่ายที่ใช้เพียงกระดาษและปากกาถ่ายทอดความคิดของคนแต่ละคน
จากป้ายข้างทางสู่ป้ายความคิด
ยามบ่ายที่คณะสถาปัตย์ ลาดกระบังฯ (ขอเรียกแบบนี้แล้วกันตามคำติดปาก) เรามีนัดลงพื้นที่กับน้องพิมพ์ เด็กน้อยวัยใสที่สนใจเรื่องราวในสังคม และงานศิลปะ เธอจึงหยิบสองสิ่งนี้มาสร้างเป็นโปรเจกต์สะท้อนความคิดในชั้นเรียน ที่ใช้เพียงกระดาษ ปากกา และผู้คน
พิมพ์ : แรกเริ่มอาจารย์สั่งให้เราถ่ายอะไรก็ได้ที่สนใจ แล้วพอเดินๆ ไปก็สังเกตเห็นป้ายข้างทาง ติดกันซ้ำๆ ติดเป็นหลังคาบ้านก็มี เลยถ่ายไปส่ง หลังจากนั้นอาจารย์ก็แนะนำให้ลองถ่ายภาพ portrait ดู แต่เรารู้สึกว่าไม่อยากเอาคนไปยืนข้างป้าย แต่อยากให้มันมีความเชื่อมโยงบางอย่างระหว่างป้ายกับคน เพื่อดูว่าสังคมตรงนั้นมีการแสดงความคิดเห็นที่เหมือนหรือว่าแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
สำรวจความคิด
พิมพ์ : เราเริ่มออกไปตามชุมชนพร้อมกระดาษเปล่า แล้วให้คนแถวนั้นเขียนคนละแผ่น เรื่องอะไรก็ได้ที่อยากจะสื่อสาร ออกไปโดยไม่รู้เลยว่าคนรอบๆ ตัวที่เราไม่รู้จักคิดเรื่องอะไร หรือสนใจเรื่องอะไรอยู่ เราได้เจออะไรที่สนุกๆ มากมาย รวมถึงความคิดที่บางทีก็ไม่เคยคิดมาก่อน
“เพราะเราเชื่อว่า กระดาษหนึ่งแผ่นสามารถบอกความเป็นคนนั้นได้”
จริงอย่างที่น้องพิมพ์ว่า เราไม่มีทางรู้เลยว่าใครกำลังคิดอะไรอยู่ หากเราไม่เปิดโอกาสหรือเปิดพื้นที่ให้เขาแสดงออก เราเลยเดินไปพร้อมกับน้องพิมพ์ เพื่อชักชวนให้คนแถวลาดกระบังเล่าความคิดตัวเองผ่านการเขียนกระดาษ
“คุณน้าคะช่วยเขียนป้ายให้หนูหนึ่งแผ่นได้ไหม เขียนอะไรก็ได้ค่ะ”
“เขียนอะไรล่ะลูก น้าชอบโพสต์เฟซบุ้กนะแต่ไม่รู้จะเขียนอะไร”
“ได้หมดเลยค่ะ อะไรก็ได้ที่กำลังคิดอยู่”
จบการสนทนา คุณน้าคนขับรถตู้ตรงท่ารถตู้ริมทางรถไฟสถานีพระจอมเกล้าลาดกระบังนิ่งไปสักพัก ก่อนเปิดปลอกปากกาเมจิกแล้วเริ่มเขียนตัวหนังสือ แล้วน้องพิมพ์ก็ได้ป้ายนี้เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งแผ่น
ยังมีอีกแผ่นความคิด ที่น้องพิมพ์พาเราไปพูดคุยกับคุณพี่ซึ่งทำงานในธนาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งพี่เขากำลังคิดถึงประเด็นฮอตอย่างโรคโคโรนาหรือโควิด-19 ที่แพร่กระจายไปทั่ว พร้อมบอกว่า มันเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องช่วยกันทุกฝ่าย มีมาตรการเด็ดขาดในการจัดการ
หลังจากการออกพื้นที่ น้องพิมพ์ชวนเรากลับมานั่งคุยต่อ พร้อมเล่าให้ฟังถึงช่วงเวลาประทับใจที่ได้เจอระหว่างทาง
พิมพ์ : มีคุณลุงท่านหนึ่งเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ แล้วเขาก็ไม่ได้มีครอบครัวอะไร เราเข้าไปคุยช่วงแรก คุณลุงก็ไม่รู้จะเขียนอะไรนะ แต่เขียนไปเขียนมาเขาเลือกคำว่า ‘คิดถึงบ้าน’ เหมือนเขาแก่แล้ว แต่ก็ยังต้องทำงานอยู่ เลยมีความรู้สึกอยากกลับบ้าน เพราะรู้สึกว่าไม่ได้เป็นคนที่นี่
ประเด็นสังคมกับศิลปะ
อ่านมาถึงตรงนี้ คงพอเข้าใจกันแล้วว่า โปรเจกต์ของน้องพิมพ์คืออีกรูปแบบหนึ่งในการสื่อสารประเด็นทางสังคม นั่นเพราะตัวน้องเองก็สนใจด้านนี้อยู่แล้ว บวกกับงานด้านศิลปะที่เธอเองชื่นชอบมาตั้งแต่ยังเด็ก
.
พิมพ์ : การทำงานศิลปะของเราส่วนมากจะเริ่มที่ประเด็นในสังคม สังเกตก่อนว่าเราอยากพูดเรื่องอะไร แล้วค่อยเลือกวิธีที่สนใจ อย่างการเขียนแผ่นกระดาษที่ได้ไอเดียจากป้าย เราก็ดูว่าป้ายมีหน้าที่อะไรบ้าง เกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง หรืออาจทำหน้าที่พูดแทนสังคม เราคิดว่าศิลปะมันเกิดมาได้ เพราะเราพูดเรื่องในสังคม
.
อย่างป้าย หรือแผ่นกระดาษ ทุกคนอาจจะมองว่าเป็นการทำงานที่เป็นการสื่อสาร แต่เรามองไปยังความรู้สึกที่เกิดขึ้น ความรู้สึกเศร้า ความรู้สึกเสียใจ หรือว่ามีความสุข เราเลยมองว่า สิ่งที่ป้ายสื่อสารคือศิลปะ อยากให้ทุกคนทำความเข้าใจว่า ศิลปะไม่ได้มีแค่วาดรูป วาดเขียน แต่เป็นเรื่องของความรู้สึกด้วย
เพราะทุกความหลากหลายต้องเท่าเทียม
แน่นอนว่าความตั้งใจของโปรเจกต์นี้ น้องพิมพ์มองว่าคือการแสดงออกทางความคิดของแต่ละคนอย่างเท่าเทียม จึงทำให้เลือกคนเขียนกระดาษจากหลากหลายอาชีพ ช่วงวัย และเพศ นั่นเพราะ
“ความหลากหลายทำให้งานเราสนุก แต่ว่าความเหมือนกันของเรื่องที่เจอทำให้คนเสพงานเขาเข้าใจได้”
อีกทั้งเวลาที่น้องพิมพ์ลงพื้นที่สำหรับถามคน แต่ละคนจะมีเรื่องราวที่ไม่เหมือนกัน ทำให้ความรู้สึกที่ได้รับกลับมาจะแตกต่างออกไป ทำให้เห็นว่าภายในสังคมเดียวกัน เราอาจเผลอมองข้ามตัวตน มองข้ามความรู้สึก หรือมองข้ามความคิดของแต่ละบุคคล จนอาจไปถึงขั้นจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกทางความคิดของใครต่อใคร
ท้ายที่สุดการได้นั่งคุยกับน้องพิมพ์ เพื่อทำความเข้าใจโปรเจกต์ภาพถ่ายชุดนี้ นอกจากจะทำให้เราเองได้ฉุกคิดขึ้นมาว่า แต่ละวันที่ใช้ชีวิต เผลอละเลยความคิดของใครไปบ้าง ยังทำให้เรากลับมาสำรวจตัวเองด้วยว่า “เราปล่อยทิ้งบางความคิดของตัวเองไปบ้างหรือเปล่า ?”
.
สำหรับใครที่อยากเขียนความคิดลงแผ่นกระดาษ สามารถติดต่อน้องพิมพ์ได้ที่ https://www.instagram.com/a.pimn/ เพราะน้องตั้งใจทำเป็นโปรเจกต์ต่อเนื่อง และอยากเข้าถึงสังคมอื่นๆ อย่างเท่าเทียม