สุดสัปดาห์นี้ลองชวนคนที่รักไปเดินเล่นที่ย่าน ‘เจริญกรุง-บางรัก’ กัน
เจริญกรุง-บางรัก ในความทรงจำของหลายคนคงจะมีสถานที่หรือร้านรวงเก่าแก่ ไอคอนิกประจำย่านที่ไม่ว่าใครมีโอกาสไปเยือนแถวนั้นก็ต้องแวะเช็กอินกันอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น ‘ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ หรือ TCDC’ พื้นที่แห่งงานสร้างสรรค์และคลังความรู้คู่เจริญกรุง, ‘โรงภาพยนตร์ปรินซ์รามา’ โรงฉายหนังเก่าแก่ที่ผลัดเปลี่ยนเป็นโรงแรมใจกลางย่าน, ‘ประจักษ์เป็ดย่าง’ ร้านบะหมี่เป็ดเก่าแก่กว่า 100 ปี หรือร้าน ‘น้ำขม โหมงหวอ’ ที่จำหน่ายน้ำสมุนไพรโบราณในบางรักร่วม 80 ปี
แต่หลังจากที่เราได้ลองกลับไปเดินเล่นในย่านนี้อีกครั้ง ก็พบว่าปัจจุบันย่านนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่สถานที่ที่เชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ในอดีต หรือที่ตั้งของเหล่าร้านรวงเก่าแก่ที่เป็นตำนานอีกต่อไป แต่เริ่มมีธุรกิจและพื้นที่สร้างสรรค์ใหม่ๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของย่าน และกระจายตัวกันอยู่ตามตรอกซอกซอยมากขึ้น
ครั้งนี้คอลัมน์ Urban Guide ขอแวะมาอัปเดตสถานที่ใหม่น่าแวะในย่านเจริญกรุง-บางรัก ที่จะทำให้การเดินเที่ยวเล่นในย่านนี้สนุกและแตกต่างไปจากเดิม เตรียมจดพิกัดและไปเดินด้วยกันได้เลย!
01 | Central Department Store Bangrak


เริ่มต้นเดินกันจาก BTS สถานีสะพานตากสิน จะพบกับสถานที่แรกที่พลิกโฉมด้วยการอาบน้ำแต่งตัวใหม่ เปลี่ยนจาก ‘โรบินสัน บางรัก’ เป็น ‘เซ็นทรัล บางรัก’ ห้างสรรพสินค้าหนึ่งเดียวบนถนนเจริญกรุง ด้วยเหตุผลที่ต้องการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ให้ทันสมัยและสดใสขึ้นตามยุคปัจจุบัน รวมถึงตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปจากเดิม
ภายในห้างฯ ถูกตกแต่งใหม่และร่วมสมัยมากขึ้น มีทั้งร้านเดิมที่เคยอยู่ตั้งแต่ช่วงที่เป็นโรบินสัน บางรัก และร้านใหม่ที่เพิ่งเข้ามาหลังจากรีโนเวต โดยในแต่ละชั้นถูกจำแนกเป็นหมวดหมู่ต่างๆ ไว้อย่างชัดเจน ภายใต้แนวคิด ‘Room Concept’ ที่ครอบคลุมไลฟ์สไตล์และตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าอย่างครบครันที่สุด เช่น Food Concept ที่ประกอบไปด้วยโซน Snacker รวมขนมขบเคี้ยวจากทุกมุมโลก โซน Asian Flavours รวมวัตถุดิบและเครื่องปรุงสไตล์เอเชีย และโซน Healthiful รวมอาหารเพื่อคนรักสุขภาพ

นอกจากนี้ ด้านข้างห้างฯ ในซอยเจริญกรุง 50 ตอนช่วงเช้าจะมีร้านรถเข็นเล็กๆ มาเปิดขาย ส่วนช่วงเย็นพื้นที่ข้างห้างฯ ก็จะมีแผงร้านมากมายมาตั้งเรียงกัน ขยับขยายพื้นที่เป็นตลาดนัดที่ใหญ่ขึ้นมาหน่อยให้จับจ่ายใช้สอยกันด้วย
Central Department Store Bangrak
วันทำการ : ทุกวัน เวลา 10.30 – 21.30 น.
พิกัด : ระหว่างซอยเจริญกรุง 48 และ 50
แผนที่ : maps.app.goo.gl/sgzdE5h6wwmNnE899
02 | Nerve 2 Nose Studio & Fragrance

เดินต่อไม่ไกล อาคารสีครีมสไตล์โคโลเนียลบนปากซอยเจริญกรุง 36 คือโครงการ O.P. GARDEN ที่ตั้งของ ‘Nerve 2 Nose Studio & Fragrance’ สตูดิโอน้ำหอมใจกลางย่านบางรัก เมื่อเราเปิดประตูเข้าไปจะได้กลิ่นหอมสดชื่น พร้อมรอยยิ้มต้อนรับอย่างอบอุ่นจากเจ้าของร้าน
“เราสามคนรวมตัวกันเปิดสตูดิโอฯ แห่งนี้เพราะชอบน้ำหอมเหมือนกัน และมีความคิดตรงกันคือ อยากผลักดันน้ำหอมไทยให้ติดตลาด โดยชูโรงความโมเดิร์นของน้ำหอมกลิ่นไทยให้มีความน่าสนใจมากขึ้นตามสไตล์ของพวกเราแต่ละคน”
‘ป้อ-ประทินทิพย์ มนุโศภิษฐ์’ เจ้าของแบรนด์ Pratintip Artist และ ‘พลอย-ฐิตารีย์ วัฒนธีราคงวุฒิ’ เจ้าของแบรนด์ Savor Aromatic สองในสามผู้ก่อตั้งสตูดิโอฯ แห่งนี้บอกกับเรา พร้อมแนะนำให้รู้จักกับ ‘เจ-ทิฆัมพร กลิ่นจันทร์’ อีกหนึ่งผู้ร่วมก่อตั้งซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ SKYS Perfumes by Tikumporn

ภายในสตูดิโอฯ ตกแต่งอย่างเรียบง่าย ให้บรรยากาศสบายๆ มีดนตรีเปิดคลอเบาๆ รายล้อมไปด้วยน้ำหอมแบรนด์ไทยหลากหลายแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์และเรื่องราวของน้ำหอมแต่ละกลิ่นให้สัมผัสและเลือกซื้อกลับบ้านตามต้องการ
“น้ำหอมคือศิลปะอย่างหนึ่ง คนสองคนอาจชอบทะเลเหมือนกัน แต่กลิ่นทะเลที่ทั้งสองคนชอบอาจจะต่างกัน คนหนึ่งอาจชอบกลิ่นทะเลยามเช้า อีกคนอาจชอบกลิ่นทะเลยามเย็น ซึ่งเรามองว่ากลิ่นเป็นศิลปะที่สื่อถึงตัวตนของคนคนนั้น” ประทินทิพย์เล่าถึงมุมมองที่เธอมีต่อน้ำหอม ก่อนจะชวนเราดมกลิ่นน้ำหอมต่างๆ ภายในร้าน


“เราอยากนำสิ่งที่ชอบและเป็นศิลปะอีกรูปแบบหนึ่งเข้ามาในย่านเจริญกรุง อยากช่วยบูสต์ให้ย่านนี้สนุกขึ้น ซึ่งเริ่มต้นไปตั้งแต่ช่วง BKKDW ของปีที่ผ่านมาและปีนี้ก็เข้าร่วมอีกเช่นกัน ซึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดีมากๆ” ฐิตารีย์เสริม
นอกจากเป็นร้านขายน้ำหอม ที่นี่ยังมีเวิร์กช็อปปรุงน้ำหอมสำหรับใครที่อยากมีน้ำหอมแบบเอ็กซ์คลูซีฟเป็นของตัวเอง โดยเราสามารถเลือกผสมกลิ่นได้ตามใจชอบจากอะโรมาออยล์กว่า 60 กลิ่นที่สตูดิโอฯ เตรียมไว้ แถมยังได้เรียนรู้ประเภทของกลิ่นต่างๆ ตามหลักสากล และคำแนะนำในการทำน้ำหอมอย่างถูกวิธี

ในเวิร์กช็อปนี้เราสามารถโฟกัสกับการทดลองผสมกลิ่นต่างๆ จนกว่าจะเจอกลิ่นที่ชอบน้ำหอมที่ใช่โดยไม่จำกัดเวลา และยังมีกิจกรรมทำเทียนหอมแบบเดียวกันกับช่วง BKKDW 2025 ที่ผ่านมาอีกด้วย
“หรือถ้าอยากทำอีกรอบก็มาบอกทางร้านได้เลย” ประทินทิพย์และฐิตารีย์พูดเชิญชวนทิ้งท้าย พร้อมกับหยิบผลงาน ‘น้ำหอมกลิ่นเจริญกรุง’ และน้ำหอมกลิ่นย่านต่างๆ ที่พวกเธอออกแบบมาฉีดใส่กระดาษเทสต์กลิ่นให้เราดม จินตนาการตามกลิ่นที่สัมผัสได้
นอกจากนี้ Nerve 2 Nose Studio & Fragrance ยังจัดกิจกรรมเกี่ยวกับกลิ่นและน้ำหอมเป็นประจำทุกเดือน ทั้งในสตูดิโอฯ และนอกสถานที่ด้วย

Nerve 2 Nose Studio & Fragrance
วันทำการ : วันอังคาร-วันอาทิตย์ เวลา 10.00 – 19.00 น. (ปิดวันจันทร์)
พิกัด : โครงการ O.P. GARDEN ซอยเจริญกรุง 36
แผนที่ : maps.app.goo.gl/oyKbLumcC7dTgq2v5
ช่องทางติดต่อ : Nerve2Nose Studio&Fragrance
03 | madi BKK

หลังจากได้น้ำหอมเป็นของตัวเองแล้ว ก็ได้เวลาเดินต่อไปยังหน้าปากซอยเจริญกรุง 43 ที่ตั้งของโครงการ Charoen 43 Art & Eatery ตึกเก่าโครงสร้างแข็งแรงที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยร้านอาหารและคาเฟ่ตั้งแต่ต้นซอยจนท้ายซอย ซึ่ง ‘madi BKK’ เป็นคาเฟ่แรกเริ่มที่เข้ามาเปิดในโครงการนี้
“คาเฟ่นี้เป็นคาเฟ่ที่เราทำร่วมกับเพื่อน ส่วนตัวเราชอบดื่มกาแฟและงานศิลปะอยู่แล้ว เลยนำสิ่งที่ชอบเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของร้านด้วย แล้วมันก็สอดคล้องกับชื่อร้าน เพราะออกเสียงว่า ‘มาดิ’ คล้ายคำพูดชวนเพื่อนมาเจอกัน” ‘จี้ป-สาธิยา ศิริพจนากร’ หนึ่งในพาร์ตเนอร์ของคาเฟ่สีขาวครีม 2 ชั้นแห่งนี้เล่าให้เราฟัง
อีกหนึ่งเหตุผลที่ซัพพอร์ตการเปิดคาเฟ่ของสาธิยาและเพื่อนๆ ในย่านเจริญกรุงคือ เธอมองว่าเจริญกรุงเป็นพื้นที่ Old Town มีประวัติศาสตร์ของพื้นที่มากมาย รวมถึงตึกที่เป็นที่ตั้งร้านแห่งนี้ก็เป็นตึกเก่าด้วย นับเป็นย่านที่มีเสน่ห์สำหรับเธอ

ตัวร้านแบ่งออกเป็น 2 ชั้น ชั้นล่างคือส่วนเคาน์เตอร์บาร์สำหรับทำเครื่องดื่มและของว่าง มีที่นั่งทั้งหน้าร้านและหลังร้าน ส่วนชั้นบนเป็น Creator Hub ที่ร้านเปิดขึ้นเพื่อเป็นพื้นที่แสดงผลงานศิลปะสำหรับศิลปินทั่วไป


“เราไม่ใช้คำว่า Gallery แต่ใช้คำว่า Creator Hub แทน เพราะมองว่าศิลปะมีหลากหลายรูปแบบ เราอยากให้มีพื้นที่ทำกิจกรรมต่างๆ อย่างสร้างสรรค์ จะเป็นนิทรรศการก็ได้ เวิร์กช็อปก็ได้ บวกกับเราอยากเปิดโอกาสให้ศิลปินหน้าใหม่หรือศิลปินตัวเล็กๆ ได้มีพื้นที่ในการแสดงผลงานด้วย คำนี้เลยเป็นคำที่ขยายความพื้นที่ตรงนี้ของเราได้ดี” สาธิยาอธิบายพลางอมยิ้ม
มากไปกว่านั้น เครื่องดื่ม ของว่าง รวมถึงวัตถุดิบในร้านแทบทั้งหมดยังเป็นการอุดหนุนสินค้าจากเกษตรกรไทย สาธิยาเลือกเอง ชิมเองทั้งหมด โดยคัดเลือกสิ่งที่ดีที่สุดมาใช้กับร้านของเธอ เมนูแนะนำ ได้แก่ Madi Culture Coffee, Matcha Latte with Coconut Water และ Truffle Mushroom Pie นอกจากนี้ยังมีโปรดักต์ของ ‘madi BKK’ ที่ออกแบบโดยเธอเองวางจำหน่ายภายในร้านอีกด้วย เนื่องจากเวลาไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ ส่วนใหญ่ก็จะมีสินค้าประจำสถานที่นั้นๆ วางขาย สาธิยาจึงนำแนวคิดนั้นมาต่อยอดเป็นสินค้าประจำร้าน เพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้แบรนดิ้งนั่นเอง


และใครที่เอนจอยทั้งกาแฟทั้งไวน์ ช่วงหลัง 18.00 น. เป็นต้นไปของวันพฤหัสบดีถึงวันอาทิตย์ ที่นี่มี Wine Bar ที่นอกจากเปิดเป็นคาเฟ่ตอนเช้าให้แก๊งเพื่อนมาพบปะจิบกาแฟกันแล้ว ในช่วงเย็นพื้นที่คาเฟ่แห่งนี้จะแปลงโฉมเป็นบาร์ที่เสิร์ฟไวน์ ขยายเวลาเป็นพื้นที่นัดพบปะสำหรับช่วงเย็นไปจนถึงค่ำอีกเช่นกัน
madi BKK
วันทำการ : คาเฟ่เปิดวันอังคาร-วันอาทิตย์ เวลา 10.00 – 17.00 น. (ปิดวันจันทร์) Wine Bar เปิดวันพฤหัสบดี-วันอาทิตย์ เวลา 18.00 – 00.00 น.
พิกัด : โครงการ Charoen 43 Art & Eatery
แผนที่ : maps.app.goo.gl/bRwkUumxU1FaAJoT6
ช่องทางติดต่อ : Madi Bkk
04 | HAY Bangkok

‘Warehouse 30’ ชื่อคุ้นเคยของโครงการที่ตั้งอยู่ในซอยด้านข้างอาคารไปรษณีย์กลาง บางรัก ที่นี่เป็นโกดังเก่าขนาดใหญ่ที่ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นพื้นที่แห่งการพบปะของเหล่านักสร้างสรรค์ ล่าสุด ‘HAY Bangkok’ ก็ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่แห่งนี้ด้วย
เมื่อปีที่แล้ว ‘HAY’ แบรนด์เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งดีไซน์เรียบง่ายสัญชาติเดนมาร์ก ได้ข้ามน้ำข้ามทะเลมาเปิดตัว HAY Bangkok Flagship Store แห่งแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในเมืองไทยอย่างเป็นทางการ เราจึงไม่ต้องไปไกลถึงโคเปนเฮเกนแต่เลือกช้อปเลือกชมที่นี่ได้เลย
“จริงๆ แล้ว HAY เข้ามาในไทยปีนี้เป็นปีที่เก้าแล้ว เพียงแต่ว่าในระหว่างนั้นเราเปิดเป็นเพียง Shop-in-shop ที่ NORSE Store ซึ่งเป็นร้านมัลติแบรนด์หลักของ NORSE Republics และยังไม่เคยมี Mono Store เป็นของตัวเองสักที พอจะเปิดร้าน Flagship Store เราเลยเลือกย่านเจริญกรุง เพราะย่านนี้มีทั้งความเก่าและความใหม่อยู่รวมกัน
“ทาง HAY เองก็ให้คุณค่ากับความดั้งเดิมของตนเอง แต่ในขณะเดียวกันก็พร้อมเปิดรับและเข้าร่วมไปกับเทรนด์ใหม่ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นได้ จากคอนเซปต์เช่นนี้ของทางตัวแบรนด์ ก็เลยรู้สึกว่าไม่มีย่านไหนที่จะเข้ากับคอนเซปต์นี้ได้เท่าย่านนี้ที่มีส่วนผสมความเก่าและความใหม่อยู่ด้วยกันอย่างลงตัว” ‘อ๋อง-วีกฤษฏิ์ พลาฤทธิ์’ กรรมการผู้จัดการ บริษัท นอร์ส รีพับบลิค จำกัด ผู้นำเข้าและดูแลแบรนด์ HAY อธิบายให้เราฟัง

วีกฤษฏิ์ชี้ชวนให้เราเห็นถึงการจัดโซนภายในร้าน ที่ถึงแม้ HAY Bangkok จะมีพื้นที่จำกัด ต่างจากสาขาในประเทศอื่นที่ออกแบบให้เป็น ‘HAY HOUSE’ ได้ แต่ที่นี่ก็ยังคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวของลูกค้าในการเดินเลือกชมเฟอร์นิเจอร์ไว้ดังเดิม
เริ่มจากชั้นแรกที่จัดวางเฟอร์นิเจอร์หรือไอเทมชิ้นเล็กหยิบจับง่าย เหมาะแก่การเลือกซื้อแบบ Grab & Go ส่วนด้านบนจะมีความเป็นส่วนตัวกว่าเนื่องจากเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องใช้เวลาในการเลือกพอสมควร ซึ่งพื้นที่ด้านบนถูกจัดให้ลูกค้ามองออกว่าเป็นพื้นที่ส่วนใดในบ้าน ด้วยแนวคิดของทาง HAY ที่ต้องการให้พื้นที่ในสโตร์เป็นพื้นที่แห่งแรงบันดาลใจของไอเดียการตกแต่งบ้าน ไม่ใช่แค่พื้นที่จัดวางของสำหรับจำหน่ายเท่านั้น

อีกหนึ่งความน่าสนใจของ HAY Bangkok คือ การตกแต่งผนังภายในสโตร์ด้วยการใช้กระเบื้องเคลือบสีเขียวอ่อนที่มีเอกลักษณ์ของความเป็นไทย กับเทคนิค ‘ศิลาดล’ แบบประยุกต์ด้วย ‘ขี้เถ้า’ จากร้านอาหารข้างทาง
“ในทุกร้าน ทุกสาขาของ HAY จะมีการออกแบบร้านที่มีส่วนผสมของ Local Craft ซึ่งที่สาขานี้เองได้ดีไซเนอร์ไทยมาช่วยออกแบบ ด้วยความที่ย่านเจริญกรุงเป็นย่านที่ติดแม่น้ำ การออกแบบจึงเป็นกระเบื้องที่เรียงติดกันแล้วได้ภาพที่มองเป็นภาพเคลื่อนไหวคล้ายระลอกคลื่นในแม่น้ำที่สะท้อนแสง โดยเฉพาะเมื่อกระทบกับแสงอาทิตย์ ทำให้ได้เอฟเฟกต์แสงที่เปลี่ยนไปในแต่ละช่วงเวลาของวัน เราจึงหยิบภาพจำของย่านนี้มานำเสนอภายใน HAY Bangkok” วีกฤษฏิ์ทิ้งท้าย

HAY Bangkok
วันทำการ : วันอังคาร-วันอาทิตย์ เวลา 10.00 – 19.00 น. (ปิดวันจันทร์)
พิกัด : Warehouse 30
แผนที่ : maps.app.goo.gl/t7dH3Bk4WcUzb6Xg7?g_st=ic
ช่องทางติดต่อ : HAY Thailand
05 | Mad Sugar Bakery&More

ปิดท้ายด้วยการเติมพลังและฝากท้องกับมื้ออร่อยที่มีครบทั้งอาหารจานหลัก เบเกอรี และเครื่องดื่มกับ ‘Mad Sugar Bakery&More’ ร้านพาสตาโฮมเมดเส้นสดทานคู่กับซอสรสชาติต่างๆ สไตล์อิตาเลียนที่ดูแลโดย ‘ตูน-สุจิตรา อุ่นเอมใจ’ เจ้าของร้านผู้ลงมือทำเองทุกขั้นตอนทุกเมนู ภายในตึกเก่าท้ายซอยเจริญกรุง 26
“ในช่วงแรกที่เราเข้ามาแถวนี้ จริงๆ ไม่ได้จะเปิดเป็นหน้าร้านใหญ่โตอะไร แค่ต้องการย้ายฐานการผลิตเค้กที่เราทำส่งและขายในรูปแบบออนไลน์มาอยู่ใจกลางเมือง แต่ด้วยความที่สเปซเก่าในย่านนี้สวยมาก เราเลยตัดสินใจลองเปิดหน้าร้านดู พร้อมกับนำเมนูอาหารอย่างพาสตาเส้นสดเข้ามาขายด้วย ปรากฏว่ากระแสตอบรับดีมาก เราเลยต้องย้ายร้านมาในซอยเจริญกรุง 26 ซึ่งใหญ่กว่าเดิม และเปิดที่นี่จนมาถึงตอนนี้” สุจิตราเล่าย้อนถึงจุดเริ่มต้นของร้านให้เราฟัง


“ร้านเราเป็นร้านที่มีอาหาร ขนมหวาน และเครื่องดื่มที่นับว่าเป็นงานคราฟต์ เพราะเราทำเองทุกขั้นตอน อย่างตัวพาสตาเส้นสดเราก็ทำเส้นเอง ซอสก็เป็นสูตรที่เราคิดค้นขึ้นมาเองจากรสชาติที่ชอบ เราจะเน้นให้ทุกองค์ประกอบในจานเป็นวัตถุดิบที่ปลอดภัย ไม่มีสารเสริมเติมแต่ง” เจ้าของร้านอธิบายเพิ่มถึงความตั้งใจของร้านด้วยความมุ่งมั่น
ไม่เพียงแค่เส้นสดหรือซอสที่สุจิตราลงมือทำเองเท่านั้น เธอยังบอกอีกว่า โปรตีนในเมนูต่างๆ เธอก็ทำเองอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นเบคอน ไส้กรอก และสโมกแซลมอน ที่รับรองได้เลยว่าทุกอย่างที่เสิร์ฟถึงมือลูกค้าไปนั้นจะเป็นรสชาติโฮมเมดแบบแท้ๆ และปลอดภัย
ส่วนเมนูของหวานอย่างเค้กและเครื่องดื่มต่างๆ สุจิตราก็ทำเองเช่นกัน ตั้งแต่การขึ้นรูปเค้กไปจนถึงตกแต่งเค้ก ทำให้เค้กของที่นี่มีเอกลักษณ์มาก อย่างชีสเค้กของร้าน เธอจะใช้วิปครีมวาดตกแต่งหน้าเค้กเป็นภาพน้องแมวดำในสถานที่ต่างๆ ซึ่งทำให้เราเหมือนได้ชมงานศิลปะบนจานอาหารที่เธอตั้งใจทำออกมาด้วย โดยเมนูเค้กนั้นจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนทำออกมาไม่ซ้ำในแต่ละวัน ทำให้ลูกค้าที่แวะมาประจำได้ชิมเค้กไม่ซ้ำกันเลย แต่ถ้าใครชอบเค้กรสชาติไหนเป็นพิเศษก็สั่งซื้อล่วงหน้าได้

และด้วยความเป็นเอกลักษณ์ของเมนู Mad Sugar Bakery&More ช่วงนี้สุจิตรากำลังเริ่มทำสตูดิโอสำหรับสอนทำอาหาร ซึ่งในตอนนี้จะเป็นการรับสอนแบบไพรเวตไปก่อน เนื่องจากเธอต้องจัดการและดูแลร้านเพียงคนเดียว แต่ในอนาคตมีแพลนเปิดรับสอนอย่างเป็นทางการแน่นอน
เมนูแนะนำของร้าน ฝั่งพาสตาเส้นสดจะเป็น Bacon Spinach Pesto และ Smoked Salmon Lemon Cream Gnocchi บอกเลยว่ารสชาติแต่ละจานเข้มข้นมาก ส่วนขนมเค้กเป็น Macadamia Cheesecake และเครื่องดื่ม Craft Cola

Mad Sugar Bakery&More
วันทำการ : วันพุธ-วันจันทร์ เวลา 11.00 – 21.00 น. (ปิดวันอังคาร)
พิกัด : ซอยเจริญกรุง 26
แผนที่ : maps.app.goo.gl/bPtMe7HzXCLihyGa8
ช่องทางติดต่อ : Mad Sugar Bakery&more