บนโลกที่สิ่งแวดล้อมแย่ลงเรื่อยๆ คนใช้รถและหน่วยงานส่วนต่างๆ ทั่วโลกเลยเริ่มคิดกันจริงจังแล้วว่าการขับรถมีความจำเป็นกับชีวิตคนเราแค่ไหน
เมื่อวันที่ 19 กันยายน ชาวปารีสได้เดินลงท้องถนนเพื่อร่วมเฉลิมฉลองงาน ‘Paris respire sans voiture’ ที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 7 ด้วยโปรเจกต์ที่จะทำให้คนได้หายใจเอาอากาศสะอาดแบบไม่มีควันรถมากวนใจ ซึ่งนี่เป็นโครงการริเริ่มที่จะแปลงสถานที่ทั้ง Place de l’Étoile และ Avenue des Champs-Élysées ให้กลายเป็นเขตปลอดจากรถยนต์ตั้งแต่เวลา 11.00 – 18.00 น.
ในขณะเดียวกันศาลากลางกรุงปารีสก็ตั้งเป้าจะสร้างเขตพื้นที่จำกัดการจราจรในปีหน้า และจะขยายเวลาวันอาทิตย์ที่ถนนไร้รถยนต์ให้มากขึ้นด้วย ซึ่งการจราจรจะอนุญาตให้คนแค่บางกลุ่มที่จำเป็นต้องใช้ถนนจริงๆ เช่น ผู้อยู่อาศัยในย่าน คนขับรถแท็กซี่ หรือคนค้าขายเท่านั้น ส่วนประชาชนที่เหลือเดินทางได้ด้วยจักรยาน สกู๊ตเตอร์ ระบบขนส่งสาธารณะ หรือการเดินเท้าก็ได้
การขับเคลื่อนเหล่านี้จะทำให้เมืองสะอาดและน่าอยู่อย่างยั่งยืน เพียงใช้การจำกัดรถที่จะนำเข้าไปใช้ในบางพื้นที่ และนี่ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร เพราะเมืองอื่นๆ ทั่วยุโรปก็พยายามดำเนินโปรเจกต์ที่คล้ายๆ กัน แม้แต่ในเมืองเล็กๆ ในอังกฤษอย่าง Norwich ก็เอากับเขาด้วย
ไม่เพียงเท่านั้น เมือง Pontevedra ของสเปน ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของแคว้น Galicia ก็เริ่มใช้ถนนคนเดินทั้งในเมืองเก่าและในใจกลางเมือง ทั้งในปี 2542 และในปี 2554 เมืองนี้กลายเป็นเมืองแรกในโลกที่คิดค้นแผนผังที่รู้จักกันในนาม Metrominuto เพื่อกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวและผู้อยู่อาศัยเห็นความสำคัญของการเดินทางด้วยเท้าแทนการใช้รถ นับตั้งแต่นั้นมาโครงการก็ได้รับความนิยม และได้เปิดตัวตามเมืองต่างๆ ในทวีปยุโรป ตั้งแต่เมือง Poznań, Toulouse และ Zaragoza
ตัวอย่างที่ดีที่สุดของการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในปี 2550 ที่เมืองเล็กๆ ในยุโรปกลาง ชื่อลูบลิยานา เมืองหลวงของสโลวีเนียซึ่งได้ตีพิมพ์ ‘Vision 2025’ ข้อเสนอที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ชีวิตของคนกับเมืองสะอาด และยั่งยืนกว่าเดิม ลูบลิยานาจึงเลือกเป็นเมืองปลอดรถยนต์มานานกว่าทศวรรษ เพราะงั้นน่าจะถึงเวลาส่งออกโมเดลดีๆ แบบนี้ไปยังเมืองอื่นๆ ได้ และในอนาคตอันใกล้นี้ โมเดลจะถูกนำไปใช้ในเมืองอื่นๆ ทั่วยุโรปจริงๆ
ข้อเสนอของลูบลิยานาเกิดขึ้นเพื่อการสร้างมหานครที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม เปลี่ยนใจกลางเมืองให้เป็นพื้นที่ปลอดรถยนต์ สนับสนุนถนนคนเดิน ปรับปรุงโครงการปั่นจักรยาน และขนส่งสาธารณะ จัดการมลภาวะทางเสียงและการปล่อยแก๊ส ซึ่งสุดท้ายทำได้จริง และในที่สุดปี 2559 คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) ได้แต่งตั้งให้ลูบลิยานาเป็นเมืองหลวงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของทวีป
ทว่าโปรเจกต์นี้ ก็ยังมีชาวสโลวีเนียบางส่วนไม่พอใจอยู่ดีเพราะ ‘มีการประท้วง’ Saša Poljak Istenič นักวิชาการ ผู้เขียนบทความเกี่ยวกับผลกระทบที่ถนนคนเดินมีต่อเมืองหลายชิ้นกล่าวว่า “ผู้อยู่อาศัยกลางเมืองคิดว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะทำให้กลับเข้าบ้านยาก เราจึงมีการโต้เถียงในประเด็นนี้หลายครั้ง แต่ Zoran Janković นายกเทศมนตรีในขณะนั้น ไม่ยอมแพ้เมื่อเผชิญการต่อต้าน จนชาวเมืองค่อยๆ ปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงและนำกิจวัตรใหม่ๆ มาปรับใช้ให้เข้ากับชีวิตประจำวัน พวกเขาเปลี่ยนรถยนต์เป็นปั่นจักรยานหรือใช้บริการขนส่งสาธารณะกันมากขึ้น”
หนึ่งในความยากและความท้าทายหลักที่ทีม Vision 2025 ต้องเผชิญคือการพยายามทำให้ Slovenska Cesta ถนนสายหลักที่ตัดผ่านใจกลางย่านท่องเที่ยวของลูบลิยานาให้เป็นเสมือนห้องนั่งเล่น เพราะในปี 1993 ถนนได้รับการคุ้มครองให้เป็นอนุสาวรีย์มรดกทางวัฒนธรรมของชาติ และมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของเมืองมาช้านาน
ห้องนั่งเล่นที่ว่าคือการเปรียบเปรยถนนที่เปลี่ยนมาใช้รถแบบไฟฟ้าแทนรถที่ใช้น้ำมัน ส่งเสริมการใช้จักรยาน และใช้การขนส่งสาธารณะที่มีในเมืองอยู่แล้ว ซึ่งเมืองนี้ยังได้เปิดตัว ‘Kaviar’ ยานพาหนะไฟฟ้าขนาดเล็กที่ใช้งานได้ฟรีและเรียกใช้งานได้อย่างง่ายดาย
แม้มีความกังวลช่วงตั้งต้นเกี่ยวกับความยั่งยืนของการปิดส่วนต่างๆ ภายในเมืองจากยานพาหนะส่วนตัว ผู้ว่าบางคนยังคงโต้แย้งว่าการไม่มีรถยนต์จะนำไปสู่ความสะอาด และเป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้น Istenič มีความเห็นว่า “เป็นเวลากว่าทศวรรษแล้ว ที่ไม่มีใครจินตนาการถึงรถยนต์ที่จะกลับมาในใจกลางเมืองอีกครั้งได้”
Istenič ยืนกรานว่าหน่วยงานท้องถิ่นอื่นๆ ที่กำลังมองเมืองลูบลิยานาเป็นแบบอย่างสำหรับเมืองปลอดรถยนต์ในอนาคต ต้องคำนึงถึงการต้องสรุปให้ผู้อยู่อาศัยรู้อย่างชัดเจนว่าแผนการที่จะทำกันทั้งหมดคืออะไร และทำไมต้องทำ” เธอกล่าว “คนจะลังเลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในตอนแรก แต่สถานการณ์จะง่ายขึ้น ถ้าคนได้ตระหนักถึงข้อดี”
ด้วยดีกรีรางวัล The Green Capital ในปี 2559 ซึ่งยืนยันอย่างชัดเจนว่า โครงการนี้ได้สร้างสภาพแวดล้อมที่อบอุ่นสำหรับนักท่องเที่ยวและผู้อยู่อาศัย ทุกคนมีพื้นที่สำหรับการเข้าสังคมหรือออกกำลังกายเพิ่มขึ้น และนี่จึงแสดงให้เห็นว่าเมืองสามารถเป็นช่วงเวลาที่สวยงามให้กับชีวิตของผู้คนได้ หากออกแบบอย่างเข้าใจและใส่ใจจริงๆ
Source : Vice