• ปารีสติดหนึ่งในทุกโพลสำรวจเมืองที่คู่รักอยากไปฮันนีมูนมากที่สุด และได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘เมืองโรแมนติก’ ด้วยประวัติศาสตร์ศิลปะ บทกวี และวัฒนธรรม
• การออกแบบทางเท้าในปารีส คือการสร้างบรรยากาศที่จูงใจให้คนเมืองออกมาทำกิจกรรมนอกบ้าน ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรม ร้านค้า สวนสาธารณะ และ ไฟส่องสว่าง
• นักวิจัยปริญญาเอกสาขาจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัย Emory เผยว่า ‘การเดิน’ ช่วยสร้างความสนิทสนมมากกว่านั่งโต๊ะคุยกัน และผลการศึกษาพบว่าแม่และลูกที่เดินในสวนสาธารณะรู้สึกแฮปปี้กว่าเดินในห้างฯ
“ชอบตัวเองตอนเดินข้างเธอ”
วลีฮิตสำหรับคนกำลังเริ่มมีความรักที่แต่ก่อนไม่เคยเข้าใจความหมายนี้สักเท่าไหร่ จนกระทั่งตอนเดินไปกับเขา คนที่ก่อนหน้านี้ยังไม่เคยสนิทกัน แต่กลายเป็นคนรู้ใจเมื่อพวกเราใช้เวลาเดินกลับบ้านร่วมกัน ซึ่งมันไม่ใช่สถานที่สวยหรูอะไร แต่เป็นเพียงแค่ทางเท้าที่กว้างสบาย แสงไฟส่องสว่างปลอดภัย และบรรยากาศของต้นไม้และดอกไม้ที่ช่วยสร้างฉากโรแมนติกแบบเรียบง่ายและสร้างรอยยิ้มกลับไปด้วยเช่นกัน
ถ้านี่คือฉากหนังระหว่างฉันและเขา นักแสดงสมทบในเรื่องนี้คงเป็น ทางเท้า ต้นไม้ อากาศ และแสงไฟที่ทำให้ทุกอย่างลงตัวไปเสียหมด ซึ่งโปรดิวเซอร์ในเรื่องนี้คงเป็นนักออกแบบเมืองที่ตั้งใจสร้างทางเท้าขึ้นมาอย่างมีความหมาย เช่น เชื่อมการเดินทางให้สะดวกสบายมากขึ้น เพื่อลดการใช้รถยนต์ และกระตุ้นการค้าขายในพื้นที่ ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ของคนเดินที่เกิดขึ้นอาจจะไม่ใช่เป้าหมายหลักของการดีไซน์ แต่แน่นอนว่ามันคือผลพลอยได้ที่ทำให้เรารู้สึกมีความสุขในการใช้ชีวิตในเมือง
หากพูดถึงเรื่องการเดินกับความรักก็จะคิดถึงหนังรักในตำนานอย่าง ‘Before Sunrise’ ที่มีภาคต่อตามมาอย่าง Before Sunset และ Before Midnight ซึ่งจุดเริ่มต้นเป็นเรื่องราวของหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่บังเอิญพบกันบนรถไฟ และพวกเขาตัดสินใช้เวลาหนึ่งคืนเดินเล่นรอบเมืองด้วยกัน โดยระหว่างทางทั้งคู่ต่างทำความรู้จักซึ่งกันและกันจนเกิดเป็นความผูกพันที่ยากจะลืมลง แต่สิ่งที่น่าสนใจของเรื่องนี้ นอกจากความสัมพันธ์ของพระเอกนางเอกที่สนิทกันมากขึ้นแล้ว ยังชวนสงสัยอีกว่าอะไรเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาสามารถเดินเล่นในเมืองทั้งวันได้ไม่รู้จบอย่างนี้
อย่างโลเคชันในเรื่องคือเมืองเวียนนา ประเทศออสเตรีย พวกเขาสามารถเดินเที่ยวทั้งวันโดยไม่พึ่งพารถยนต์เลยสักคัน ด้วยสภาพแวดล้อมที่น่าดึงดูดและกิจกรรมมากมาย อย่างตอนที่เดินเล่นในเมืองชมพิพิธภัณฑ์ ตกเย็นไปสวนสนุกแถมขึ้นชิงช้าสวรรค์ชมพระอาทิตย์ตก ตอนค่ำไปกินข้าวแล้วเดินเล่นริมแม่น้ำ และนั่งคุยกันในสวนสาธารณะก่อนจะแยกจากกัน ซึ่งทั้งหมดใช้เวลาแค่วันเดียวที่อยู่ด้วยกัน แต่สร้างความสัมพันธ์ที่ไม่มีวันลืม
อีกเรื่องโปรดที่น่าประทับใจ ‘Midnight in Paris’ หนังรักแนวแฟนตาซี ที่เริ่มเล่าจากพระเอกเดินเล่นเพียงลำพังอยู่ในปารีส จนกระทั่งถึงเวลาเที่ยงคืนเสียงระฆังเกิดดังขึ้น เขาได้ย้อนเวลากลับไปในยุค ค.ศ. 1920 ช่วงสมัยศิลปะรุ่งเรืองในปารีส เขาได้พบกับศิลปินระดับตำนานมากมาย รวมทั้งได้เดินเล่นกับสาวสวยคนหนึ่งที่ทำให้เขาตั้งตารอคอยทุกหลังเที่ยงคืนเพื่อที่จะเจอเธออีกครั้ง
ความน่าหลงใหลของเรื่องนี้ เป็นบทสนทนาที่พระเอกกับนางเอกเดินคุยกันในปารีสตอนกลางคืน ด้วยแสงไฟสลัวทั่วเมือง พร้อมบรรยากาศสุดโรแมนติกด้วยเสียงเพลง ศิลปะ บทกวี และทิวทัศน์ของปารีส อย่างหอไอเฟล ร้านค้า และทางเดินยาวตลอดทั้งเส้น จึงไม่แปลกใจที่พระเอกกับนางเอกจะมีความรู้สึกดีๆ ให้กันเป็นพิเศษ
“I can never decide whether Paris is more beautiful by day or by night.”
ผมตัดสินใจไม่ได้เลย เพราะปารีสสวยทั้งตอนกลางวันและกลางคืน
Movie : Midnight in Paris
หลังจากได้ดูหนังจิกหมอนอยู่ที่บ้าน จนครั้งหนึ่งได้มีโอกาสไปเยือนปารีสกับเขาบ้าง ความใฝ่ฝันก็อยากมีโมเมนต์ประทับใจแบบนี้บ้างสักครั้ง เพราะปารีสได้รับฉายาว่าเป็น ‘เมืองโรแมนติก’ และมันก็จริงอย่างที่ใครๆ ก็ลือกัน ด้วยปารีสเป็นดินแดนแห่งยุคศิลปะคลาสสิกมาเนิ่นนาน สังเกตได้จากบรรยากาศรอบข้างในเมือง ล้วนเต็มไปด้วยศิลปะทุกแขนงที่ทุกคนสามารถเข้าไปเสพความงามได้อย่างทั่วถึง
ไม่ว่าจะเป็นประติมากรรมบนเสาอาคาร สะพานข้ามแม่น้ำหรือตึกสถาปัตยกรรม เช่น หอไอเฟล (Tour Eiffel) พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Musée du Louvre) ถนนช็องเซลีเซ (Champs-Élysées) หรือแม้จะเป็นบ้านคนธรรมดาก็มีลวดลายที่สวยงาม จึงทำให้เมืองปารีสมีสีสันมากมายชวนให้คนได้ออกไปสัมผัสอยู่เสมอ
นอกจากปารีสจะมีของดีอยู่ในตัวแล้วทั้งประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ มิวเซียม สถาปัตยกรรม และแลนด์มาร์กต่างๆ ก็ไม่ควรทิ้งไว้บนหิ้ง ต้องหาทางให้คนเข้าไปเสพได้ง่าย ด้วยทางเท้าที่สามารถเดินเชื่อมถึงกันได้ทั้งเมือง อย่างแหล่งท่องเที่ยวบนถนนช็องเซลีเซก็จะมีฟุตพาทที่กว้างเป็นพิเศษ เพราะมีคนสัญจรมากมาย เพราะนอกจากนักท่องเที่ยวจะมาชอปปิงแล้วยังเตรียมมาถ่ายรูปกับประตูชัยฝรั่งเศส (Arc de triomphe) แลนด์มาร์กสำคัญของปารีสอีกด้วย
หรือจะเป็นซอยเล็กๆ ในมงมาร์ต (Montmartre) ย่านศิลปะเล็กๆ ที่เป็นแหล่งรวมตัวของศิลปิน ถึงแม้ว่าทางเท้าจะแคบแต่ก็สามารถเดินได้ไม่ต้องกังวลอันตรายจากรถยนต์ ด้วยการดีไซน์ถนนที่ปูด้วยวัสดุบล็อกหิน ซึ่งเป็นมิตรต่อคนเดินมากกว่า เพราะยานพาหนะที่ผ่านเข้ามาต้องชะลอความเร็วสักนิดก่อนจะออกไป รวมทั้งยังมีเสาหินเล็กๆ ที่ทำตัวเป็นระเบียงกั้นไม่ให้รถเข้ามาใกล้ชิดคนเดินเกินไปอีกด้วย
สิ่งหนึ่งที่ปารีสกลายเป็นเมืองโรแมนติกอย่างเต็มตัว คือ แสงไฟที่ส่องสว่างในยามค่ำคืน รวมถึงไฟตามอาคารและสถานที่สำคัญที่ชวนให้เราอยากเดินตามทางไปเรื่อยๆ มันคือแสงสีส้ม (Warm white) ที่ให้ความรู้สึกนวลอบอุ่น มองแล้วรู้สึกสบายตา และยังช่วยสร้างความผ่อนคลายอีกด้วย สังเกตได้ว่าโรงแรมเป็นส่วนใหญ่มักจะใช้แสงสีนี้ จึงไม่แปลกใจหากเราจะเดินชมเมืองได้อย่างเพลิดเพลินจนลืมเวลา
และสาเหตุสำคัญที่ทำให้เราเดินบนทางเท้าได้อย่างไม่บ่นเหนื่อย เพราะตลอดทางมีสถานที่เที่ยวให้แวะชมได้อยู่ตลอด อย่างตอนเราไปพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ก็เดินตามถนนหลัก Rue de Rivoli แล้วเดินตรงมาเรื่อยๆ ก็จะถึงถนนช็องเซลีเซและไปถ่ายรูปที่ระลึกกับประตูชัยฝรั่งเศสสักหน่อย โดยทั้งหมดเป็นระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร ซึ่งถ้าเทียบกับบ้านเราต้องมีปาดเหงื่อขอเรียกแท็กซี่แน่นอน
แต่ที่ปารีสเราสามารถเดินได้ไกลขนาดนี้ เพราะรอบข้างมีสิ่งน่าสนใจหลายอย่างที่จูงใจให้คนเดินต่อได้เรื่อยๆ อย่างมิวเซียมศิลปะที่บางวันก็มีจัดอีเวนต์ หรือเป็นวันที่เข้าไปชมศิลปะได้ฟรี ย่านชอปปิงที่มีร้านค้ามากมาย เดินข้ามสะพานก็จะเจอหอไอเฟลอยู่ลิบๆ เป็นฉากหลังที่ต้องหยิบกล้องมาถ่ายสักหน่อย หรือหากเมื่อยก็นั่งพักในสวนสาธารณะได้เลย รู้ตัวอีกทีก็มาจบอยู่ที่ปลายทางอย่างฟินๆ
นอกจากได้เชยชมความงามของเมืองแล้ว มิตรภาพระหว่างทางก็สวยงามไม่แพ้กัน เราไปปารีสกับเพื่อนตลอดทริปนั้นเป็นช่วงเวลาที่อยากเก็บไว้ในความทรงจำ พวกเราต่างพูดคุยต่างหัวเราะมากกว่าตอนอยู่ไทยด้วยกันเสียอีก แถมเอ็นจอยไปกับทุกอย่างรอบตัวที่เกิดขึ้น อย่างการเดินเล่นตอนกลางคืนไปถ่ายหอไอเฟล ซื้อผลไม้มานั่งปิกนิกในสวน และนั่งคุยกันบนทางเท้าสักที่หนึ่งเพื่อแชร์เรื่องราวของตัวเองกัน จนกลายเป็นว่าหลังจากทริปนั้นเรากับเพื่อนก็สนิทกันมากกว่าเคย
“เมื่อคุณเดินกับใครสักคน คุณจะรู้สึกผูกพันกันมากขึ้น”
ที่จริงแล้วความรู้สึกดีๆ จากการเดินไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะนักวิจัยปริญญาเอกสาขาจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัย Emory กล่าวว่าเมื่อเราเดินกับใครสักคนจะรู้สึกผูกพันกันมากขึ้น ซึ่งข้อดีของการเดินจะช่วยสร้างความสนิทสนมได้มากกว่าการนั่งโต๊ะเผชิญหน้ากัน เพราะระหว่างที่เดินทางร่วมกันจะให้ความรู้สึกว่า ‘คุณกำลังเผชิญโลกนี้ไปด้วยกัน’
การวิจัยยังบอกอีกว่าการเคลื่อนไหวทางร่างกายระหว่างเดินทางร่วมกัน นอกจากจะช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ได้รับฟังความคิดที่แตกต่างเพื่อที่จะเข้าใจกันมากกว่าเคยแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังส่งเสริมความรู้สึกสนใจคนเคียงข้าง เช่นเดียวกับความรู้สึกเมื่อเราชอบใครสักคน แถมยังเพิ่มความคิดในเชิงบวกและลดความเครียดได้อีกด้วย
นอกจากนี้นักวิจัยได้เผยเคล็ดลับการเดินที่มีความสุข มันเริ่มจากการ ‘ชวน’ จุดเริ่มต้นที่ดีในการทำความเข้าใจและยอมรับฟังกัน ซึ่งหากคนที่เราชวนตกลงที่จะไปด้วยกัน ก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ตอกย้ำว่าพร้อมที่จะเปิดประตูทำความรู้จักกันแล้ว และอีกข้อหนึ่งที่สำคัญคือการเลือกสถานที่เดินควรเป็นโลเคชันที่สบายใจ สามารถเดินได้อย่างเป็นธรรมชาติหรือคุ้นเคยกันอยู่แล้ว จะลดความฟุ้งซ่านและสร้างความส่วนตัวระหว่างคุยกัน มากไปกว่านั้นยังก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมากกว่าเดิม อย่างหนึ่งผลการศึกษาเผยว่าการเดินเล่นในสวนสาธารณะ 20 นาทีช่วยให้แม่และลูกรู้สึกดีมากกว่าไปห้างสรรพสินค้าเสียอีก
เพราะฉะนั้นก่อนที่จะมีความรู้สึกดีๆ เกิดขึ้นระหว่างเดินทาง พระเอกสำคัญที่จะช่วยให้เกิดสิ่งเหล่านี้ได้ คงต้องมีเรื่องการออกแบบ ‘เมือง’ มาเกี่ยวข้อง ซึ่งทุกคนต้องใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่ทุกวัน หากมันสามารถทำหน้าที่ของมันได้อย่างเต็มที่ อย่างทางเท้าที่เรียบทำให้เดินได้สะดวก แนวต้นไม้ที่ให้ร่มเงาและเป็นตัวกรองอากาศบริสุทธิ์ รวมทั้งทัศนียภาพของเมืองที่มีการควบคุมให้เป็นระเบียบ ทำให้เกิดวิวสวยน่ามอง กลายเป็นฉากหลังของชีวิตประจำวัน ที่ทำให้ชาวเมืองสามารถอยู่อาศัยในสภาพเเวดล้อมที่มีคุณภาพและสร้างโมเมนต์ประทับใจในชีวิตอย่างมีความสุข
‘Darling open up to me, let me walk you home’
เปิดใจของคุณ แล้วขอให้ผมเดินไปส่งคุณที่บ้านนะ
เพลง : Walk you home
SOURCE : https:// is.gd/6oJ3fe
Content Writer : Jarujan L.
Photographer : Napisa N., Peerasilp A.
Graphic Designer : Jirayu P.