รู้สึกประหลาดดีเหมือนกัน เวลาปล่อยให้ยูทูบเล่นเพลงตามใจชอบ มักได้เพลงดีๆ เก็บเข้าเพลย์ลิสต์เพียบ ไม่ว่าจะเป็นเพลงไทย สากล หรือชาติอื่นๆ ขอแค่ฟังแวบเดียวแล้วติดหูก็ถือว่าผ่านเข้ารอบ!
นั่นหมายรวมถึงเสียงหวานปานน้ำผึ้งของ BIBI ศิลปินเดี่ยวชาวเกาหลีใต้ ที่มาพร้อมกับซาวนด์ดนตรีป็อป และสไตล์การร้องสุดยียวน ทำให้เพลงของเธอติดหูคนฟังตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยิน ยังไม่รวมเนื้อเพลงที่พูดถึงเซ็กซ์แบบกวนๆ ใน ‘쉬가릿 (cigarette and condom)’ ให้ฟีลลิ่งบุหรี่พกไว้ระบายความเครียด ส่วนถุงยางพกไว้เชื่อมความรักระหว่างฉันกับเธอ หรือเพลงหวานๆ ใสๆ เชิงให้กำลังใจก็มี อย่าง ‘BINU (비누)’ ที่แปลว่าสบู่ และพ้องเสียงกับคำว่า ‘Be new’ อารมณ์ฟอกสบู่เพื่อลบล้างความรู้สึกแย่ๆ แล้วก้าวต่อไปข้างหน้ากันเถอะ!
‘Life is a Bi…’ เรียกว่าเป็น EP. ใหม่แกะกล่องที่ฝากผลงานไว้ 5 เพลง พร้อมกับเบ้าตาช้ำๆ และใบหน้าเหยเกที่โดนหมัดล่องหนซัดหน้าเข้าไปเต็มๆ บนปกเพลง แค่นี้ก็ชนะขาด ยิ่งรู้ว่าแต่ละเพลงถูกเล่าในคอนเซปต์ ‘ชีวิตมันห่วยสิ้นดี’ โดยมีคู่กรณีเป็น ‘ชีวิต’ และหลังจากรู้ความหมายของเนื้อเพลงยิ่งสร้างความประหลาดใจและตอกย้ำว่า ‘หูทั้งสองข้างของเรา กำลังเสพของดีอยู่’
บทเพลงทั้งห้าอัดแน่นไปด้วยความรุนแรง ความบอบช้ำทางจิตใจ อาการซึมเศร้า รวมถึงรายละเอียดอื่นๆ ที่ BIBI ใส่ลงไปในเพลงและมิวสิกวิดีโอ ทำให้เราต้องทึ่งในความขบถ และความกล้าทำอะไรแผลงๆ โดยโนสนโนแคร์ว่าสังคมเกาหลีจะมองเธออย่างไร เพราะบทเพลงเหล่านี้ คือความเจ็บปวดรวดร้าวที่ BIBI ต้องเผชิญในชีวิต
ฟังดูเหมือนเรากำลังอ่านไดอารีของใครสักคน แต่เชื่อเถอะว่าต้องมีสักท่อนที่คุณฟังแล้วนึกถึงชีวิตของตัวเอง
Track 01 : Um…Life
เพลงเปิดใน EP. นี้ ชื่อว่า ‘Um..Life’ ท่วงทำนองเพลงเนิบๆ แต่สิ่งที่ทำให้เราประทับใจมากที่สุดคือ วิธีการเรียบเรียงเนื้อร้องให้เป็นบทสนทนาสั้นๆ ภายในเวลา 2 นาที แถมยังใช้เนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษด้วยคำศัพท์ง่ายๆ แต่สรุปต้นตอของปัญหาที่สะท้อนออกมาใน EP. นี้ได้อย่างหมดจด คงไม่ต้องพูดถึงเสียงร้องของเธอ ซึ่งทำหน้าที่เล่าเรื่องออกมาได้ดีจนเหมือนกำลังนั่งฟังคนคุยกัน
ท่อนเปิดของเพลงแสดงความเป็นห่วงต่อสภาพจิตใจของ BIBI เพราะสภาพของคู่สนทนาดูไม่จืดจนต้องถามไถ่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ แต่ BIBI ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่าคนที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้ก็คือ ‘ชีวิตของเธอ’ นั่นแหละ
แน่นอนว่าคนฟังต้องไม่เชื่อหู คะยั้นคะยอต่อไปว่า ‘ใคร’ กันแน่ที่ลงมือทำ เพราะเนื้อตัวเธอมีแต่รอยฟกช้ำ (Oh my god bish, you black and blue. Who did this to you) ฝั่ง BIBI ตอบกลับไปว่า Boy, who got rough one did it to me. So don’t blame him for all the blues I have these days, it’s not on him. (แฟนอารมณ์ร้อนของฉันเป็นคนทำ แต่ไม่ต้องไปโทษเขาหรอก เพราะความเศร้าที่ฉันมีตอนนี้ มันไม่ได้เกิดจากเขา)
Verse ที่สองของเพลงถ่ายทอดความเข้มข้นของบทสนทนา ซึ่งจุดเด่นอย่างหนึ่งที่ BIBI เลือกเอามาใช้คือการเล่นคำว่า ‘Blue’ ในความหมายแรกแปลว่า ฟกช้ำ สื่อถึงบาดแผลทางร่างกายที่เพื่อนของเธอเห็นได้ชัด และความหมายที่สองแปลว่า ความเศร้า เพื่อสื่อว่าความเจ็บปวดของเธอจริงๆ ที่อยู่ข้างใน ซึ่งเป็นบาดแผลทางจิตใจที่ไม่มีใครเห็น
“ชีวิตคือลูปของความสุข ความเศร้า ช่วงเวลาย่ำแย่ และอื่นๆ เวลาที่ชีวิตสร้างความยากลำบากให้กับคุณ บางครั้งคุณแค่อยากโทษว่าเป็นความผิดของคนอื่น ซึ่งเพลงนี้ทำหน้าที่อธิบายความรู้สึกเหล่านั้นได้ครบถ้วนหมดแล้ว” BIBI อธิบายเอาไว้ในบทสัมภาษณ์ HYPEBEAST KR
Track 02 : BAD SAD AND MAD
เพลงที่เป็นไฮไลต์ของอีพี คือ BAD SAD AND MAD พูดถึงการพยายามเอนจอยกับอุปสรรคต่างๆ ในชีวิต แต่สิ่งน่าสนใจคือการเขียนเนื้อร้องสื่อออกมาในรูปแบบ BDSM ไม่ใช่เรื่องแปลกหากฟังครั้งแรกแล้วหลายคนจะตีความในเรื่อง ‘เซ็กซ์วิตถาร’ เพราะทั้งเนื้อร้อง มิวสิกวิดีโอ การแสดงสีหน้าเหมือนคนถึงจุดสุดยอด ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่านี่คือเพลงที่สื่อถึงเซ็กซ์แบบ BDSM หรือเปล่า
หากแต่ BDSM ไม่หมายรวมถึงกิจกรรมทางเพศอย่างเดียว แต่สื่อถึงการตกลงทางอำนาจอะไรบางอย่าง ซึ่งการอุปมาของศิลปินจากแดนกิมจิคนนี้เลือกใช้คือ ‘Pet-Play’ โดย BIBI สวมบทบาทเป็นหมา แล้วให้ชีวิตเป็นนายของเธอ เมื่อฟังเพลงคู่ไปกับการดูมิวสิกวิดีโอ ยิ่งตอกย้ำว่าเธอกำลังสนุกสุดเหวี่ยงกับมรสุมชีวิตอยู่
You blued my bruise spank me with ties
เธอต่อยฉัน และฟาดฉันด้วยเนกไทจนฟกช้ำ
Break my bone and Purple my eyes
ทุบกระดูกและชกเข้าที่เบ้าตาจนม่วงช้ำ
BIBI มักต่อท้ายประโยคเหล่านี้ว่า You red my mind (เธอรู้ใจฉัน) ซึ่งคำว่า Red ในที่นี้พ้องเสียงไปกับคำว่า Read และยังเป็นกิมมิกเล็กๆ เพื่อสื่อถึงเลือด ก่อนบรรยายต่อว่าหยดเลือดที่ไหลไปตรงเอวจากการโดนทุบตี ยิ่งสร้างความสุขสมให้กับเธอจนต้องร้องขอให้ทรมานซ้ำๆ กลายเป็นสิ่งเสพติด เพียงเพื่อให้ความรู้สึกของเธอบรรลุถึงฝั่งฝัน
และการจบ Verse สุดท้ายว่า ‘You red my mind’ ตะโกนด้วยน้ำเสียงแห่งความเจ็บปวด ให้อารมณ์ตรงข้ามกับประโยคที่ชื่นชมพาร์ตเนอร์ว่าเธอรู้ใจฉันดี ในฐานะคนฟังขอชื่นชมว่าท่อนนี้เป็นคีย์เวิร์ดที่สื่อเรื่อง BDSM ได้โคตรเพอร์เฟกต์!
ท้ายที่สุด แม้เพลง BAD MAD AND SAD จะเต็มไปด้วยประโยคที่ดูรุนแรง แต่ BIBI ต้องการใช้เพลงนี้สนับสนุนให้คนเอาชนะอุปสรรคแย่ๆ ในชีวิตได้โดยไม่ต้องเศร้าโศก หรือร้องไห้ฟูมฟาย แต่เอนจอยไปกับมันสิ!
Track 03 : PIRI the dog
“ช่วงหนึ่งฉันรู้สึกว่าชีวิตมันเลวร้ายสำหรับฉันจริงๆ และฉันมักสงสัยว่าฉันเป็นสัตว์เลี้ยงหรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้น แสดงว่าฉันเป็นแค่สัตว์เลี้ยงที่ถูกทอดทิ้งจากชีวิตของตัวเองสินะ” BIBI เล่าแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงที่สามของอัลบั้ม
PIRI the dog เป็นเพลงที่ ‘ดูเหมือน’ จะถ่ายทอดท่าทางน่ารักของหมา กลับผิดคาดเพราะเนื้อเพลงแฝงไปด้วยความน่าสงสารชนิดที่ฟังแล้วร้องไห้จนตัวโยก เมื่อจินตนาการว่าเราเป็นเจ้าหมาตัวนั้น ที่มอบความรักทั้งหัวใจของเราให้เจ้าของ แม้คนรับจะผลักไสไล่ส่ง ทอดทิ้งท่ามกลางอากาศหนาว หรือเกลียดชังมากเท่าไหร่ก็ตาม เราก็พร้อมยินดีจะภักดีกับเจ้าของคนนี้เสมอ
โดยเพลงนี้ BIBI พูดถึงการยอมจำนนต่อความโหดร้ายของชีวิต ซึ่งอีกนัยหนึ่งเราแอบคิดเองว่าแม้เราอยากจบชีวิต เพื่อยุติปัญหา แต่ความปรารถนาในใจลึกๆ เราเองก็อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป เหมือนกับหมาในเพลงที่รู้แก่ใจว่าเจ้าของเกลียดเข้าไส้ สารพัดคำพูดรุนแรงที่ถาโถมเข้าใส่ ท้ายที่สุด เราแค่อยากโดนเจ้าของกอดอีกสักครั้ง
** หมายเหตุ : ถ้าลองฟังดีๆ จะได้ยินเสียงหมาเห่าแทรกในเพลงด้วยนะ
Track 04 : Birthday Cake
ภาพหญิงเร่ร่อนผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เข็นรถเข็นซูเปอร์มาร์เก็ตที่บรรจุของจำเป็นไปตามข้างถนน แล้วเจอกล่องสีขาวท่ามกลางกองขยะ ก่อน Verse ท่อนแรกจะสวนขึ้นมาว่า Nobody told me I can have the whole chocolate. So I fed it to my buddy (ไม่เห็นมีใครบอกฉันเลยว่ากินช็อกโกแลตทั้งหมดได้ ฉันเลยยกให้เพื่อนไปหมด) จากนั้นภาพตัดไปที่คนเร่ร่อนกำลังนั่งเป่าเค้กเทียนวันเกิด และใช้มือจ้วงเค้กขึ้นมาชิมทั้งน้ำตาที่เปี่ยมไปด้วยความสุข
ถือเป็นอีกหนึ่งเพลงใน EP. นี้ ที่ทำให้น้ำตาคลอ อาจเป็นเพราะอินเนอร์การแสดงของ BIBI ในฐานะหญิงเร่ร่อนเข้าถึงบทบาท แต่ที่แน่ๆ เสียงร้องของเธอและความหมายของเพลงลึกซึ้งกินใจ จนทำให้เรานั่งซึมเป็นส้วม โดยเฉพาะท่อน Nobody told me I can throw myself to doomsday lake. So I let myself go lose it (ไม่เห็นมีใครบอกฉันว่าแหวกว่ายในทะเลสาบแห่งความสิ้นหวังได้ ฉันเลยปล่อยตัวเองเลี่ยงมัน)
เพลงนี้ถูกเขียนขึ้นมาจากสภาวะซึมเศร้า ไม่มีใครบอก BIBI ว่าเธอสามารถรู้สึกเสียใจ ร้องไห้ หรือเศร้าได้อย่างเต็มที่ เพราะหลายต่อหลายครั้งเธอมักโดนบอกว่าอย่าเศร้าไปเลย จงมีความสุขเร็วๆ นะ มันยิ่งทวีคูณความรู้สึกแย่ที่รู้สึกเศร้ามากขึ้นไปอีก พอมีคนบอกว่าความเศร้าไม่ใช่เรื่องผิด เธอรู้สึกแบบนี้ได้ มันทำให้เธอรู้สึกดีใจเหมือนได้เค้กวันเกิดเลย
Track 05 : Life is a Bi…
เพลงสุดท้าย Life is a Bi… อีกหนึ่งเพลงไฮไลต์ที่เรียกว่ารื้อมู้ดทั้ง 4 เพลงข้างบนเกือบหมดเกลี้ยง เพราะเมโลดี้ค่อนข้างโดดเด่นกว่าใครเพื่อน รวมถึง BIBI ยังร้องแรปสไตล์เมากาวทั้งเพลงเป็นความกวนๆ ที่เธอตั้งใจ โดยเฉพาะท่อน ‘Cause I’ve been rim of the world, ‘Cause I’ve been rim of my life (ฉันเคยอยู่จุดสูงสุดของโลก และเคยไปจุดสูงสุดของชีวิตแล้ว) เพื่อโชว์ว่า ‘ตอนนี้ชีวิตฉันไม่มีอะไรจะเสียแล้ว’ และปิดท้ายด้วยแทร็กวงออร์เคสตรา เพื่อเติมความรู้สึกเศร้า จึงไม่แปลกใจที่ยอดฟังของเพลงนี้จะตีคู่มากับ BAD SAD AND MAD มาติดๆ
สำหรับเนื้อเพลงโดยรวมพูดถึงชีวิตที่เหมือนรถไฟเหาะ ขึ้นสุด ลงสุด หมุนตลบแบบ 360 องศา เรียกว่ามีเรื่องให้เซอร์ไพรส์ตลอด ซึ่งเหมาะกับการตั้งชื่อเพลงว่า Life is a Bi… (ชีวิตแม่งเ-ี้ย) อย่างถึงที่สุด เหมือนท่อนที่บอกว่า
야! 인생은 나를 놀래키려 하지만
เฮ้ย ชีวิตฉันมีอะไรเซอร์ไพรส์อีกล่ะ
Sex Money Murder 나를 중독시키지만
โดยเฉพาะเซ็กซ์ เงิน ฆาตกรรมที่ฉันกำลังเสพติดมันสุดๆ
인생은 나를 휘두르려 하지만
ไอ้ชีวิต แกกำลังเล่นงานฉันอยู่เหรอ
Jump scare, jump scare 따위엔 안 당하지 난
มาแบบ Jump scare แต่บอกเลยว่าฉันไม่กลัวหรอกนะ
ส่วนมิวสิกวิดีโอเพลงนี้ เล่าง่ายและค่อนข้างตรงไปตรงมา ไม่ต้องตีความอะไรมากก็เข้าใจชีวิตแบบรถไฟเหาะได้ เพราะพี่แกเล่นเล่าเส้นทางชีวิตตั้งแต่เป็นเด็กนักเรียนวัยใส แล้วมาเป็นพนักงานพาร์ตไทม์หารายได้ระหว่างเรียน พอจบก็กลายเป็นพนักงานเงินเดือนแต่ดันตกงาน เลยใช้วิธีหาเงินด้วยการเป็นโจรวิ่งราว แถมโชคดันไม่เข้าข้าง โดนตำรวจจับได้เลยต้องเป็นนักโทษหญิง
พออยู่ในคุกนานเข้าก็เริ่มมีปัญหาทางจิตกลายเป็นคนป่วยจิตเภท และพอพ้นโทษก็จบด้วยการเป็นหญิงเร่ร่อน ยิ่งฉากที่สติหลุด พร่ำเพ้อต่อเทพธิดาว่า “ตอบฉันหน่อย ทำไมต้องเป็นฉันคนเดียวที่เจออะไรแบบนี้ ต่อไปฉันจะไม่ทำพลาดอีกแล้ว” เทพองค์นั้นตอบอย่างไม่แยแสว่า “ชีวิตก็เหี้ยแบบนี้แหละ” อารมณ์บอกว่านี่แหละชีวิต เมื่อพลาดพลั้งขึ้นมาก็ต้องจัดการและเผชิญหน้ากับมันเท่านั้น
Life is a Bitch but This is life
เมื่อฟังทั้ง EP. ตั้งแต่ต้นจนจบเป็นรอบที่ร้อย และปั่นวิวในยูทูบควบคู่ไปด้วย เราขอการันตีเลยว่าระยะเวลา 12 นาที คุณจะไม่ผิดหวังในเพลงของ BIBI แน่นอน! ทั้งทำนอง เนื้อหา และสตอรี่จาก 4 มิวสิกวิดีโอที่ร้อยเรียงเรื่องได้ปัง จนต้องมอบรางวัลให้เป็นนักเล่าเรื่องยอดเยี่ยมแห่งปีเลยทีเดียว
สิ่งที่ทำให้ ‘Life is a Bi…’ แตกต่างจากเพลงอื่นๆ ของเธอ คงเป็นเนื้อหาที่ใช้ประสบการณ์ชีวิตส่วนตัวมาเขียน 100 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะประสบการณ์ที่ตกอยู่ในสภาวะซึมเศร้าของ BIBI และการไม่ยอมรับว่าชีวิตก็มีทั้งดีและห่วย มัวแต่ขวนขวายหาความเพอร์เฟกต์จนเกิดทุกข์ เพราะฉะนั้น ใน EP. นี้ จึงไม่ใช่แค่เพลงที่ฟังเพื่อความจรรโลงอย่างเดียว เพราะศิลปินวัย 22 ปีคนนี้ ได้สร้างมาตรฐานต่อมุมมอง ‘ชีวิต’ ว่าบางครั้งเราไม่จำเป็นต้องมีความสุขหรือคิดบวกอย่างเดียวเพื่อก้าวต่อไปข้างหน้า เพราะความโกรธแค้นหรือความเศร้าก็ขับเคลื่อนชีวิตได้ แค่ต้องยอมรับตัวเองในแบบที่เป็น