นอกจาก ‘กีฬา’ จะเป็นยาวิเศษแล้ว กีฬายังเป็นเครื่องมือหนึ่งในการสร้างชาติอีกด้วย
ที่ผ่านมาประเทศไทยเคยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมกีฬาโอลิมปิกมาแล้วทั้งหมด 2 ครั้ง ทั้งการเสนอเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก ปี 2008 และยูธโอลิมปิก ปี 2010 แต่ก็ต้องคว้าน้ำเหลว เนื่องด้วยความไม่พร้อมในด้านต่างๆ
แต่ความหวังยังไม่หมดไป หลายครั้งเราจึงเห็นคนบนโลกออนไลน์ออกมาถกเถียงกันในประเด็นนี้อยู่บ่อยๆ ว่า แล้วเราต้องทำอย่างไร ประเทศไทยถึงจะเป็นเจ้าภาพจัดงานกีฬาของมวลมนุษยชาติกับเขาสักครั้ง
เช่นเดียวกับ ‘จอม-ปภัสสร นพไพบูลย์รัตน์’ นิสิตจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่มองว่าการจัดมหกรรมกีฬาระดับโลกเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการพัฒนาเมือง ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาและกระตุ้นการพลิกฟื้นของเมืองได้ จนเกิดเป็น ‘The Bangkok 2040 Summer Olympics’ ธีสิสออกแบบวางผังและจัดทำแผนพัฒนาเมืองสู่การเสนอตัวมหกรรมกีฬากรุงเทพฯ โอลิมปิกในปี 2040
กีฬาสร้างคน คนสร้างชาติ
จอมเล่าว่า จุดเริ่มต้นที่ทำให้ตนตัดสินใจทำธีสิสในหัวข้อเกี่ยวกับโอลิมปิกเกิดขึ้นเพราะสไลด์วิชาเรียนเกี่ยวกับการออกแบบเมืองในช่วงชั้นปีที่ 4 เพียงสไลด์เดียวที่พูดถึง ‘คน กิจกรรม และเมือง’
“ผมคิดว่าโอลิมปิกเป็นคำตอบสำหรับการพัฒนาเมืองที่เป็นไปได้และอิมแพกต์มากที่สุด เพราะการจัดมหกรรมกีฬาระดับโลกเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการพัฒนาเมืองที่ช่วยแก้ไขปัญหา กระตุ้นการพลิกฟื้นของเมือง และขับเคลื่อนเมืองได้”
เมื่อได้หัวข้ออย่างเป็นทางการ และหาข้อมูลไปได้ประมาณหนึ่ง จอมก็พบว่าความจริงแล้ว ประเทศไทยเคยยื่นเป็นเจ้าภาพในการจัดแข่งขันไปแล้วทั้งหมด 2 ครั้ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จเพราะมีความไม่พร้อมในหลายๆ ด้าน
ในความไม่พร้อมนั้นแบ่งปัญหาหลักออกมาได้ 3 ด้าน คือ 1) ความไม่พร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน 2) ขาดการสนับสนุนและผลักดันจากภาครัฐ 3) โครงสร้างพื้นฐานทางการกีฬาที่มีอยู่ไม่เพียงพอ
“ผมคิดว่าไทยในตอนนี้มีความพร้อมขึ้นแล้วในระดับหนึ่ง ทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคม รวมถึงการที่คนในเมืองให้ความสำคัญเรื่องผังเมืองมากขึ้น เลยทำให้เราเห็นภาพความเป็นไปได้มากขึ้น แต่ถ้าได้เป็นเจ้าภาพจริงๆ ก็คงต้องพัฒนากันอีกพอสมควรเลย” จอมเล่าถึงที่มาที่ไปที่ทำให้ตนตัดสินใจเลือกทำธีสิสออกแบบวางผังและจัดทำแผนพัฒนาเมืองสู่การเสนอตัวมหกรรมกีฬากรุงเทพฯ โอลิมปิกในปี 2040 ในชื่อ ‘The Bangkok 2040 Summer Olympics’
ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมถึงเลือกจัดโอลิมปิกในปี 2040 นั้น จอมบอกกับเราว่า เพราะตัวธีสิสอ้างอิงจากกฎของทางโอลิมปิก ที่หากจะยื่นจัดงานต้องใช้ระยะเวลาเตรียมความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพ 12 ปี
ระเบิดฟอร์มที่ท่าเรือคลองเตย
หลังจากได้หัวข้อธีสิสอย่างเป็นทางการ ก็ถึงเวลาหาสถานที่เหมาะๆ สำหรับจัดมหกรรมระดับโลกนี้สักที
“จริงๆ ต้องบอกว่าความตั้งใจแรกคืออยากออกแบบการจัดโอลิมปิกในหลายๆ พื้นที่ หลายๆ จังหวัด” จอมเล่าถึงไอเดียตั้งต้น
หลังจากลองหาข้อมูลสถานที่ในประเทศไทย ทำให้จอมพบว่ามี 6 จังหวัดที่มีศักยภาพและความเป็นไปได้ในการจัดโอลิมปิก ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี เชียงใหม่ สงขลา นครราชสีมา และขอนแก่น แต่เมื่อนำแต่ละจังหวัดข้างต้นมาเปรียบเทียบกันก็พบว่า ‘กรุงเทพฯ’ มีความพร้อมมากที่สุด
“สุดท้ายที่เลือกหยิบกรุงเทพฯ มาออกแบบ เพราะกรุงเทพฯ มีความเหมาะสมในหลากหลายด้าน ทั้งพื้นที่ โครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจ สภาพสังคม ความปลอดภัย และการเดินทาง รวมถึงในกรุงเทพฯ เองก็มีสนามกีฬาเดิมที่สามารถใช้งานได้ประมาณสิบห้าสนาม และมีสนามที่รองรับการแข่งขันนานาชาติได้ถึงสี่สนาม”
และถึงแม้จอมจะบอกว่า ธีสิสนี้หยิบเอากรุงเทพฯ มาออกแบบ แต่ความเป็นจริงแล้ว เมื่อเจาะลงไปคือการออกแบบพื้นที่ ‘ท่าเรือคลองเตย’ โดยหยิบเอาโมเดลการออกแบบพื้นที่เพื่อรองรับโอลิมปิกของโตเกียว บาร์เซโลนา และลอนดอนมาปรับใช้
ส่วนเหตุผลที่เลือกท่าเรือคลองเตยก็เพราะท่าเรือแห่งนี้เป็นที่ดินผืนใหญ่ที่อยู่ภายใต้การดูแลของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียรายเดียว นั่นคือ ‘การท่าเรือแห่งประเทศไทย’ ที่แม้ปัจจุบันจะจัดการได้ยาก เนื่องจากเป็นที่ตั้งของชุมชนแออัดและติดถนนเพียงด้านเดียว นั่นคือ ถนนพระราม 4 แต่ในขณะเดียวกัน พื้นที่นี้ก็มีศักยภาพสูงจากหลายๆ องค์ประกอบ ทั้งจากการพัฒนาที่ดินด้วยโครงการ Mixed-use ในแนวถนน และตำแหน่งพื้นที่ที่เชื่อมพื้นที่ศูนย์กลางเศรษฐกิจที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นสีลม สาทร และสุขุมวิท
ด้วยเหตุนี้ จอมจึงเลือกพื้นที่ท่าเรือคลองเตยมาเป็นโจทย์ โดยคำนึงถึงเทรนด์ในอนาคตว่า พื้นที่แห่งนี้จะกลายเป็นพื้นที่มูลค่าสูง และเป็นหนึ่งในแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ ที่ปัจจุบันซุกปัญหาเมืองที่รอการแก้ไขจำนวนมาก
เตรียมพร้อมสู้ศึกเป็นเจ้าภาพ
ขึ้นชื่อว่าโครงการออกแบบวางผังและจัดทำแผนพัฒนาเมืองสู่การเสนอตัวมหกรรมกีฬากรุงเทพฯ โอลิมปิกในปี 2040 ธีสิสนี้จึงไม่ได้โฟกัสอยู่แค่พื้นที่การจัดงาน แต่เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมพื้นที่สำหรับจัดงาน ในระหว่างการจัดงาน และการจัดการพื้นที่หลังจบงาน
เริ่มจาก ‘Pre-Game Mode’ ที่จะแบ่งระยะเวลาในการเตรียมการทั้งหมดออกเป็น 3 ช่วง คือ 1 – 2 ปีแรกจะเป็นช่วงของการสร้าง ‘New Infrastructure’ วางโครงสร้างพื้นฐานใหม่ภายในพื้นที่ ตั้งแต่การวางโครงระบบถนนใหม่ด้วยการจัดตั้งกองทุน IFF วางตำแหน่งพื้นที่สีเขียว ปรับแนวรถไฟฟ้าเข้ามายังพื้นที่โดยใช้โครงสร้างทางด่วนเดิม และเปลี่ยนทางด่วนจากบนดินเป็นใต้ดิน
“การเชื่อมรถไฟฟ้าสายใหม่เข้ามาในพื้นที่ ผมใช้โมเดลเดียวกับของลอนดอน โดยใช้โครงสร้างเดิมของทางด่วน เชื่อมต่อการเดินทางจากดอนเมืองหรือสุวรรณภูมิเข้ามาปลั๊กอินที่ท่าเรือคลองเตยได้โดยตรง รวมถึงเชื่อมต่อไปยังหลายพื้นที่ของกรุงเทพฯ ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นสาทร มักกะสัน หรือธนบุรี” จอมอธิบายเสริม
ถัดมาจะเข้าสู่เฟสของการย้ายชุมชนเดิม ด้วยการสร้าง ‘New Social Housing’ ในลักษณะชุมชนแนวตั้ง 2 ตึกที่สามารถรองรับประชากรได้ประมาณ 18,800 คน เพื่อแก้ปัญหาชุมชนแออัดและความจนเมือง รวมถึงสร้าง ‘Public Facilities’ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชนคลองเตยใหม่ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และสร้างสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ที่ดีในชุมชน ซึ่งจะใช้ระยะเวลา 3 – 6 ปีโดยประมาณ
จากนั้นถึงจะเข้าสู่เฟสของการเตรียมพื้นที่ไซต์เพื่อจัดการแข่งขันโอลิมปิกประมาณ 8 – 10 ปี เริ่มจากการสร้าง ‘Olympic Stadium’ ที่รองรับความจุ 72,000 คน โดยใช้วิธี ‘Land Concessions’ หรือการเปิดสัมปทานพื้นที่ในบางส่วน เพื่อนำเงินหมุนเวียนมาพัฒนา เตรียมความพร้อมสำหรับจัดงาน
เริ่มการดวลอย่างเป็นทางการ
“ถ้าเปรียบเทียบ ผมก็เหมือน ‘เซียร์’ (Seer) ในบอร์ดเกมแวร์วูล์ฟ ที่ต้องคาดเดาว่าเทรนด์ในปี 2040 จะเป็นยังไง ซึ่งผมมองว่ากรุงเทพฯ ในตอนนั้นน่าจะเป็นเมืองที่เปิดรับความหลากหลายของวัฒนธรรม นำไปสู่การเป็น Entertainment Hub ใหม่ในระดับโลกได้ คอนเซปต์โอลิมปิกที่ตั้งไว้จึงเป็น ‘Infinite possibilities, one destination’” จอมอธิบายถึงไอเดียหลักของคอนเซปต์ที่ตนตั้งไว้
หรือพูดอีกนัยก็คือ พื้นที่นี้จะเป็นพื้นที่เปิดรับโอกาสที่หลากหลายได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะทำให้พื้นที่ท่าเรือคลองเตยเป็นจุดเริ่มต้นไปสู่พื้นที่ศูนย์กลางใหม่ของกรุงเทพมหานคร
แต่ลำพังการออกแบบเพื่อรองรับการจัดโอลิมปิกเพียงอย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบหลังการจัดงาน อาจไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก เพราะการออกแบบเมืองแต่ละครั้งต้องคำนึงถึงการใช้งานระยะยาวและสถานการณ์หลังจากนั้นด้วย
“การจัดงานใหญ่สักครั้ง จะเกิด Urban Legacy หรือมรดกจากการจัดงานที่คงเหลือไว้ให้กับเมืองตามมา ซึ่งถ้าไม่มีการจัดการส่วนนี้ สิ่งที่เราก่อขึ้นอาจส่งผลกระทบในทางลบได้เหมือนกัน การวางแผนที่ดีว่าจะใช้งานยังไงต่อไปจึงมีความสำคัญไม่แพ้กัน”
ด้วยเหตุนี้ ธีสิสของจอมจึงวางแผนยาวไปถึงหลังการแข่งขันโอลิมปิกจบ ทำให้ Game & Post Game Mode มีการวางการพัฒนาเชิงกลยุทธ์ไว้ทั้งหมด 6 ข้อ ดังนี้
1) เชื่อมต่อโครงข่ายการเดินทางสาธารณะระดับเมืองทั้งภายในและภายนอกพื้นที่
2) สร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานสีฟ้าและสีเขียว กระจายความเชื่อมโยงสู่เมือง
3) สนามกีฬาที่รองรับการใช้งานอย่างยืดหยุ่น และมีพื้นที่เปิดโล่งที่รองรับการใช้งานอย่างหมุนเวียน
4) พื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจหลักและการพาณิชย์ใหม่ของเมืองที่เปลี่ยนแกนพัฒนาของย่านโดยรอบ
5) ย่านที่อยู่อาศัยที่ส่งเสริมความหลากหลายของกลุ่มคนและการใช้ชีวิต
6) ศูนย์รวมความบันเทิงและย่านหลากหลายวัฒนธรรมที่จะสร้างประสบการณ์และโอกาสพิเศษให้กับทุกคน
หากทำได้ตามนี้ ท่าเรือคลองเตยหลังการจัดโอลิมปิกจะกลายเป็นพื้นที่โอกาสแห่งใหม่ของเมือง และทำหน้าที่เป็นฟันเฟืองตัวแรกที่สร้างประโยชน์จากการพัฒนาเมืองเพื่อการแข่งขันโอลิมปิก
เมืองผงาดหลังโอลิมปิกจบ
“ถ้าทำตามโมเดลของผมได้จริง ผมคิดว่าอย่างแรก ท่าเรือคลองเตยจะได้รับการยกระดับ คนในเมืองมีที่อยู่อาศัยใหม่ใกล้ที่ทำงาน รวมถึงคนที่อยู่ในพื้นที่อาศัยเดิมก็จะได้รับการยกระดับคุณภาพชีวิตขึ้นด้วย”
เพราะนอกจากจะได้ที่อยู่อาศัยใหม่ใกล้เมืองแล้ว การสร้างย่านธุรกิจและการพาณิชย์ใหม่ในช่วงการแข่งขันยังเป็นการสร้างแหล่งงานใหม่ให้กับคนในชุมชน ที่จะเปลี่ยนแกนพัฒนาของเมืองและย่านโดยรอบ ช่วยยกระดับเศรษฐกิจควบคู่ไปด้วย
แถมการเปิดพื้นที่ท่าเรือคลองเตยในครั้งนี้ จอมบอกกับเราว่า อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่เราจะได้รับคือการที่กรุงเทพฯ จะได้พื้นที่สาธารณะสีเขียวกลับมาเป็นจำนวนมาก
“ตอนนี้กรุงเทพฯ มีพื้นที่สีเขียวค่อนข้างน้อยและเข้าถึงได้ยาก การเปิดพื้นที่ตรงนี้จะทำให้เราได้ป่าในเมืองเพิ่ม ทั้งในส่วนของการเปิดพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาและพื้นที่สีเขียวที่มีขนาดใหญ่เทียบเท่าหรือมากกว่าสวนเบญจกิติ เกิดเป็นระบบนิเวศใหม่ขึ้น” เจ้าของธีสิสวางภาพอนาคตในแบบที่ตนอยากจะเห็น
“เราเชื่อว่า ถ้าเมืองมีการจัดการที่ดี ยังไงก็สามารถยกระดับเมืองได้อยู่แล้ว” จอมทิ้งท้าย
‘Paris Olympics 2024’ คือมินิซีรีส์คอนเทนต์จาก Urban Creature ที่จะพาไปเตรียมตัวกับการแข่งขันมหกรรมกีฬาระดับโลก ผ่านการเล่าถึงเรื่องราวเบื้องหลัง ไอเดีย และโปรเจกต์สนุกๆ ที่เกี่ยวข้องกับมหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติ