‘สยาม-ราชเทวีที่รัก’ ฟังเรื่องย่านจากปากเจ้าถิ่น - Urban Creature

เมื่อพูดถึงย่าน ‘สยาม-ราชเทวี’ หลายคนอาจไม่ค่อยคุ้นเคยกับย่านนี้สักเท่าไหร่ เราจึงพามาทำความรู้จักกับย่านนี้ให้มากขึ้น รู้หรือไม่ว่า สี่แยกราชเทวีเคยมีสะพานข้ามคลองชื่อว่า ‘สะพานพระราชเทวี’ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเขตราชเทวีในปัจจุบัน สะพานนี้เป็นสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก มีลูกกรงเป็นปูนปั้น สร้างข้ามคลองประแจจีน ในปัจจุบันจะอยู่บริเวณถนนพญาไทก่อนเข้าถนนเพชรบุรี โดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิตพระราชโอรส (ต้นราชสกุลบริพัตร) ราวๆ ปี พ.ศ. 2454 แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายที่หลังจากนั้นไม่นานเมื่อคลองประแจจีนถูกถม สะพานพระราชเทวีก็ถูกรื้อออกไป

เพื่อถมคลอง ขยายถนน และสร้างเป็น ‘วงเวียนน้ำพุราชเทวี’ ขึ้นมาในช่วงปี พ.ศ. 2503 – 2504 ทำให้แยกราชเทวีในอดีตนั้นเป็นวงเวียนที่มีจุดเด่น คือ ‘น้ำพุ’ ขนาดใหญ่ที่รายล้อมด้วยดอกไม้จากต่างประเทศนานาชนิด และในเวลากลางคืนจะมีการเปิดไฟหลากสีสันยิ่งเพิ่มความสวยงามให้น้ำพุโดดเด่นจนเป็นแลนด์มาร์คสำคัญ ที่กลายเป็นจุดนัดพบ และจุดถ่ายภาพยอดนิยมของบรรดาหนุ่มๆ สาวๆ วัยเก๋าในสมัยนั้น

แต่ในเวลาต่อมาเมื่อถนนมีความจำเป็นต้องขยายตัว วงเวียนแห่งนี้ก็ถูกรื้อถอนออกแปลงสภาพเป็นสี่แยก แต่ยังคงสภาพของน้ำพุไว้เหมือนในอดีตที่มุมทั้งสี่ของทางแยก นอกจากเป็นย่านที่ประกอบไปด้วยอาคารสําคัญหลายแห่งแล้ว ย่านนี้ยังเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจที่มีชื่อเสียงในแต่ละยุค เช่นโรงภาพยนตร์ ย่านที่พักอาศัย ห้างร้านต่างๆ เราจึงพาคุณมาสัมผัสเรื่องราวจาก 3 มุมมอง 3 ไลฟ์สไตล์ของเจ้าถิ่นย่านสยาม-ราชเทวีตัวจริงเสียงจริง

มาเริ่มกันที่ผู้บริหารสาวจาก ‘โรงแรมหัวช้าง เฮอริเทจ’
คลื่นลูกใหม่ที่น่าจับตามองกับเส้นการทำธุรกิจและเรื่องราวความผูกพันกับย่านราชเทวี
จะเป็นอย่างไรนั้นตามไปอ่านบทสัมภาษณ์พร้อมๆ กันเลย

บุ๋ม-จารุจิต ใบหยก | ผู้บริหารคลื่นลูกใหม่แห่งโรงแรมหัวช้าง เฮอริเทจ

| ก้าวแรกของการทำธุรกิจ

ตอนแรกก็เริ่มจากเป็นเด็กฝึกงานที่โรงแรม ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัวอยู่แล้ว และเราก็มองเห็นทุกแผนกซึมซับไปเรื่อยๆ แต่ตอนนั้นยังไม่จริงจังว่าเราจะอยู่จุดไหนดี ก็มาช่วง 5 ปีหลังที่รู้ตัวแล้วว่าจะทำอะไรตรงไหน เพราะว่าที่บ้านมีกันอยู่ 4 คนพี่น้องตอนนี้ก็แบ่งกันค่อนข้างชัดเจนว่าใครดูแลอะไร อย่างบุ๋มจะช่วยกันกับน้องอีกคนที่ชื่อบุ๊กในส่วนของการพีอาร์อีเว้นท์ พวกสเปเชียลอีเว้นท์ หรืออีเว้นท์ที่ทำเป็นประจำทุกปี เช่น ปีใหม่ สงกรานต์ รับปริญญา ก็จะดูในจุดนั้นเป็นหลัก

| กว่าจะเป็น ‘โรงแรมหัวช้าง เฮอริเทจ’

ตอนแรกเลยโรงแรมนี้จะสร้างแถวริมแม่น้ำนะ แต่บังเอิญได้ที่ตรงนี้พอดีซึ่งพื้นที่มันดีมากๆ ก็เลยย้ายมาตรงนี้เลย จนถึงตอนนี้โรงแรมหัวช้างก็เปิดมาประมาณ 6 – 7 ปีแล้ว เพราะด้วยความที่สะพานหัวช้างมีประวัติการก่อสร้างมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 พวกตัวตึกจะเป็นสไตล์นี้หมดเลย เราก็เลยนำสะพานหัวช้างมาเล่นกับการออกแบบตกแต่งด้วยด้านในเราตกแต่งแบบโมเดิร์นส่วนตัวตึกด้านนอกจะค่อนข้างหรูหรา ที่เลือกผสมผสานการตกแต่งระหว่าง 2 สไตล์นี้เพราะเราอยากให้คนที่มาพักรู้สึกอยู่สบาย เพราะบางทีรู้สึกว่าถ้ามันย้อยยุคเกินไปมันจะดูทางการไปหน่อย ถ้าดูตามประวัติศาสตร์ตอนนั้นจะเริ่มมีการรองรับแขกบ้านแขกเมืองแล้ว การตกแต่งมันก็เลยเริ่มมีการนำเอาสไตล์ยุโรปมาปรับใช้กันตั้งแต่นั้นมา เราก็เลือกที่จะเอาตรงนี้มาใช้กับที่โรงแรมด้วย ถึงโรงแรมของเราจะเป็นแบบ Small Luxury Hotels แต่เวลาลูกค้าเข้ามาใช้บริการเนี่ยเราไม่อยากให้รู้สึกเกร็งเลย ว่าจะต้องแต่งตัวมาเต็มแต่งหน้ามาแน่นเพื่อมาที่นี่ อยากให้มาแล้วรู้สึกสบายๆ มากกว่า

| ความผูกพันที่ไม่จางหายไป

จริงๆ บุ๋มย้ายมาอยู่ที่ราชเทวีนานมากแล้วนะ เพราะว่าตั้งแต่ตอนเรียนก็เรียนสาธิตจุฬาฯ มหาวิทยาลัยก็เรียนที่จุฬาฯ ชีวิตก็วนเวียนอยู่ย่านนี้ตลอดจะเรียกว่าความผูกพันก็ได้ เพราะเราเป็นคนติดกาแฟมาก หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าย่านนี้ร้านกาแฟก็เยอะมากเหมือนกัน แต่เรารู้ เราชิน แบบจะแวะจอดตรงนี้นะ หรือบางทีถ้ารีบๆ ก็ยังแวะซื้อตรงนี้ได้อะไรประมาณนี้ แล้วอย่างช่วงเวลาเร่งด่วน เราก็มูฟไปขึ้นรถไฟฟ้าได้แบบชิลล์ๆ เลยทุกอย่างมันง่ายไปหมด ความรู้สึกเหมือนกับราชเทวีเป็นบ้านไปแล้ว

| นิยามความเป็น ‘ราชเทวี’

สำหรับบุ๋มความรู้สึกเหมือนมันเคลื่อนไหวตลอดเวลา มันมีสีสัน มันไม่น่าเบื่อเลย ซึ่งมันก็ไม่ได้วุ่นวายตลอดหรอก อย่างพอเราออกไปข้างนอกมันก็มีมีโน่นนี่นั่น แต่พอเรากลับมาที่บ้าน มันก็จะเหมือนเราตัดขาดจากโลกภายนอกไปเลย ซึ่งมันดีมากๆ มันก็เหมือนกับการเลือกคอนโด หรือที่อยู่อาศัยมันต้องเป็นที่พักผ่อนจริงๆ พอเราก้าวเท้าออกนอกบ้าน ราชเทวีมันก็พร้อมให้เราใช้ชีวิตแล้วมันมีทุกอย่าง แสงสี มีร้านนั่ง กิน ดื่ม คือทุกอย่างมันโอเคเลย

| ไลฟ์สไตล์แบบนี้ที่ใช่

บุ๋มเป็นคนชอบเดินนะเพราะย่านนี้รถค่อนข้างติด ซึ่งราชเทวีคนเดินเยอะมาก ไม่ได้เปลี่ยวแถมมันมีอะไรให้ดูตลอด อย่างเวลาเพื่อนมาก็พาลงรถไฟฟ้า แล้วก็พาไปนั่งเรือข้างหลังตรงที่เป็นคลองแสนแสบ คือชอบมากมันแบบอะเมซิ่งสุดๆ ที่มันมีคลองตรงนั้น แถมมีคาเฟ่ มีสตรีทอาร์ตด้วยเวลาว่างก็จะชอบไป

| ราชเทวีกับการทำธุรกิจ

ต้องบอกว่าย่านนี้มีทุกอย่างทั้งการคมนาคมที่สะดวก เพราะมันเป็นจุดศูนย์กลางของหลายๆ อย่าง นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ชอบมากคือมันไม่ไกลจากแลนด์มาร์ค พวกจุดช้อปปิ้งเดินทางแปบเดียวก็ถึงแล้ว พอทุกอย่างมันครบถ้วนสะดวกสบาย มันก็ทำให้ธุรกิจของเราพัฒนาตามไปด้วย

| การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

บุ๋มรู้สึกว่าตอนนี้มันดีอยู่แล้วนะ อยากให้ปรับปรุงมากกว่า เหมือนกับว่าอะไรที่ดีอยู่แล้วก็ทำให้มันดีต่อไป อะไรที่ยังไม่ดีก็พัฒนาต่อ เช่น เรื่องภาพลักษณ์ของเมือง สิ่งแวดล้อม ขยะ พื้นที่แออัด ไม่อยากให้มันเละเทะ เพราะพอพื้นที่มันเริ่มพัฒนาคนก็เริ่มเยอะขึ้น การจัดการก็ต้องดีขึ้นด้วย แถวนี้เด็กๆ ก็เริ่มมาเยอะขึ้นนะ อาจจะเพราะมีคนมาเพ้นท์กำแพง พ่นกราฟฟิตี้กันอีกจุดหนึ่งที่เรียกคนได้เยอะเลยก็คือ Yelo House ซึ่งโซนข้างหลังก็มีนักท่องเที่ยวมาเยอะขึ้นจากที่เห็นเลยในช่วง 3 – 4 ปีมานี้ มาเดินเล่นชิลล์ๆ นั่งคาเฟ่ ถ่ายรูปเล่นอะไรแบบนี้

| 1 วันในย่านราชเทวี

ในหนึ่งวันเหรอ ช่วงเช้าก็จะเลี่ยงรถติดหน่อยออกประมาณ 9 โมง พารากอนเปิด 9.30 น. แวะซื้อกาแฟแล้วก็มาโรงแรม พอบ่ายๆ ก็จะเดินไปแถวนี้แหละ Casa Lapin , Yelo House พอเลิกงานแล้วก็จะออกจากโรงแรมไปออกกำลังกาย สักทุ่มสองทุ่มแล้วก็กลับบ้าน ส่วนใหญ่ก็จะวนลูปประมาณนี้ แล้วก็มีอีกที่ที่ชอบมากเวลามีเพื่อนหรือใครมาก็จะชวนกันไปหอศิลป์ฯ รู้สึกว่าจริงๆ หอศิลป์ดีมากนะ มันมีคุณค่ามาก ซึ่งตรงนั้นมันเป็นเหมือนพื้นที่ของการเชื่อมต่อต่างๆ เป็นจุดนัดเพื่อนของเราด้วย คือถ้าไม่นัดที่โรงแรมก็จะนัดที่หอศิลป์แทน ใครมาช้ามันก็มีที่รอเดินดูนู่นนี่ได้

จากเรื่องราวในมุมมองของนักธุรกิจ
คราวนี้เราลองมาเปลี่ยนบรรยากาศเปิดไลฟ์สไตล์กิน เที่ยวย่านสยามราชเทวี
ในแบบที่คุณอาจไม่รู้มาก่อน

ถ้าพร้อมแล้วออกเดินทางไปพร้อมๆ กัน 

คุณบิ๊ก-อริยะ จิรวรา | หนึ่งในหุ้นส่วนร้าน SOS กับไลฟ์สไตล์สุดคูลในย่านสยาม – ราชเทวี

| เส้นทางที่เลือก

ผมบิ๊ก-อริยะ จิรวราครับ ตอนนี้ที่ทำอยู่ก็จะเป็นผลิตภัณฑ์ยาพ่นจมูกนาซอลซึ่งเป็นธุรกิจของที่บ้าน แล้วก็มีธุรกิจที่ทำอยู่ของตัวเองเป็นมัลติแบรนด์สโตร์ชื่อ SOS กับ Sense ซึ่งในย่านนี้จะมีทั้งสาขาสยามแล้วก็เซนทรัลเวิล์ด ที่เลือกทำธุรกิจในย่านนี้เพราะตรงนี้มันค่อนข้างใจกลางเมือง ถ้าพูดถึงเรื่องการช้อปปิ้งก็คงหนีไม่พ้นสยามแหละ คือมันมาเป็นอันดับ 1 อยู่แล้ว

| นี่แหละสยาม – ราชเทวี

จริงๆ แล้วเราชอบโซนนี้มาก คือมันสะดวกและใจกลางเมืองเป็นย่านที่มีความหลากหลายเยอะมาก มีห้างตั้งไม่รู้กี่ห้าง ถ้าพูดถึงในเรื่องสุขภาพไม่ไกลกันก็มีโรงพยาบาลดีๆ หลายโรงพยาบาล อาหารก็มีให้เลือกเยอะเหมือนกัน จากถูกไปจนถึงแพงเลือกได้เลย วันนี้จะกินอะไรจะกินถูกหรือกินหรูหน่อยอะไรแบบนี้ อีกที่ผมไปบ่อยเลยคือวัดปทุมวนารามชอบมาก เป็น Hidden Gem ของตรงนี้เลย คือผมจะแบบไปนั่งสมาธิ ข้างในมันจะมีพื้นที่แบบสงบๆ อยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย เหมือนบางคนอยู่ใจกลางเมืองชีวิตวุ่นวายทุกอย่างมันเร็วไปหมด แต่มันก็ยังมีที่ให้เราไปพักเบรคชีวิตให้สงบลงได้เหมือนกัน หรือถ้าเราอยากจะซื้อของไม่ว่าจะเป็นของใช้จำเป็นหรือพวกชอปปิ้งแฟชั่นมันก็ใกล้มาก ถ้าเทียบกับบ้านผมปัจจุบันที่อยู่ชานเมือง พอจะเข้าเมืองแต่ละทีคือวุ่นวายมาก มันใช้เวลา 1 – 2 ชั่วโมงเลยนะ แต่ถ้ามาอยู่ตรงนี้แค่ 10 นาที ก็ถึงแล้ว มันก็ค่อนข้างตอบโจทย์ชีวิตคนในช่วงอายุแบบเราคนวัยทำงาน

| ส่วนผสมของชีวิตที่ลงตัว

ผมเป็นคนที่ใช้ชีวิตทวิสต์กันระหว่างสยามกับราชเทวี ซึ่งมันค่อนข้างตอบโจทย์ ผมว่ามันคือศูนย์รวมความเจริญทุกอย่างเลยนะ ส่วนตัวคิดว่าเหมาะกับช่วงวัยทำงาน หรือ First Jobber เป็นกลุ่มคนวัยทำงานที่ค่อนข้างมีไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิต ก็เหมือนกับทาร์เก็ตของ SOS ไม่ใช่แค่ช่วงอายุ แต่ต้องเป็นคนที่มีไลฟ์สไตล์ด้วย ซึ่งลูกค้า SOS เราค่อนข้างมีไลฟ์สไตล์ที่ชัดเจนเลยล่ะ

| เส้นทางของการเปลี่ยนแปลง

ที่เห็นอย่างแรกเลยคือย่านนี้เจริญมากขึ้นเรื่อยๆ มูลค่าของที่ดินมันก็สูงตาม คือมันเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องแหละ ที่ไม่ว่าจะขยายไปแค่ไหนก็ยังเป็นศูนย์กลางเหมือนเดิม ห้างสรรพสินค้าก็เยอะขึ้น หรูขึ้น ร้านอาหารก็เยอะขึ้น จากที่มีเยอะอยู่แล้ว มีพื้นที่ให้เราทำกิจกรรมเยอะขึ้นด้วย


| ภาพลักษณ์สะท้อนเรื่องราวมากมาย

ผมมองเห็นถึงพลังงานของคนหนุ่มสาวที่สามารถทำอะไรก็ได้ ซึ่งคนที่อยู่แถวนี้ต้องแอคทีฟ ไม่ค่อยหยุดนิ่งเท่าไหร่ ก็เหมือนกับย่านสยาม – ราชเทวี มันเป็นย่านที่ค่อนข้างหลากหลายมันมีส่วนผสมหลายอย่างอยู่ด้วยกัน ซึ่งมันก็ส่งเสริมซึ่งกันและกันด้วยนะ คือมันเป็นส่วนผสมที่ลงตัวเลย

| 1 วันในสยาม – ราชเทวี

ถ้าวันที่ไม่ยุ่งมากไม่ได้ทำงานก็จะออกกำลังกาย แล้วก็ชอบไปกิน(ขำ) กินหมดเลย ขอให้เป็นของอร่อยถูกแพงไม่เกี่ยงเลย มีทั้งคนอื่นแนะนำด้วย หรือร้านที่เรารู้จักอยู่แล้ว แบบบางทีมีคนพูดถึงกันเราก็ไปลอง ผมจะทำรายการตลกๆ อยู่ในสตอรี่ไอจีชื่อว่า ‘บิ๊กพาชิม’ คือจะพาไปร้านเด็ด หรือร้านตั้งแต่สมัยรุ่นคุณพ่อคุณแม่ คือมันไม่ใช่ร้านแพงนะ ร้านริมถนนก็กินหรือแบบร้านดังที่โอ้โหฮิตมาก เขาบอกว่ามันอร่อยมาก ผมก็ไปลองแล้วก็บอกว่ามันอร่อยไม่อร่อยอะไรยังไง คือตัดสินตามลิ้นของผมเลยแหละ ซึ่งแถวนี้ของกินเยอะมากอย่างตรงบรรทัดทอง สวนหลวงก็จะมีร้าน ‘เนื้อก๋วยเตี๋ยวรสดีเด็ด’ แต่ไม่ได้กินก๋วยเตี๋ยวนะ จะกินเนื้อลวกแบบเนื้อไม่อาบน้ำก็คือเด็ดมาก ต้องสั่งน้ำจิ้มพิเศษ ถัดมาหน่อยก็ร้าน ‘ฮกกี่’ เป็นร้านอาหารที่เก่าแก่มากร้านนี้ก็เด็ดเหมือนกัน หรืออย่างที่สยามดิสฯ ก็จะมีร้านที่ผมไปกินบ่อยๆ ชื่อ ‘เจมีส์ อิตาเลียน’ อันนี้ก็จะแบบบริการดี บรรยากาศดี อาหารดี กินแล้วมีความสุข

เสน่ห์ของกาลเวลาคือเรื่องราวที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น
มาสัมผัสกับเรื่องราวของทายาทรุ่นที่ 3 แห่งห้องเสื้อบรอดเวย์ ที่
จะมาเปิดมุมมองผ่านกาลเวลากว่า
80 ปี นั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลาไปด้วยกัน

ป่าน-ภาวันต์ หอมศิลป์กุล , แพร-สิริชนา หอมศิลป์กุล | ทายาทรุ่นที่ 3 จากห้องเสื้อบรอดเวย์ ความผูกพันที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น

| นี่แหละเราชาวบรอดเวย์

พวกเราคือทายาทรุ่นที่ 3 ของห้องเสื้อบรอดเวย์ครับ จริงๆ บรอดเวย์เปิดมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2483 หรือประมาณ 80 ปีที่แล้ว โดยคุณปู่ที่เป็นชาวฮ่องกงได้อพยพมาตั้งรกรากกันที่ประเทศไทย แล้วก็ย้ายมาอยู่ที่ย่านราชเทวีตอน พ.ศ. 2505 โดยสาขาแรกของเราอยู่ที่ถนนตีทอง สาขาที่สองคือตรงถนนเพชรบุรี แถวๆ ปากซอยเพชรบุรี 20 ที่เป็นเล้งนาฬิกาในปัจจุบัน แล้วถึงย้ายมาตรงที่อยู่ปัจจุบันนี้คือซอย เพชรบุรี 15

| เส้นทางธุรกิจจากรุ่นสู่รุ่น

คุณปู่และคุณพ่อเล่าให้ฟังว่า ตอนแรกที่อยู่ตรงถนนตีทอง เมื่อก่อนร้านเราจะอยู่ใกล้กับโรงหนังเฉลิมกรุง สมัยนั้นเรียกว่าเป็นย่านที่ฮิปมากๆ เพราะว่าคนในสมัยก่อนเวลาไปเที่ยวก็จะไปโรงหนัง ไปดูละคร ไปเที่ยวคลับ เขาก็จะแต่งตัวโก้ๆ ไปกัน เสร็จแล้วพอเปิดมาได้สักพักหนึ่ง ด้านถนนเพชรบุรีหรือราชเทวีก็เป็นย่านที่กำลังเกิดใหม่กำลังบูม สังเกตได้ว่ามันมีโรงหนังขึ้นมาหลายที่ เช่น พาราเมาท์ ฮอลลีวูด เมโทร มีอะไรหลายอย่างขึ้นมาพร้อมๆ กัน ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นของร้านนี้ ซึ่งราชเทวีตอนนั้นเป็นถนนเส้นใหญ่มาก เพราะจากย่านตีทองเจริญกรุงสมัยก่อนจะมี 4 เลน แต่ราชเทวีจะมีถึง 6 – 8 เลนเลยทีเดียว ถือเป็นถนนเส้นแรกที่เจริญแบบนั้นเลย

| ทำไมต้องบรอดเวย์

ชื่อนี้คุณปู่ตั้งให้มันมาจากถนน ‘Broadway’ ที่ Newyork ซึ่งย่านนั้นก็มีความคล้ายคลึงกับราชเทวีเหมือนกัน เพราะมีโรงหนังเหมือนกัน ซึ่งเมื่อพูดถึงบรอดเวย์ก็จะรู้ว่ามาที่นี่ทำไม ซึ่งคนที่นี่ก็จะมีเอกลักษณ์คือการแต่งตัวดี มีความโก้ ความเท่ ก็เลยเอาชื่อนี้มาเป็นชื่อร้าน ห้องเสื้อของเราเนี่ยจะเป็นสูทสำหรับผู้ชาย ที่มีแนวคิดและความตั้งใจที่จะมอบประสบการณ์การตัดเสื้อที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า และบรอดเวย์ของเราก็มีความแตกต่างจากที่อื่น คือเรามีทีมช่างตั้งสมัยคุณปู่ที่เป็นมาตรฐานของเราเอง ที่ใส่ใจรายละเอียดทุกขั้นตอน เรียกได้ว่าสูทหนึ่งตัวเราดูแลตลอดอายุการใช้งานเลย

| คุณค่าของย่านราชเทวี

ในย่านนี้เราจะเห็นได้ว่ามันมีวังเก่า คือมันเป็นพื้นที่ที่ไม่ใช่ใครๆ ก็มาครอบครองได้ถ้าไม่ได้ถูกส่งต่อจากตระกูลจากรุ่นสู่รุ่นอะไรแบบนี้ ซึ่งเราก็รู้สึกว่าความหรูหรา ความขลังของราชเทวีมันใกล้เคียงกับบรอดเวย์ เพราะมันเป็นอะไรที่ส่งต่อมาจากรุ่นคุณปู่ มาจนถึงรุ่นคุณพ่อแล้วก็ตัวผมเอง อย่างในเรื่องของสไตล์และคุณภาพเราจะเลือกใช้สิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า จริงๆ รายละเอียดการทำงาน เราจะใช้จักรน้อยมากส่วนใหญ่จะเป็นงานแฮนด์เมดเกือบ 100% ซึ่งมันค่อนข้างยากที่ในกระบวนการผลิตซึ่งเราก็ยังคงไว้เหมือนเดิมจนถึงตอนนี้

| ราชเทวีจากอดีตจนถึงปัจจุบัน

มันก็เห็นการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างเยอะ จากที่เรารู้สึกว่าเมื่อก่อนเป็นย่านที่อยู่อาศัย เพราะว่าชีวิตตอนเด็กบ้านเราก็อยู่แถวนั้น ก่อนที่จะย้ายมาตรงซอย 15 ก็อยู่ริมถนนเพชรบุรี เมื่อก่อนร้านสาขาเราก็อยู่ริมถนนเหมือนกัน เราก็ยังจำชีวิตวัยเด็กจำได้ว่าเราเดินตามพ่อแม่มาที่ร้าน ระหว่างทางก็จะมีร้านเช่าวิดีโอ ร้านขายของชำ ร้านทำขนม คือมันมีอะไรพวกนี้อยู่ซึ่งมันเป็นความทรงจำของเราตอนเด็ก พอนานไปประตูน้ำก็มา อยู่ๆ ก็มีแพลทตินั่ม เลยไปก็จะมีพารากอนที่หรูขึ้นมาหน่อย หรือจะไปถึงพวกชิดลมก็ไปได้ แล้วเราก็เห็นพวกคอนโดขึ้นมาด้วย ซึ่งมันก็พิสูจน์แล้วแหละว่าย่านนี้มันเจริญขึ้นมากจริงๆ แต่มันก็แฝงด้วยกลิ่นอายของพื้นที่ ข้าวมันไก่ประตูน้ำ ส้มตำเจ๊ก้อยซอย 5 ซึ่งสำหรับเราคิดว่ามันคือไลฟ์สไตล์ที่เหมาะสมสำหรับคนอยู่จริงๆ นะ เพราะมันครบหมดทุกรสชาติที่เราอยากได้

| การเลือกสูทสะท้อนความเป็นคุณ

น่าจะเป็นคนที่รู้ความต้องการของตัวเอง รู้ว่าข้อดีของตัวเองคืออะไร อะไรที่สามารถนำเสนอตัวเองได้ดีที่สุด ก็เหมือนกับการเลือกที่อยู่อาศัยเราก็ต้องเลือกให้เหมาะสมกับการใช้ชีวิตของเรามากที่สุดเช่นกัน


| ไลฟ์สไตล์ใน 1 วัน

ชีวิตส่วนใหญ่ก็จะอยู่ร้านเพราะว่าร้านก็คือบ้าน เราตื่นเช้ามาก็ทำงาน ถ้าไม่ต้องออกไปพบลูกค้าข้างนอก วันๆ ก็จะอยู่แต่ในร้านเลย หรือบางวันเราก็จะแวะไปออกกำลังกาย ขากลับก็จะแวะพารากอนซื้อของนู่นนี่แล้วก็กลับบ้าน เวลาอยากกินอะไรก็สั่งไลน์แมน เพราะช่วงละแวกบ้านเราค่อนข้างเป็นเซ็นเตอร์ก็คือสะดวกมาก ซึ่งอยู่ตรงกลางของร้านอาหารหลายๆ ที่เลย วันไหนอยากเปลี่ยนบรรยากาศแวะไปกินข้าวแถวสยามก็ใกล้มาก หรือบางทีเราอยากจะเดินมาขึ้นรถไฟฟ้าก็สะดวก คือเราจะไปไหนก็ได้เพราะระบบขนส่งตรงนี้มันซัพพอร์ตการใช้ชีวิตที่ง่ายไปหมด

เรื่องราวของย่านสยาม – ราชเทวี เป็นหนึ่งในย่านเก่าแก่ที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน ที่ปัจจุบันกลายเป็นย่านแห่งความเจริญรอบด้าน รวมถึงแหล่งที่อยู่อาศัยยอดฮิตของคนเมืองและหนึ่งในนั้นคือ ‘The Address Siam – Ratchathewi’ จากบริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด โครงการคอนโดมิเนียมหรูใจกลางย่านสยาม – ราชเทวี ใกล้กับห้างสรรพสินค้าหลายแห่ง โดยเฉพาะห้างสรรพสินค้าสุดหรูอย่างสยามพารากอน ไม่ไกลจากโรงพยาบาล และ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นอกจากนี้ยังมีธุรกิจห้างร้านต่างๆ มากมาย

นอกจากจุดเด่นในด้านทําเลและการออกแบบแล้ว ‘The Address Siam – Ratchathewi’ ยังเป็นการกลับมาในรอบหลายปีของแบรนด์คอนโดมิเนียมหรูที่เป็นดั่งตํานานของ AP ก็ว่าได้ จึงเป็นที่มาของโซเชียลแคมเปญ ‘The Elite Of Living Has Awakened’ หรือ “การปลุกวิถีชีวิตสุดหรูให้กลับมาเฉิดฉายอีกครั้ง มาร่วมสัมผัสประสบการณ์แห่งที่อยู่อาศัยครั้งนี้ไปพร้อมๆ กัน ที่ ‘The Address Siam – Ratchathewi’  รายละเอียดเพิ่มเติม https://bit.ly/2H5Yp9R


Photographer : Napat P.
Content Writer : Narisa S.
Graphic Designer : Jirayu P.

Writer

SEND YOUR STORY

REQUEST INTERVIEW

ติดตามอ่าน “Urban Creature”
นิตยสารออนไลน์ที่จะทำให้คุณรักเมืองที่คุณอยู่ รักตัวเองมากขึ้นด้วยการเปิดมุมมองและนำเสนอแนวทางการใช้ชีวิตอย่างสร้างสรรค์ และสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ในการใช้ชีวิต
Better Life. Better Living.

Max. file size: 256 MB.