Monsty Planet เจ้าของลายเส้นคาเฟ่และขนมสุดน่ารัก - Urban Creature

‘วาดรูป’ บางคนจัดหมวดให้เป็นเพียงวิชาหนึ่งในห้องเรียน มีบ้างที่ติดป้ายเป็นเพื่อนซี้ยามว่าง แต่สำหรับบางคน ยกให้การวาดรูปเป็น ‘ส่วนหนึ่งของชีวิต’ 

“เราว่าเราคงเลิกวาดรูปไม่ได้ ถ้าเราไม่ได้วาดรูป ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรกิน เราวาดรูปทุกวันจนมันเป็นส่วนหนึ่งไปแล้ว”

‘นัท-ณัชณิชา แก้วมังกร’ นักวาดภาพประกอบสาวเจ้าของลายเส้นยุกยิกน่ารักในนาม ‘Monsty Planet (มอนสตี้ แพลนเน็ท)’ ก็เป็นหนึ่งคนที่เลือกวาดฝัน และเขียนชีวิตให้มีความสุขด้วยการวาดภาพ เราจึงชวนนัทมาเดินเล่นย่านอารีย์ พร้อมแวะร้าน ‘Tham.Ma.Da’ เพื่อพูดคุยเรื่องวันวานสมัยเริ่มจับดินสอ จนกลายเป็นนักวาดภาพที่เพลินใจกับการขีดเขียนคาเฟ่ เครื่องดื่ม และขนมกระจุกกระจิก

| วันแรกเริ่มของการวาดภาพ 

นัท : เราวาดรูปตั้งแต่เด็ก แต่ก่อนยายเป็นคนเลี้ยง เพราะพ่อกับแม่เราทำงานประจำ เขาก็จะอยู่กับเรา บอกว่ามีกล่องสีให้นะ วาดรูปเล่นไหม แล้วยายเป็นช่างเย็บผ้าด้วย เขาก็จะวาดเป็นพวกตัวการ์ตูน โครงตุ๊กตา เราเลยได้วิชาวาดรูปจากยาย ก็เลยเริ่มมาตั้งแต่ตอนนั้น อีกอย่างคือเราชอบที่ครูจะถามว่า ตอนปิดเทอมไปเที่ยวไหนมา แล้วก็จะมีสมุดการบ้านเป็นช่องให้วาดสิ่งที่เจอ อันนั้นมันสนุกมากๆ เลยนะ

| คำพูดคนคือจุดเปราะบางที่ทำให้เกือบทิ้งศิลปะ

นัท : ตอนมัธยม ช่วงจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย เราไปเรียนติวเข้านิเทศศิลป์กับพี่ติว แต่กลับไปเจอคำพูดแรงๆ บอกว่า ‘เนี่ย เธอไม่ติดหรอก’  รู้สึกว่าตรงนั้นมันมีผลกับเรา เด็กในวุฒิภาวะตอนนั้นอะ มันเปราะบาง เลยคิดว่าลองไปทำอย่างอื่นดีกว่า ตอนนั้นเราหลงทางมาก ก็เลยไปเรียนติวเพิ่มหลายอย่าง ติวนิติศาสตร์ด้วยนะ คือยากมาก ไม่ได้เหมาะเลย (หัวเราะ) แต่สุดท้ายก็เลือกเข้าคณะมนุษยศาสตร์ เอกภาษาไทย เพราะถ้าเราไม่ชอบวาดรูป เราก็จะชอบอ่านหนังสือ มันเป็นสิ่งที่เราทำได้ดีอีกอย่างหนึ่ง

| ช่วงที่แพชชั่นวาดรูปถูกกระตุ้นกลับมาอีกครั้ง

นัด : เป็นช่วงที่เข้ามหาวิทยาลัยแล้ว มีงานเปิดหอพักนักศึกษา แล้วนิสิตคณะศิลปกรรมมาแสดงแฟชั่นโชว์ พอเห็นตรงนั้น เรารู้สึกว่า ‘เหย ! เจ๋งอะ เรามาทำอะไรตรงนี้วะ’ เราเริ่มอยากมีชีวิตมากกว่าที่เป็นอยู่ โชคดีที่ม.เรามีวิชาโทเรียนศิลปกรรมได้ เราเลยเรียนเอกไทย โทศิลปกรรม คือเราเป็นคนเดียวในเอก และในคณะที่ไปเรียนโทศิลปกรรม แต่มีเพื่อนต่างคณะนะ

พอไปเรียน มันมีจุดพีคที่วิชาเกี่ยวกับ branding แล้วมันต้องใช้คอมฯ ทำ จากที่เราไม่เคยวาดคอมฯ มาก่อน วาดไม่เป็น ก็ต้องไปจ้างพี่ที่รู้จักกันมาสอนที่บ้าน แล้วค้นพบว่า มันโคตรสนุก ก็วาดต่อมาเรื่อยๆ จนประมาณปี 3 เพื่อนเราบอกให้เปิดเพจ ให้คนอื่นดูบ้าง ก็เลยหาพื้นที่ทำเพจ แล้วอีกอันคือ พี่ที่คณะเขาแนะนำให้รู้จักกับกลุ่มนักวาดภาพประกอบ ซึ่งเขาจะมีกลุ่มเฟสบุ้ก แชร์งานงานวาดตัวเองลง เราเห็นคนทำงานหลายแบบ โพสต์งานวาดตัวเองบ้าง ก็เรียนรู้ และมีกำลังใจในการวาดรูปต่อ

ทำไมต้องชื่อ ‘Monsty Planet’

นัท : มันคือชื่อเมลเราสมัยตอนมัธยม (หัวเราะ) ตอนนั้นมีการ์ตูน Cookies Monster แล้วเราชอบมากๆ พอทำเพจเลยเอา monsty กับ planet มารวมกัน ให้มันเป็นพื้นที่ทำงานของเรา แต่ก็แอบคิดนะว่า แก่ไปเราจะเอาไปพรีเซนต์ยังไงวะ (หัวเราะ)

| ‘เจ้า Bobby’ คาแรกเตอร์คอร์กี้ตัวกลม

นัท : Bobby (บ๊อบบี้) เกิดจากเราอยากทำคาแรกเตอร์อะไรสักอย่างขึ้นมา เพราะว่าการมีคาแรกเตอร์ มันเหมือนเป็นตัวแทนเรา ซึ่งตอนแรกวาดหลายตัวมาก แต่ก็ยังไม่ทำสักที คือเรามองว่าคาแรกเตอร์มันเป็นแพชชั่นที่เราอินกับอะไรสักอย่าง เลยมานั่งคิดว่า เราอินกับอะไรมากที่สุด คำตอบที่ได้คือ น้องหมา เพราะบ้านเราเลี้ยง เลยเลือกเป็นหมาพันธุ์คอร์กี้ที่เราชอบ

| Bobby กับบทบาทพนักงานร้านเบเกอรี่

นัท : เราตั้งใจวางให้บ๊อบบี้เป็นหมาที่ทำงานในร้านเบเกอรี่ชื่อ Monsty Planet แต่ทีนี้มันบอกว่าอยากออกไปเปิดร้านเอง เป็น ‘Bobby Bakery’ มันก็เลยเข้ามาฝึกงาน เรียนรู้งานในนี้ก่อน คือเรามองมันแล้วคิดถึงตัวเองที่อยากไปทำอะไรที่เป็นของเรา ซึ่งตัวบ๊อบบี้เองเราทำคอลเลกชันต่างๆ ด้วย เช่น Hello Bobby ก็คือแนะนำอุปนิสัย ชอบนอน ชอบกินแพนเค้ก หน้ามันก็จะกวนๆ หน่อยหรือ Bobby Back to School ไปโรงเรียน แต่งเป็นลูกเสือ เราอยากเติบโตไปพร้อมกับบ๊อบบี้

| เพลินไปกับการวาดคาเฟ่ เครื่องดื่ม และขนมกระจุกกระจิก

นัท : เอาจริงๆ มันเริ่มจากเราชอบกิน จะพูดยังไงให้ตัวเองดูดีอะ (หัวเราะ) อีกอย่างคือแม่เราทำขนมอยู่แล้ว เป็นโฮมเมดเบเกอรี่ มีบราวนี่ บลูเบอร์รีชีสเค้ก หรือพายแอปเปิ้ล แล้วเราชอบบรรยากาศเวลามานั่งคาเฟ่มาก บางทีเราได้ยินเรื่องต่างๆ ผ่านหู มันทำให้เราคิดว่า ‘มันมีชีวิตแบบอื่นที่ไม่ใช่แบบที่เราเป็น ทำไมเราต้องมานั่งทุกข์ขนาดนี้วะ ทั้งทีบางทีคนอื่นเขามีเรื่องหนักกว่าเราให้คิด’ ไปคาเฟ่มันจะได้อะไรพวกนี้ อย่างคาเฟ่แถวอารีย์ โดยเฉพาะร้าน ‘Tham.Ma.Da’ เรามาบ่อยมาก เพราะมันเป็นร้านที่เงียบ ยิ่งถ้าเป็นวันธรรมดาจะยิ่งเงียบมาก เราเลยชอบนัดมาคุยงานที่นี่ มาหาไอเดีย หรือวาดรูป แล้วคุณป้าเจ้าของร้านก็น่ารักมาก

| มาเดินย่านอารีย์บ่อย จนอยากขอเปลี่ยน ‘ทางเท้า’

นัท : เอาจริงๆ อารีย์เนี่ย พื้นไม่เรียบเลยนะ (หัวเราะ) คือเราเดินแล้วหน้าแหกบ่อยมา ตอนเดินมาก็สะดุดไป (หัวเราะ) คือเราว่าอารีย์มันดีมากเลยนะ ที่มันมีต้นไม้แทรกตามมุมต่างๆ อย่างเราเดินมาก็เจอต้นเฟื่องฟ้า เป็นมุมที่สวยอะ เลยอยากปรับให้พื้นมันเดินง่าย อีกอย่างคือเราเพิ่งกลับมาจากไต้หวัน เราเห็นเขาพาหมาไปเดิน เอนจอยด์กับการจูง หรือพาน้องใส่รถเข็นไปที่ต่างๆ คือเรารู้สึกว่ามันดีมาก อยากให้กรุงเทพฯ เป็นแบบนั้นด้วย ให้คนมีความสัมพันธ์กับหมา พามันไปนั่นนี่ได้ แต่คือพื้นมันควรจะน่าเดินไง

| เปิดประสบการณ์ พาความฝันไปวาดในโลกกว้าง

นัท :  มันเริ่มจากตอนเราไปงาน ART GROUND ปีที่แล้ว ต้องบอกก่อนว่าเราเป็นคนกลัวการออกบูธมากอะ เพราะกลัวคิดตังไม่ถูก (หัวเราะ) ซึ่งตอนนั้นเรามีโอกาสได้เจอ ‘พี่ธร’ จากแซลมอนบุ๊คส์ พี่เขาชวนก็ไปทำหนังสือ อีเวนต์นี้เลยเป็นจุดเริ่มที่ทำให้เรากล้าไปต่างประเทศ กล้าไปอีเวนต์อื่นๆ

เราอยากจะบอกทุกคนที่ทำงานแบบเราว่า การพาตัวเองไปต่างประเทศมันเป็นเรื่องที่ดีโคตรๆ คือที่เราเคยไป ‘Unknown Asia Art Exchange Osaka’ อีเวนต์นั้นเราได้เพื่อน เหมือนเปิดโลก ได้เห็นคนทำงานเจ๋งๆ ยิ่งคุณออกไปเยอะเท่าไหร่คุณจะรู้ว่าเราตัวเล็กลง คือคนที่ไม่รู้อะไรเลย แล้วพอไปเจอเราจะรู้เลยว่า เราขาดตรงนี้ เราดีตรงนี้ แล้วเอากลับมาพัฒนา

“ทุกครั้งที่ขึ้นเครื่องบินกลับ ในหัวมันคิดแค่ว่าเมื่อไหร่จะถึงกรุงเทพฯ อยากกลับไปทำงาน เพราะเรามีภาพสเกตช์ในหัวเต็มไปหมดเลยว่ากลับมาจะต้องทำแบบนี้ๆ”

| ไทยแลนด์ยังคงขาดความเข้าใจ และการให้คุณค่างานศิลปะ

นัท : เรารู้สึกว่า คนไทยยังไม่เข้าใจค่าของงานศิลปะ เขาไม่เข้าใจว่า กว่าเราจะวาดรูปหนึ่งรูป เราใช้กี่ชั่วโมงในการพัฒนาตัวเองเพื่อจะมาเป็นวันนี้ เราเสียไปเยอะมาก วาดแล้วลบทิ้ง มันไม่ใช่ว่าวาดเดี๋ยวก็ได้แล้ว แล้วคือคนไทยไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวความเป็นมาของตัวละครนั้นๆ หรือเบื้องหลังการทำงาน เขาจะคิดแค่ว่า ก็แค่คุณวาดภาพหรือเปล่า ใครๆ ก็วาดได้ เราโดนบ่อยมากเวลาออกบูธ บางทีเราขายโปสการ์ด 50 บาท แล้วมีคนมีอายุมาซื้อ เขาจะถามเราว่าปึ๊งนี้ 50 บาทเหรอ เขาก็จะแบบทำไมขายแพงจัง คนไทยชอบต่อราคางานศิลปะ เราไปต่างประเทศไม่เคยเจอต่อราคาเลย จะมีก็แบบโปรโมชั่น 3 ชิ้น 100 ชอบก็ซื้อ

มีคนถามเราว่า เราทำงานอะไร เราก็ตอบว่านี่ไง ‘เราวาดรูปขาย’ คนที่ถามก็แบบ ไม่ๆ งานจริงๆ อะ เราก็แบบงานจริงๆ คืออะไร ก็นี่ไง เพื่อนเรายังเคยถามเลย ยิ่งทัศนคติของคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ยิ่งยาก เมื่อก่อนเขาก็ไม่เข้าใจว่าเราจะอยู่ได้จริงๆ เหรอ แต่ตอนหลังพ่อแม่เราก็ปรับมากขึ้น

| เพิ่มความเข้าใจให้ไทยเห็นคุณค่างานศิลป์

นัท : การจะทำให้คนไทยเห็นคุณค่าของงานศิลปะมากขึ้น อาจจะต้องทำตั้งแต่สมัยเรียนเลยหรือเปล่า อย่างในชั่วโมงศิลปะ มันไม่มีโรงเรียนไหนที่บอกว่าศิลปะเป็นเรื่องจริงจัง ทุกคนก็แค่รู้สึกว่าต้องเรียนจะได้ผ่าน ทำงานก็จ้างคนอื่นทำ ไม่ได้มีความรู้สึกว่า เห็นค่าตั้งแต่ตอนเรียน มันก็เลยเป็นค่านิยมที่ปลูกฝังมาว่า ตอนโตคุณเห็นคนทำงานศิลปะ คุณก็คิดว่างานนี้มันง่าย ใครๆ ก็ทำได้

| อนาคตของ Monsty Planet และ Chubby Bobby

นัท : เรามีแพลนว่าจะทำสองไอจี อันหนึ่งคือ Monsty Planet ไว้สำหรับวาดรูป วาดคาเฟ่ ไลฟ์สไตล์ ส่วนอีกอันจะเปิดเป็น Chubby Bobby เพราะว่าการทำแยกคนจะได้ไม่สับสนว่าตกลงวันนี้จะดูคอนเทนต์อะไรดี แล้วก็จะพัฒนาโปรดักต์ต่อ อย่างของบ๊อบบี้ ก็มีผ้าพันคอ มีโน้ตแพดเช็กลิสต์ที่เป็นลายบ๊อบบี้หมดเลย อีกอย่างคือเราอยากจะทำอีเวนต์ ไปต่างประเทศ อยากจะเอางานไปหลายประเทศ แล้วเราก็อยากพัฒนาคาแรกเตอร์ตัวนี้ไปเรื่อยๆ

| ฝากถึงคนที่ยังไม่รู้ และอยากจะเริ่มวาดภาพ

นัท : คนที่อยากเริ่มวาดภาพต้องหาก่อนว่า จริงๆ แล้วเราชอบวาดอะไร ชอบวาดคน ชอบวาดสัตว์ วาดของกิน มันต้องเจอแพชชั่นตัวเองก่อนว่า เราชอบวาดไอนี่จังเลย ไม่งั้นแปบเดียวก็เบื่อ แล้วอีกอย่างคือต้องหาจุดยืนให้ตัวเอง

คำว่า ‘แพชชั่น’ นี่แหละ ทำให้เราทำทุกอย่างได้เรื่อยๆ เคยได้ยินไหมว่า คนประเภทเดียวกันจะคอนเนกเข้าหากัน ยิ่งเราอินกับสิ่งนี้มาก มันก็จะพาเราไปเจอคนที่คล้ายกับเรา หรือมีความชอบใกล้เคียงกัน มันจะต่อยอด แล้วเราจะมีแรงบันดาลใจกับคนนั้นว่าเขาทำแบบนี้ได้ เราก็อยากทำของเรา มันจะเป็นแบบนี้ไม่มีวันหมด

Writer

SEND YOUR STORY

REQUEST INTERVIEW

ติดตามอ่าน “Urban Creature”
นิตยสารออนไลน์ที่จะทำให้คุณรักเมืองที่คุณอยู่ รักตัวเองมากขึ้นด้วยการเปิดมุมมองและนำเสนอแนวทางการใช้ชีวิตอย่างสร้างสรรค์ และสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ในการใช้ชีวิต
Better Life. Better Living.

Max. file size: 256 MB.