ทำไมคนเราถึงต้องเดินบนฟุตพาท?
แล้วทำไมรถถึงต้องวิ่งบนถนน?
นับว่าเป็นประวัติศาสตร์มากว่า 100 ปี ที่การใช้ชีวิตของเราบนท้องถนนเปลี่ยนไป เพราะเมื่อก่อน ‘ถนน’ เปรียบเสมือนพื้นที่สาธารณะสำหรับผู้คน ทั้งการตั้งหาบเร่ค้าขาย หรือการเดินเตร็ดเตร่ รวมถึงรถลากที่ผ่านไปมา ทั้งหมดนี้ล้วนแต่ใช้ประโยชน์บนถนนเส้นหลัก จนเรียกได้ว่า ‘คน’ เป็นเจ้าของถนนมากกว่าปัจจุบัน
ซึ่งเมื่อก่อน ‘ยานพาหนะต้องระวังคน ไม่ใช่คนต้องระวังยานพาหนะ’ แต่สมัยนี้แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะไม่หันซ้าย-ขวาเพื่อมองรถ และยังต้องข้ามถนนในที่ทางที่วางไว้
แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ ‘รถ’ กับ ‘คน’ ต้องแยกทางกันอย่างชัดเจน?
| อะไรคือ ‘Jaywalking’
คำว่า ‘Jaywalking’ เป็นคำที่มีต้นกำเนิดปี 1920 ในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมาจากโฆษณาชวนเชื่อที่ทำขึ้นโดยอุตสาหกรรมยานยนต์ เพื่อใช้เรียกการข้ามถนนซี้ซั้ว ไม่ว่าจะเป็นการข้ามตรงบริเวณห้ามข้าม หรือการข้ามไม่รอสัญญาณไฟ
โดยคำว่า ‘Jay’ เป็นคำเก่าแก่สื่อถึงคำว่า บ้านนอก ไม่รู้เรื่อง ส่วนคำว่า ‘Walk’ คือ การเดิน ซึ่งพอเอามารวมกันจะให้หมายความว่า การเดินข้ามถนนอย่างไม่ระมัดระวัง หรือข้ามถนนอย่างผิดกฎหมาย ที่ใช้คำว่า Jaywalking เป็นการเปรียบเทียบว่าเหมือนคนบ้านนอกที่ไม่รู้ว่าจะต้องเดินในเมืองอย่างไรให้ปลอดภัย ถ้าเปรียบเป็นคำไทยก็คล้ายๆ กับคำว่า ‘บ้านนอกเข้ากรุง’ แถมยังเป็นคำที่รุนแรงในสมัยนั้นมากๆ
| รถยนต์ = ซาตาน
เมื่อ ‘ปีเตอร์ นอร์ตัน’ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย ผู้เขียนหนังสือ ‘The Dawn Of the Motor Age in the American City’ ระบุว่าช่วง ค.ศ. 1920 ก่อนที่จะมีการถือกำเนิดรถยนต์ขึ้นมา ถนนเป็นพื้นที่สาธารณะสำหรับคนเดินเท้า พ่อค้ารถเข็น รถลาก หรือแม้แต่เป็นสนามวิ่งเล่นของเด็ก
แต่หลังจาก ‘รถยนต์’ เริ่มเข้ามามีบทบาทมากเท่าไหร่ ตัวเลขผู้เสียชีวิตก็พุ่งสูงมากเท่านั้น จนทำให้สาธารณชนส่วนใหญ่ไม่พอใจ และมองว่าเครื่องจักรเคลื่อนที่เปรียบเสมือน ‘ผู้บุกรุก’ ถนนสาธารณะมากกว่า และก่อนที่จะมีกฎจราจรบัญญัติไว้อย่างจริงจัง ผู้พิพากษามักตัดสินให้ ‘ผู้ขับขี่ยานพาหนะ’ ถูกตั้งข้อหา ‘ฆาตกรรม’ ทันที โดยไม่ได้คำนึงถึงบริบทและสถานการณ์ที่เกิดเหตุเท่าที่ควร
| สู้มา สู้กลับ
หลังจากยอดเสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างไม่ปรานี ทำให้นักเคลื่อนไหวที่ต่อต้านรถยนต์ ต้องการให้เกิดมาตรการบังคับ ‘กำหนดความเร็ว’ ของรถยนต์ทุกคัน โดยในปีเดียวกันนั้น หนังสือ ‘Illustrated World’ เขียนเอาไว้ว่า
‘รถยนต์ทุกคันควรติดตั้งอุปกรณ์รักษาความเร็ว โดยความเร็วที่ใช้ได้ขึ้นอยู่กับเมืองที่เจ้าของรถอาศัยอยู่’
แต่จุดเปลี่ยนกลับเกิดขึ้นในปี 1923 เมื่อชาวเมืองซินซินนาติ (Cincinnati) จำนวน 42,000 คน ตัดสินใจลงนามคำร้อง เพื่อต้องการจำกัดความเร็วรถยนต์ทุกคันอยู่ที่ 25 ไมล์/ชั่วโมง (40 กิโลเมตร/ชั่วโมง) ซึ่งตัวแทนจำหน่ายรถต่างตื่นกลัวกับคำร้องนี้ จึงส่งจดหมายไปหาเจ้าของรถทุกคันในเมืองให้ร่วมด้วยช่วยกัน ‘โหวต No’ เพื่อต่อต้านมาตรการดังกล่าว
เพราะผลกระทบที่เกิดขึ้นกับธุรกิจยานยนต์คือ ถ้ามีการจำกัดความเร็วขึ้นจริง ย่อมทำให้การขายรถยนต์ได้ยากกว่าเดิมเป็นแน่ และยังมีกลุ่มขายรถยนต์จากเมืองดีทรอยต์ (Detroit) มารวมตัวช่วยกันต่อต้านกฎของซินซินนาติด้วย นอกจากนี้ พวกเขายังเรียกร้องให้มีการปรับเปลี่ยนกฎหมาย โดยให้ใช้กฎจราจรแทนการใช้กฎหมายจารีตประเพณี (Common law) แถมยังให้แนวคิด ‘Jaywalking’ ถูกยัดลงไปในกฎเหล่านี้ด้วย
เรียกว่ากฎหมายจราจรถูกออกแบบมาให้ความสำคัญกับรถยนต์มากกว่า กลายเป็นไม่ได้มาสร้างความสมานฉันท์ แต่เหมือนเป็นการทะเลาะ ‘สู้มา สู้กลับ’ มากกว่า เพราะถึงแม้คำร้องเรื่อง ‘กำหนดความเร็ว’ จะล้มเหลว แต่อุตสาหกรรมยานยนต์ที่ตื่นตูมก็หันมาตำหนิคนเดินเท้ามากกว่า
| แก้ปัญหา Jaywalking?
ความจริงแล้วเรื่องกฎหมายจราจรที่ออกมาเพื่อให้คนเดินถนนไม่เดินซี้ซั้วสะเปะสะปะ ถูกเสนอมาตั้งแต่ปี 1912 โดยแคนซัสซิตี้ (Kansas City) เป็นเมืองแรกที่ผ่านข้อกฎหมายให้คนข้ามถนนตรงทางม้าลาย ซึ่ง ‘เฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์’ รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ในขณะนั้น พยายามผลักดันกฎหมายโดยใช้กรณีศึกษาจากกฎหมายควบคุมการจราจรในเมืองลอสแอนเจลิส (Los Angeles) จนกลายเป็น ‘Model Municipal Traffic Ordinance (รูปแบบคำสั่งการจราจรเทศบาล)’ ถึงแม้จะมีการผ่านกฎหมายจราจร แต่ท้ายที่สุด อุตสาหกรรมยานยนต์ต่างต้องประสบปัญหาเพราะไม่มีใครทำตามกฎสักเท่าไหร่
รวมไปถึงการรณรงค์ในรูปแบบต่างๆ ที่ให้คนข้ามถนนอย่างถูกที่และถูกต้อง อย่าง AAA ที่ตั้งใจทำแคมเปญออกมา แต่สิ่งที่ตลกร้ายก็คือ โปสเตอร์ที่ปล่อยออกมานั้น บางส่วนสื่อให้เห็นว่ามีการเยาะเย้ยเด็กที่ไม่ปฏิบัติตามกฎ และหลายคนมองว่าถ้าอยากให้ปฏิบัติตามกฎหมายจราจร มันมีหลายวิธีที่ดีกว่าการประชดประชันความเป็นพลเมืองของคน
ถึงแม้คำว่า ‘Jaywalking’ จะมีความหมายเชิงลบและน่ารังเกียจในช่วงแรก แต่มันก็กลายเป็นคำเดียวที่องค์กรด้านความปลอดภัย และตำรวจเริ่มใช้อย่างเป็นทางการ สุดท้ายคำว่า Jaywalking และแนวคิดที่ว่า ‘เจ้าของถนนคือรถยนต์ ไม่ใช่คน’ ก็กลายเป็นสิ่งที่ประสบความสำเร็จ เพราะมันเปลี่ยนความหมายของ ‘ถนน’ จากอดีตมาจนถึงปัจจุบันต่างไปอย่างสิ้นเชิง
ปัจจุบัน ในหลายๆ เมือง จากหลายๆ ประเทศ มีการบังคับใช้กฎหมายจราจรอย่างเข้มข้น สั่งปรับคนที่ข้ามถนนอย่างผิดกฎหมายประมาณ 190 – 250 ดอลลาร์สหรัฐ (ราวๆ 6,000 – 8,000 บาท) เลยทีเดียว
Sources :
BBC
Citylab
Merriam – Webster
Vox