หลังจาก ‘Van Gogh Museum’ พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมืองอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ประกาศปิดทำการชั่วคราวเนื่องจากมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19 เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เหล่าแฟนๆ งานศิลปะก็ไม่ต้องเสียใจไป เพราะทางพิพิธภัณฑ์ได้เปิดให้ทุกคนเพลิดเพลินกับงานศิลปะจากบ้านและดำดิ่งไปกับเรื่องราวเบื้องหลังผลงานแต่ละชิ้นได้ผ่านเว็บไซต์ www.vangoghmuseum.nl/en
ผู้ที่สนใจเลือกรับชมและดาวน์โหลดผลงานภาพวาด ภาพระบายสี และภาพพิมพ์ของแวน โก๊ะ กว่า 1,500 ชิ้น ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย แต่มีข้อแม้ว่าห้ามนำภาพไปใช้เพื่อการค้า และนอกจากนี้ ทางพิพิธภัณฑ์ยังมีกิจกรรมออนไลน์อื่นๆ เช่น 4K Tour วิดีโอนำชมพิพิธภัณฑ์ความคมชัดสูงที่ให้คุณรู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่ในโลกของแวน โก๊ะ หรือบทความที่จะชวนคุณหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องราวของศิลปินเอกคนนี้
เพราะการปิดตัวลงชั่วคราวนี้เองทำให้พิพิธภัณฑ์ต้องสูญเสียรายได้ไปกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ หากใครประทับใจแล้วอยากสนับสนุน ก็บริจาคได้ที่ https://bit.ly/3uOpaVO เพื่อช่วยต่อลมหายใจให้ Van Gogh Museum ยังคงอยู่ต่อไปได้
RELATED POSTS
‘CDDP360’ แพลตฟอร์มบันทึกหลักฐานสาธารณภัย เก็บข้อมูลความเสียหายเพื่อการช่วยเหลือที่ตรงจุด
เรื่อง
Urban Creature
การฟื้นฟูพื้นที่หรือที่อยู่อาศัยหลังเกิดภัยพิบัติ นับว่าเป็นภารกิจที่ใหญ่โตไม่แพ้ตอนเกิดเหตุ เนื่องจากข้อมูลปัญหาต่างๆ มีความกระจัดกระจาย ทำให้ความช่วยเหลือเข้าถึงคนในพื้นที่ยาก อย่างเหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ที่ผ่านมาก็สร้างความสูญเสียเป็นวงกว้างในหลายพื้นที่ การขอความช่วยเหลือและการเข้าถึงปัญหาในแต่ละจุดจึงเกิดความล่าช้าจนอาจก่อให้ปัญหาตามมา Bedrock Analytics (เบดร็อค อนาไลติกส์) ผู้ให้บริการด้านข้อมูลเชิงพื้นที่ (Location Intelligence) ใช้ข้อมูลโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งและการวิเคราะห์ขั้นสูง จัดทำแพลตฟอร์มเฉพาะกิจขึ้นมาในสถานการณ์หลังภัยพิบัติของชาวหาดใหญ่ เป็นระบบบันทึกหลักฐานสาธารณภัยในชื่อ ‘CDDP360’ แพลตฟอร์มเก็บข้อมูลความเสียหายจากภัยพิบัติ CDDP360 เป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ใช้บันทึกภาพและข้อมูลความเสียหายหลังเกิดภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ ถูกต้อง และเชื่อถือได้ พร้อมสร้างรายงานความเสียหายแบบอัตโนมัติในรูปแบบดิจิทัลที่ใช้อ้างอิงได้จริง เพื่อใช้ขอความช่วยเหลือ เคลมประกัน และวางแผนซ่อมแซม ซึ่งข้อมูลที่ลงในระบบมีความปลอดภัยตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะเป็นอันตรายต่อความเป็นส่วนตัว อีกข้อดีของการสร้างรายงานหลักฐานนี้คือ ตัวแพลตฟอร์มระบุพิกัดอาคารบ้านเรือนที่เสียหายของประชาชนได้ ทำให้หน่วยงานเข้าไปช่วยเหลือสะดวก รายงานหลักฐานที่ได้ก็เป็นข้อมูลแบบละเอียดที่ช่วยแบ่งประเภทความเสียหายได้อย่างตรงจุด พร้อมมีการแนบภาพอย่างชัดเจน โดยภาพที่บันทึกในระบบจะมีการอัปเดตอย่างสม่ำเสมอ รายงานได้ด้วยตัวเอง หรือผ่านอาสาสมัครที่ลงพื้นที่ ส่วนวิธีการใช้งานแพลตฟอร์มนี้ก็ไม่ยาก แค่ผู้ที่ได้รับความเสียหายอัปเดตข้อมูลลงในระบบด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัย ร้านค้า อุตสาหกรรม หรือพื้นที่เกษตรกรรม ไม่ว่าจะเป็นปัญหาน้ำเข้าบ้าน ผนังแตกร้าว หลังคารั่ว ระบบไฟขัดข้อง แปลงผักเสียหาย รถยนต์จมน้ำ เอกสารเสียหาย ฯลฯ ข้อมูลทั้งหมดนี้จะเป็นรายงานที่นำไปใช้เพื่อรับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนได้ โดยบันทึกข้อมูลผ่าน cddp360.bedrockanalytics.ai […]
ฮ่องกง เมืองที่นำเสนอความสร้างสรรค์ ศิลปะ และความหลากหลายผ่านเทศกาลดนตรีประจำปี
เรื่อง
ตาดูหูฟัง - Taa Do Hoo Fung
ดิสนีย์แลนด์ แหล่งชอปปิง อาหารท้องถิ่นท่ามกลางแสงสี ชานมไข่มุกต้นตำรับ และแหล่งสักการะขอพร น่าจะเป็นภาพจำของฮ่องกงที่หลายคนนึกถึง ทว่าพ้นไปจากที่กล่าวมา สถาปัตยกรรมอาคารบ้านเรือนแนวตั้ง และพื้นที่ที่มีความเป็นอยู่อย่างแออัดก็เป็นอีกสิ่งที่คนจดจำฮ่องกงได้ ถึงอย่างนั้น เมืองเล็กๆ แห่งนี้ก็พยายามสร้างพื้นที่สร้างสรรค์ทางดนตรีและศิลปะขึ้นมาเพื่อดึงดูดคนในเมืองและนักท่องเที่ยว โดยหนึ่งในอีเวนต์ที่ยิ่งใหญ่ เป็นที่จับตามองทั่วโลกคือ เทศกาลดนตรีระดับนานาชาติ Clockenflap กับไลน์อัปศิลปินที่คัดสรรมาอย่างดี จนไม่ว่าจะเป็นชาวฮ่องกงหรือชาวต่างชาติก็ล้วนต้องบินมาสัมผัสประสบการณ์ทางดนตรีทุกปี กลายเป็นหนึ่งหมุดหมายสำคัญของคนรักเสียงดนตรีที่พลาดไม่ได้ คอลัมน์ City in Focus จึงอยากพาไปสำรวจว่า เมืองนี้ทำอย่างไรถึงทำให้อีเวนต์ดนตรีนี้กลายเป็นจุดขายระดับโลก และบริบทรายล้อมอะไรบ้างที่ช่วยส่งเสริมความเป็นเมืองสร้างสรรค์ของฮ่องกง สร้างแลนด์มาร์กด้านดนตรีและศิลปะใจกลางเอเชีย จุดเริ่มต้นของ Clockenflap เกิดจาก 3 ผู้ก่อตั้ง ได้แก่ Jay Forster, Mike Hill และ Justin Sweeting กลุ่มคนที่ทำงานในสายศิลปะและดนตรีของฮ่องกง ที่เห็นว่าเมืองนี้มีความเป็นสากลจากฐานผู้ฟังดนตรีทั้งชาวต่างชาติและคนท้องถิ่น มีซีนดนตรีนอกกระแสและดนตรีอิเล็กทรอนิกที่สร้างสรรค์แต่กระจัดกระจายกันอยู่ มีวงท้องถิ่นเก่งๆ แต่ไม่มีพื้นที่แสดงฝีมือให้คนหมู่มากชม และไม่มีงานเทศกาลกลางแจ้งเกิดขึ้นแบบในหลายๆ ประเทศ Clockenflap จึงเปิดตัวขึ้นในปี 2551 เริ่มจากไลน์อัปวงดนตรีฮ่องกงล้วนๆ โดยมีงานศิลปะและการฉายภาพยนตร์ร่วมด้วย ก่อนที่งานเทศกาลนี้จะค่อยๆ สร้างความสนใจให้คนในระดับกว้าง และดึงศิลปินบิ๊กเนมระดับสากลอย่าง […]
โครงการที่อยู่อาศัยวาตาปูลูวา งานออกแบบของ มินเนตต์ เดอ ซิลวา สถาปนิกหญิงศรีลังกา ผู้ตั้งใจออกแบบบ้านแก้ปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัยตั้งแต่ 60 ปีก่อน
เรื่อง
Urban Creature
เวลาเราพูดถึงโครงการที่อยู่อาศัย หรือนโยบายที่ทำขึ้นเพื่อสร้างบ้านราคาประหยัด หลายคนอาจนึกถึงไอเดียจากประเทศใหญ่ๆ แต่จริงๆ แล้วมีโครงการหนึ่งที่ตั้งใจพัฒนาที่อยู่อาศัยเหล่านี้ตั้งแต่ พ.ศ. 2501 หรือกว่า 60 ปีที่แล้ว โครงการนี้คือ โครงการที่อยู่อาศัยวาตาปูลูวา ประเทศศรีลังกา จากการร่วมประชุมกันของสมาคมแม่บ้านเมืองแคนดี หรือสมาคมของภรรยาเหล่าข้าราชการประจำเมืองแคนดี เพื่อหาวิธีรับมือค่าครองชีพที่สูงขึ้น โดยเฉพาะเรื่องที่อยู่อาศัย สถาปนิกหญิงหนึ่งเดียวเมื่อ 60 ปีก่อน มินเนตต์ เดอ ซิลวา เป็นสถาปนิกที่ได้รับเลือกให้เข้าร่วมออกแบบโครงการที่อยู่อาศัยวาตาปูลูวา เมื่อ พ.ศ. 2498 และเป็นผู้หญิงเอเชียคนแรกที่ได้เป็นสมาชิกของสถาบันสถาปนิกแห่งสหราชอาณาจักร (RIBA) นับว่าเป็นเรื่องน่าสนใจมาก เพราะในยุคนั้นแทบไม่มีสถาปนิกเพศหญิงอยู่ในวงการออกแบบเลยด้วยซ้ำ เห็นได้จากหลักฐานในวิดีโอและรูปถ่ายต่างๆ ที่มินเนตต์แทบจะเป็นผู้หญิงคนเดียวในภาพเหล่านั้น ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยนี้แทนที่จะออกแบบบ้านเหมือนกันหมดเพื่อประหยัดต้นทุน และสร้างบ้านเพียงแค่พอให้อาศัยได้เหมือนโครงการรัฐทั่วไป มินเนตต์กลับใช้วิธีการที่แปลกใหม่มากในยุค 1950 คือ การแจกแบบสอบถามแบบละเอียด เพราะต้องการทราบความต้องการ ข้อมูลครอบครัว และงบประมาณของแต่ละคน ข้อมูลเหล่านั้นถูกนำมาวิเคราะห์เพื่อสร้างแบบบ้านหลายๆ ประเภทที่ผู้อยู่อาศัยเลือกและปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการและกำลังทรัพย์ของตนเอง ออกแบบอย่างศรีลังกา และใช้วัสดุท้องถิ่น นอกจากนั้น มินเนตต์ยังผสมผสานความทันสมัยแบบตะวันตกเข้ากับภูมิปัญญาดั้งเดิมของศรีลังกา ด้วยการออกแบบบ้านให้เปิดโล่ง รับลมธรรมชาติ และลดความร้อน รวมถึงมีลานกลางบ้าน โดยได้ไอเดียจากบ้านขุนนางศรีลังกาโบราณ มาใส่ในบ้านจัดสรรสมัยใหม่ […]
‘Dib Bangkok’ พิพิธภัณฑ์ร่วมสมัยแห่งใหม่ใจกลางเมือง เปิดตัวด้วยนิทรรศการ ‘ล่อง(ไม่)หน (In)visible Presence’ ชวนผู้เข้าชมตั้งคำถามถึงการระลึกถึง
เรื่อง
Urban Creature
ปัจจุบันกรุงเทพฯ เป็นที่สนใจในแวดวงคนชอบงานศิลปะทั่วโลก เนื่องจากซีนศิลปะร่วมสมัยบ้านเรามีความหลากหลาย มีนิทรรศการและเทศกาลระดับสากลจัดขึ้นเป็นประจำ ประกอบกับจำนวนแกลเลอรีที่เพิ่มขึ้น พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยนานาชาติแห่งแรกของกรุงเทพฯ ล่าสุดใจกลางกรุงเทพฯ มี ‘Dib Bangkok (ดิบ บางกอก)’ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยแห่งใหม่ที่มุ่งสร้างแรงบันดาลใจ การเชื่อมต่อ และการมองเห็นในมิติที่ลึกขึ้น ซึ่งนอกจากจะเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยนานาชาติแห่งแรกของกรุงเทพฯ แล้ว ที่นี่ยังเป็นสถาบันแห่งแรกของประเทศไทยที่จัดแสดงคอลเลกชันศิลปะร่วมสมัยระดับโลกอีกด้วย เดิมทีพื้นที่ตรงนี้เคยเป็นอาคารโกดังเก่า ก่อนได้รับการปรับปรุงและออกแบบใหม่โดย ‘WHY Architecture’ ที่ร่วมมือกับ ‘สถาปนิก 49 (A49)’ เปลี่ยนพื้นที่ให้กลายเป็น ดิบ บางกอก ในฐานะจุดหมายทางวัฒนธรรมแห่งใหม่ที่จะชวนผู้คนเข้ามาสัมผัสศิลปะร่วมสมัยทั้งจากประเทศไทยและนานาชาติ ตามความตั้งใจของ ‘ภูรัตน์ โอสถานุเคราะห์’ ประธานผู้ก่อตั้ง ดิบ บางกอก ในการมอบชีวิตให้กับผลงานที่ ‘เพชร โอสถานุเคราะห์’ สะสมเอาไว้มาตีความและต่อยอดใหม่ให้สอดคล้องกับโลกปัจจุบัน นิทรรศการที่สร้างประสบการณ์ใหม่ในการชมศิลปะ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยนานาชาติแห่งนี้เปิดตัวด้วยนิทรรศการแรกในชื่อ ‘ล่อง(ไม่)หน (In)visible Presence’ ที่เป็นการรวบรวมผลงานศิลปะร่วมสมัยกว่า 81 ชิ้นจาก 40 ศิลปินทั้งไทยและนานาชาติ เพื่อเปลี่ยนพิพิธภัณฑ์ให้เป็นพื้นที่ที่ผู้ชมจะได้สัมผัสประสบการณ์ และสำรวจแนวคิดว่าด้วยอดีตคือสิ่งที่นำทางเราไปสู่อนาคต พร้อมตั้งคำถามสำคัญว่า เราจะระลึกถึงสิ่งที่เรารักแต่ไม่อาจมองเห็นได้อย่างไร ผลงานในนิทรรศการนี้ได้รับการจัดวางให้สอดคล้องไปกับสถาปัตยกรรมของอาคารในแต่ละชั้น […]