“อย่าลืมนะครับ คุณจะมีใจเป็นสุขในระหว่างทางที่กำลังสำรวจชาตัวโปรด หรือตัวที่คุณคิดว่าคุณอาจจะโปรดมัน คุณจะวินิจฉัย พินิจพิเคราะห์ ด้วยตา ด้วยจมูก ด้วยลิ้น ด้วยคอ ด้วยทุกผัสสะของร่างกาย ด้วยสมองขบคิด ด้วยจิตวิญญาณ คุณจะดื่มชาตัวเดิมนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า เดี๋ยวอร่อยเดี๋ยวกร่อย เห็นความแตกต่างของชาตัวเดิมในทุกน้ำและทุกชุดต่างไร่ที่เก็บเกี่ยว แต่คุณก็จะยังชงดื่มต่อไปอย่างสนุกและใคร่รู้ เพื่อหาเหตุผลสนับสนุนว่าคุณโปรดมันเข้าแล้วจริงๆ
“กระทั่งเมื่อไปถึงปลายทาง นอกจากคำตอบที่ว่าคุณโปรดชาตัวนั้นหรือไม่ คุณจะพบความเกษมศานต์ผาสุกที่สุดยิ่งกว่า เป็นสุขอันสมบูรณ์เหนือสุขใดๆ นั่นคือคุณได้รู้แล้วว่าตลอดเส้นทางที่คุณเดินผ่านมานั้น…คุณล้วนเป็นสุข”
นี่คือคำสอนของปรมาจารย์ชาถังตู้เซิง จากนวนิยาย ‘ผู้แสวงชา’ ฉันไม่ใช่คนที่เขาพูดด้วย เป็นเพียงแค่บุคคลที่สามซึ่งล่องหนอยู่ในบทสนทนานั้น แต่คำบอกนั้นได้ซึมลึกลงไปถึงหัวใจ การชงชาจะทำให้เราเป็นสุขปานนั้นได้เชียวหรือ ฉันอยากจะพิสูจน์ อยากจะเป็นสุขจากชาดูบ้าง
สิ้นความคิดท้าทายนั้น ตัวฉันก็รู้สึกเหมือนกำลังนั่งอยู่บนตู้รถไฟสายหนึ่ง
ตู้รถไฟค่อยๆ ชะลอจอด ฉันเขยิบไปต่อแถวลงตู้ขบวนที่อึงคะนึงด้วยภาษาไทยหลายสำเนียง ได้กลิ่นเชื้อเพลิง สนิมเหล็ก กลิ่นอับของผ้าผสมเหงื่อเปรี้ยว เสื้อผ้าหน้าตาไม่คุ้นเคย ดูเก่าแก่เหมือนรูปถ่ายโปสต์การ์ดหรือหนังสารคดีมากกว่าจะเป็นความจริง สองเท้าขยับได้ทีละครึ่งก้าว พอลงจากรถไฟมาแล้ว แต่ละคนถือกระเป๋าหูหิ้วคนละใบสองใบ บ้างถือชะลอมผลไม้ ตะกร้าอาหารสดแห้ง ต่างคนต่างเดินตรงไปยังทางออกเดียวกัน ฉันเดินตามคนเหล่านั้นไปด้วยตัวเปล่าๆ ไม่มีสัมภาระ เมื่อกระหม่อมได้รับแสงแดดยามบ่าย ดวงตาก็ได้หยีมองตัวอักษรหน้าบันของอาคารโดมแบบฝรั่งว่า ‘สถานีรถไฟกรุงเทพ’
รถนานาชนิดจอดหน้าสถานี ทั้งรถยนต์รับจ้าง สามล้อถีบ รถลากสองล้อ รถเมล์ประจำทาง ผู้คนเดินหลั่งไหลดั่งฝูงมดไร้ทิศทางบนถนนพระรามที่สี่ หลายกลุ่มเดินสวนเพื่ออ้อมไปตลาดนัดหัวลำโพงที่อยู่ด้านหลังสถานี ฉันสาวเท้าไวๆ ไปยังฝั่งถนนตรงข้ามผ่านรางรถแทรม อาคารโรงแรมรายวันเรียงรายแน่นขนัดริมคลองผดุงกรุงเกษมและตรงข้ามสถานีรถขบวนเหล็กพ่นควัน
เมื่อข้ามคลองมาแล้ว ฉันยืนหันรีหันขวางอย่างไม่รู้จะไปไหนต่อดี ยังอัศจรรย์ใจไม่หายที่อยู่ๆ ก็ได้ปรากฏตัวข้ามยุคมาในช่วงภาพยนตร์สีขาวดำ ทันใดนั้น ประโยคของอาจารย์ถัง “คุณได้รู้แล้วว่าตลอดเส้นทางที่คุณเดินผ่านมานั้น…คุณล้วนเป็นสุข” ก็ผุดขึ้นมาอีก ฉันหันหลังกลับไปมองยอดสถานีกรุงเทพ พลันสายตาสังเกตเห็นป้ายห้างร้านขายใบชาขึ้นมาพรึ่บอย่างดอกไม้ไฟ ตรงนั้นก็มี ตรงนี้ก็มี หากคลองผดุงกรุงเกษมครองด้วยเรือสำปั้นน้อยๆ คลองจักษุของฉันก็ถูกครองด้วยคำว่าใบชาเช่นกัน
แต่ก่อนจะตะลุยพิสูจน์ว่าการชงชาทำให้เราเป็นสุขจริงหรือไม่ ท้องก็ร้องหิวเสียก่อน ฉันนั่งลงบนเก้าอี้ไม้หัวโล้นของร้านที่หัวมุมซอยสุกร ตะโกนสั่งข้าวขาหมูกับเถ้าแก่ที่กำลังลงแรงสับเนื้อติดมันจนเขียงสะเทือน บนโต๊ะวางกาน้ำชาบริการฟรี ฉันยกรินใส่ถ้วยกระเบื้องระหว่างรออาหาร จากความรู้อันน้อยนิดเกี่ยวกับชาทำให้เดาได้ว่านี่คงเป็นชาอู่หลงสักชนิด
ระหว่างตักข้าวเข้าปาก หางตาฉันเห็นว่ารถเมล์สาย 45 จอดรับส่งผู้โดยสารที่ป้ายถัดไปไม่ไกลนัก ต่อท้ายรถบรรทุกหกล้อของห้างใบชาแห่งหนึ่ง คนงานราวสิบชีวิตช่วยกันยกลังไม้ขึ้นรถ พอกินอิ่มแล้วก็รีบไปยังทิศนั้นทันที ป้ายร้านแนะนำตัวมันว่าชื่อ ‘ห้างใบชาจิบอิ้ว ตราสามหอย’ มองเข้าไปในร้านตึกแถวก็เจอคนงานอีกห้าหกคนกำลังช่วยกันบรรจุชาลงหีบห่ออย่างแข็งขัน ตามประสาร้านดังที่ขายชาทั้งปลีกและส่งทั่วประเทศ รถคันโตกำลังรอลำเลียงขายส่งไปทั่วสารทิศไทย เหนือจรดใต้ ตกจรดอีสาน

ตู้ไม้สักติดผนังมีฝาพับสลักชื่อชาด้วยอักษรจีนโบราณ รวมกับบานเลื่อนกระจกที่ระบุชื่อของชา นับแล้วมีถึง 36 ตู้ หากไม่นับตู้ล่างสุดสำหรับใส่ของเพิ่มเติม นั่นแปลว่าร้านจิบอิ้วขายใบชากว่า 36 ตัว หากหมุนตัวหันหลังดูตู้ไม้ก็จะมีกล่องชาใบสวยงามวางเรียงราย ที่เคาน์เตอร์วางตาชั่งสองแขนถ่วงด้วยลูกเหล็กหนักหนึ่งร้อยกรัม ชาที่ตักพูนสูงเป็นภูเขาลูกน้อยๆ บนแขนอีกข้าง มันถูกตักจากถังเหล็กวงกลมใบโตที่ผ่านการอบไล่ความชื้นจากการขนส่งทางเรือจากเมืองจีน เมื่อน้ำหนักได้ตามกำหนด ก็ห่อด้วยกระดาษสีเหลืองอ่อนแบบแกนข้าวโพด พับมุมเรียบกริบโดยไม่ต้องพึ่งเทปกาว จากนั้นใส่กล่องกระดาษสีขาวที่พิมพ์ตรายี่ห้อหลากหลาย บนพื้นระเกะระกะไปด้วยห่อพิมพ์ตราดอกบ๊วย ตราน้ำเต้า ตราสามหอย
“เฮีย ขายชาอะไรบ้างคะ”
ฉันไม่แน่ใจว่าใครคือเถ้าแก่ แต่เมื่อคนที่น่าจะเป็น ‘เฮีย’ ในที่นี้เงยหน้าขึ้นจากการพับกล่องชา วางธุระในมือเดินสวมบทบาทเจ้าของร้านมาหา ชายหนุ่มแนะนำตัวว่าคือ คุณอ๋อง-กิตติชัย องศ์วรโสภณ ลูกชายของผู้ก่อตั้งห้างใบชาจิบอิ้วแห่งนี้
“ร้านเราเน้นขายสุ่ยเซียนกับเถี่ยกวนอิน”
“ต่างกันอย่างไรคะ”
“สุ่ยเซียนจะหอมกลิ่นผิงไฟเข้มๆ กลิ่นออกหวาน ส่วนเถี่ยกวนอินจะบ่มอ่อน กลิ่นออกคล้ายดอกไม้ขาว”
สุ่ยเซียน (水仙, เทพวารี) เถี่ยกวนอิน (铁观音, กวนอิมเหล็ก) เป็นการออกเสียงแบบจีนกลาง ถ้าให้คุ้นเคยของนักดื่มชาจะเป็นภาษาฮกเกี้ยน-แต้จิ๋วเรียกว่า จุ้ยเซียง กับ ทิกวงอิม ซึ่งชาสองชื่อที่ว่านี้ คุณอ๋องอธิบายว่าเป็นชื่อสายพันธุ์ชา ไม่ใช่กระบวนการทำชา แต่ก็มีกระบวนการทำชาที่ใช้ชื่อเดียวกับพันธุ์ได้ เช่น ชาพันธุ์สุ่ยเซียนทำได้ชาสุ่ยเซียน บางทีชาพันธุ์สุ่ยเซียนของทางแต้จิ๋วเอาไปทำเป็นชาออกมาชื่อตานฉง (单枞, ต้นเดี่ยว) ก็ได้ โดยกระบวนการทำชาอู่หลงที่แตกต่างกันก็จะได้ผลิตภัณฑ์ชาที่แตกต่างกันไป เนื่องจากต่างระดับการผึ่งลม ผึ่งแดด ระดับการบ่มว่าเข้มหรืออ่อน การผิงไฟแรงหรือเบานั่นเอง ชาสองตัวนี้เป็นพันธุ์ที่ปลูกขายกันแพร่หลายมากที่สุดในมณฑลฝูเจี้ยนหรือฮกเกี้ยนของจีน
คุณอ๋องรินจากกาที่เขาชงดื่มเองมาให้ฉันลองชิมพลางนั่งพักจากความเมื่อยล้า เขากวาดสายตาไปรอบๆ ร้านที่ภูมิใจก่อนจะเล่าความเป็นมาของห้างใบชานี้ให้ฟัง

“คนจีนจำนวนมากมาเปิดร้านขายใบชาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แล้ว มาพร้อมๆ กับชาวจีนที่เข้ามารับราชการ ค้าขาย แล้วยิ่งอพยพมามากขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สองเพราะมีสงครามกลางเมืองต่อ ประชาชนยากจนลำบากมาก แต่ผิดกับประเทศไทยที่เศรษฐกิจยังดีอยู่ พ่อผมเลยนั่งเรือเอาชาจากเมืองจีนเข้ามาขายในไทยหลายครั้ง พร้อมๆ กับคนจีนที่หนีสงครามมาเป็นล้านๆ คน คือเรือเข้ามาที่ท่าบางรักสมัยก่อนนี่ลำต่อลำเลย เขามาทำงานใช้แรงงานบ้าง มาค้าขายบ้าง ร้านขายชาในเขตเศรษฐกิจละแวกสำเพ็ง เยาวราช หัวลำโพง สีลม บางรัก มีเป็นร้อยๆ ร้าน ส่วนพ่อผมขายชาในไทยมาตั้งแต่ปีทศวรรษ 2490 ต้นๆ ไปๆ มาๆ เมืองจีนจนนั่งเรือกลับจีนไม่ได้เพราะติดสงคราม จึงทำใบต่างด้าวที่นี่ และจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจิบอิ้วนี้ตั้งแต่ พ.ศ. 2497 ขายชาให้กับคนจีนที่เข้ามาอยู่ในไทย หรือคนไทยที่นิยมดื่มชา
“คนจีนอพยพเข้ามาเยอะก็ดื่มชาเยอะ แต่งงานออกลูกออกหลาน แต่คนไทยไม่ดื่มชา จะดื่มก็ช่วงที่มีอหิวาตกโรคที่ต้องต้มน้ำร้อนดื่มชา ทำให้ฆ่าเชื้อโรคในน้ำไปด้วย ดังนั้นพระก็ฉันชาเช่นกัน ตอนเช้าต้มใส่กาใหญ่ฉันทั้งวัน แล้วคนจะซื้อชาไปถวายพระเพราะเป็นน้ำปานะ ฉันได้หลังเที่ยง คนก็ซื้อชุดชงชาถวายอีก จะเห็นได้ว่าตามแต่ละวัดจะมีชุดอุปกรณ์ชงชาสวยๆ เยอะ เช่น วัดเบญจมบพิตรฯ วัดบพิตรพิมุขฯ วัดสัมพันธวงศ์ วัดสุทัศน์ ยิ่งส่งออกไปขายตามวัดในต่างจังหวัดทั่วประเทศ พระเลยเป็นกลุ่มคนที่ฉันน้ำชามากที่สุดในบรรดาคนไทย แม้แต่ชาวบ้านไทยก็ไม่ได้นิยมดื่มชา
“ร้านเราเลยนำเข้าชามาเยอะ ทั้งหมดเป็นชาของที่บ้านในฝูเจี้ยนมาขายโดยตรง ตู้เล็กคอนเทนเนอร์ใส่ชาได้สามร้อยลัง ตู้ใหญ่ใส่ได้หกร้อยลัง ลังละสิบห้าถึงสามสิบกิโลกรัม ปีหนึ่งนำเข้ามาเป็นยี่สิบตู้ได้ เพราะที่บ้านเกิดผมอยู่ในเมืองอันซี ต้นกำเนิดชาเถี่ยกวนอิน และมีสัมปทานชาอยู่ในอุทยานอู่อี๋ซาน สุดยอดพื้นที่ปลูกชาเหยียนฉา (岩茶, ชาผาหิน) พวกสุ่ยเซียน ต้าหงเผา (大红袍, เสื้อคลุมแดงใหญ่) แต่ยุคที่จีนเป็นคอมมิวนิสต์ต้องซื้อผ่านบริษัทตัวกลางของรัฐบาล ช่วงหนึ่งคนค้าชาในไทยเลยรวมตัวกันเป็นสมาคมพ่อค้าชาไทย รวมตัวกันสั่งราวสี่สิบเจ้า แต่ภายหลังเกิดปัญหาแบ่งชากันไม่ลงตัวเลยต่างคนต่างสั่ง
“แต่ร้านขายส่งแบบเราก็ทำยากตรงที่จ่ายแบบเครดิต กว่าจะได้เงินบางทีหกเดือนหรือหนึ่งปี ซื้องวดนี้จ่ายงวดหน้า มันเลยโกงกันง่ายมาก ต้องคิดว่าเราจะทำอย่างไรถึงจะเสียหายน้อยที่สุด”

ในขณะที่คุณอ๋องจิบชาคั่นการอธิบาย คุณติ๊ก-เพ็ญพรรณ วณิชย์เชษฐพงศ์ ภรรยาของคุณอ๋องก็ช่วยเสริม “ฐานลูกค้าเราไม่ได้ลงทุนดื่มชาตัวแพง เน้นตัวระดับกลางๆ แต่ปักใจสั่งตัวเดียวตัวที่ชอบ ดังนั้นเราขายชา กลิ่นรสห้ามเปลี่ยน ราคาห้ามขึ้น แต่ก็ดีตรงที่เขาจะไม่ไปซื้อร้านอื่นเลย เพราะร้านอื่นต่อไปๆ ก็ขึ้นราคาตามต้นทุนค่าชา ค่าชิปปิง ค่าแพ็กเกจจิ้ง แต่ของเราดีที่คนทำชาเป็นเครือญาติเราเอง”
คุณติ๊กบอกว่าการแตกยี่ห้อเป็นตราสามหอย ตราน้ำเต้า ตราดอกบ๊วย เหมือนกับชื่อรุ่นของชาที่ลูกค้าจำได้แม่น ไม่ต่างจากเมนูน้ำชากลิ่นรสดอกไม้หรือผลไม้ต่างๆ ในร้านสมัยใหม่ ลูกค้าประจำคนไหนก้าวเข้าร้านมา เธอจะหยิบกล่องชารุ่นนั้นให้โดยอัตโนมัติเพราะเอาใจใส่ทุกคน
เถ้าแก่เนี้ยยังกล่าวถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าใบชาจากจีนอีก เนื่องจากจีนขณะที่ยังไม่เข้าเป็นสมาชิก WTO (World Trade Organization) ทำให้ผู้ค้าชาในไทยที่จะนำเข้าชาจากประเทศที่มิใช่สมาชิก WTO ต้องขออนุญาตนำเข้า และซื้อชาที่ผลิตภายในประเทศไทย ตามอัตราส่วน คือ ชาใบ ร้อยละ 60 และชาผง ร้อยละ 50 ของปริมาณที่ขออนุญาตนำเข้า (ที่มา) ทำให้เมื่อนำเข้าชาจีนมาแล้ว ต้องซื้อชาไทยด้วย ดังนั้นร้านจิบอิ้วจึงต้องแปรรูปชาที่ผลิตในไทยขายและส่งออกไปต่างประเทศ บางครั้งขายไม่ได้ทำให้ชาเหลือค้างสต๊อก ต้องกดราคาให้ถูกลงเพื่อเน้นปริมาณขายออกไปก่อน
คนงานยังคงห่อชาขาย แวดล้อมไปด้วยกลิ่นกรุ่นอ่อนๆ ของใบชาผิงไฟ หลังจากจิบชาสนทนาพัก เจ้าของร้านขายใบชาเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง ส่วนฉันได้ความรู้เต็มเปี่ยม ทั้งสองก็ขอตัว ฉันลากลับออกมาพร้อมรสชาสุ่ยเซียนหอมหวานปนกลิ่นอุ่นของไฟอบอวลอยู่ในปาก แถมยังได้ชาเถี่ยกวนอินซองเล็กๆ มาลองอีกสองซอง ฉันถามทิ้งท้ายทั้งสองคน
“ช่วยแนะนำวิธีซื้อชาดีหน่อยได้ไหมคะ”
คุณอ๋องกับคุณติ๊กเห็นตรงกัน
“เลือกชาที่ดื่มแล้วชอบเถอะ”
คุณติ๊กมอบปัจฉิมวาจา “ต่อให้มีความรู้เรื่องชา…ก็ไม่ได้แปลว่าจะดื่มชาได้อร่อยเสมอไป” ฉันถึงเข้าใจว่าทำไมชาถึงเป็น ‘เรื่องของความรู้สึก’ และเกี่ยวพันกับ ‘ความสุข’ ขึ้นมาได้
ฉันเดินออกจากร้านจิบอิ้วตอนเย็นย่ำ แดดอ่อนกำลังลง รอบข้างเป็นร้านกาแฟโอเลี้ยง มีน้ำชาขายบ้าง ลูกค้ายังอุดหนุนคึกคัก เดินเรื่อยไปถึงหัวมุมสามแยกถนนเจริญกรุง (แยกหมอมี) มีโรงหนังสิงคโปร์กับร้านขนมลอดช่องชื่อดัง เดินถัดไปอีกไม่ไกลมีโรงหนังอีกแห่งคือโรงหนังเท็กซัสบนถนนผดุงด้าว เป็นที่มาของชื่อเล่นซอยเท็กซัส

คนหัวดำๆ เดินอยู่ทุกตารางนิ้วของถนนคนเดินสั้นๆ สายนี้ ฉันเองจำต้องเดินไปตามเขาอย่างเสียไม่ได้ ก่อนสายตาจะไปปะเข้ากับป้ายร้านค้าสองคูหา ‘ห้างใบชาลิ้มเม้งกี่’ จุดเด่นคือโต๊ะสี่เหลี่ยมตัวใหญ่กลางร้าน ขนาบข้างด้วยเคาน์เตอร์กระจกและตู้หลากสีขายใบชานานาชนิด โดยมี คุณจั๊ว-ธวัช ศิริพัฒนานนท์ เป็นเจ้าของคนปัจจุบัน
ร้านค้าปลีกชาไม่วุ่นวายเท่าห้างขายส่งชาก่อนหน้า คุณธวัชกับลูกชาย คุณต้า-พัทธนันท์ ศิริพัฒนานนท์ กำลังบรรจุใบชา 125 กรัมลงห่อกระดาษอยู่ที่โต๊ะใหญ่ตัวที่ว่า พวกเขารีบทำธุระของตัวเองให้เสร็จแล้วค่อยหันมาต้อนรับทักทาย
“มีชาอะไรขายบ้างคะ”
ฉันถาม และได้คำตอบเป็นเถี่ยกวนอินกับสุ่ยเซียนเช่นเดิม “เถี่ยกวนอินหอมน้ำอ่อน เขียวๆ สดๆ สุ่ยเซียนน้ำชุ่มคอ สีเข้มๆ” ร้านใบชาคลาสสิกเหล่านี้มักจะขายชาสายพันธุ์คลาสสิกไปด้วย แต่ก็รับชาชนิดอื่นๆ มาขาย อย่างชาเขียว ชาผูเอ่อร์อัดแผ่นกลม ป้านชาดินเผา จอกน้ำชาวัสดุต่างๆ ร้านชาลิ้มเม้งกี่ปัจจุบันที่กลางซอยนี้เป็นร้านที่สองซึ่งแยกจากธุรกิจของตระกูลหลัก พร้อมขายชายี่ห้อ ‘ตราทหารเรือ’ ในขณะที่ตระกูลของพี่น้องร่วมท้องเดียวกันยังมีใบชาตรา ‘ตราสิงห์ม้า’ และ ‘ชาตรามือ’ อีกด้วย ใช่แล้ว…ชาตรามือที่ปัจจุบันโด่งดังไปทั่วโลกนั่นเอง
คุณธวัชให้ลูกชายรินน้ำชามาต้อนรับ ฉันมองไปรอบๆ ร้านอย่างสนใจ อดถามความเป็นมาของร้านใหญ่สองคูหาไม่ได้ ทั้งยังเก็บความสงสัยไว้อยู่ว่าการดื่มชาไปเรื่อยๆ จะทำให้เราเป็นสุขได้อย่างไร
“รุ่นพ่อผมมาจากเมืองจีนหนีความอดอยาก บุกเบิกทำชาร่วมกับพี่น้อง เปิดโรงงานเล็กๆ จากนั้นเปิดหน้าร้านที่เยาวราช พอจะแบ่งธุรกิจกันทำก็จับสลาก พ่อผมได้ร้านลิ้มเม้งกี่แล้วเป็นผู้จัดการคนแรกของร้านนี้ การค้าขายคึกคักมาก เปิดร้านเช้าเจ็ดแปดโมง ได้ปิดอีกทีเย็นๆ แปดเก้าโมง บางทีมีคนโทรมาสั่ง ผมต้องขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่ง คนแต้จิ๋วนิยมดื่มชาสุ่ยเซียนกับเถี่ยกวนอิน ใส่ในป้านชาเล็กๆ แต่คุณภาพคับแก้ว ราคาสูงหน่อย ถ้าชาราคาต่ำๆ จะชงใส่กาใหญ่ มีตั้งแต่ราคายี่สิบสามสิบบาท ถึงราคาสี่ร้อยห้าร้อยบาท (ต่อประมาณหนึ่งร้อยกรัม) สูงกว่านั้นถือว่าแพง”
คุณต้าขอตอบตามที่สังเกตเห็นบ้าง เนื่องจากเป็นลูกชายในร้านค้าปลีกชาบนถนนเส้นที่ครึกครื้นที่สุดสายหนึ่งในกรุงเทพฯ

“เช้าๆ คนจะมาสมาคมกันเป็นก๊วนน้ำชา เขารู้กัน อย่างเช่นว่าเสาร์อาทิตย์ก็จะมาเต็มหน้าร้านหมดเลย เพื่อนฝูงกันเองหรือแม้แต่นักธุรกิจก็นัดมาคุยกันหลายเรื่อง แลกเปลี่ยนความรู้เหมือนกับสภากาแฟ จิบชา ดมยานัตถุ์ เราจะชงน้ำชาเลี้ยงให้ลองชิมดูด้วยวิธีกงฟู ส่วนลูกค้าจะนำชาของตัวเองมาแบ่งปันกันในหมู่เพื่อน”
กงฟูฉา หรือกังฮูแต๊ (功夫茶) เป็นศิลปะพิธีชงชาของจีนที่มีมานาน ชงแบบจีนทางใต้ที่เน้นการลิ้มกลิ่นรสใบชา ด้วยการชงชาด้วยป้านชาหรือก้ายหว่านใบเล็กๆ ขนาดเท่ากำปั้น มักจุน้ำได้ราวๆ 100 มิลลิลิตร ใช้น้ำร้อนจนเดือด รินใส่จอกวนไปทีละจอกๆ ให้รสชาติเท่ากันทุกจอก การสกัดชาทีละน้อยเช่นนี้จะทำให้ได้ชารสเข้มข้นกว่าดื่มชาที่แช่ในกาใบใหญ่ๆ โดยป้านชาดินเผาที่มีรูพรุนเหมาะกับชาอู่หลงกลิ่นรสเข้มข้น เพราะป้านจะซึมซับกลิ่นของน้ำชาเข้าไป ผู้ชงจึงมักใช้ป้านใบเดียวกับชาชนิดเดียวเพื่อไม่ให้กลิ่นปนกัน
“การเปิดพื้นที่ให้ก๊วนน้ำชา ถ้าเขาไม่ชอบเรา เขาก็ไม่มา” คุณธวัชเสริม “เจ้าของต้องอัธยาศัยดี ไม่งั้นการค้ามันจืดชืด ร้านผมมีสองคูหากว้างดี ไม่ใช่ทุกร้านที่เปิดพื้นที่ให้คนมารวมตัวกัน ผนวกกับแถวนี้มีคนเที่ยวดึก มีงิ้ว มีโรงหนัง กว่าจะกลับบ้านกันก็เที่ยงคืน จะกี่โมงๆ ก็มีคน ออกมากินข้าวต้ม ติ่มซำ ซีฟูด ตรุษจีนปีใหม่โต้รุ่ง โรงหนังจองดูกันถึงสว่าง”
นอกจากร้านอาหารเลิศรสแล้ว ย่านนี้ยังมี ‘โรงน้ำชา’ เปิดทำการ มีทั้งโรงน้ำชาความหมายตรง คือ ลูกค้าซื้อชานั่งดื่มที่โต๊ะกั้นฉากเป็นห้องๆ รื่นเริงไปกับน้ำชาชั้นดี บทสนทนาชั้นเลิศ กับโรงน้ำชาความหมายแฝง คือ สถานที่ที่เจ้าของโรงน้ำชาจัดหาเด็กสาวมาบริการลูกค้าแกล้มน้ำชา ในเยาวราชมีมากมายจนยึดครองความหมายของโรงน้ำชาเป็นสถานโสเภณีไปโดยปริยาย
ด้วยความที่เป็นแหล่งพบปะของผู้คน ร้านลิ้มเม้งกี่ยังมี ‘นักเลงชา’ มาเยือนด้วย คุณธวัชกล่าวยิ้มๆ ขณะเล่าถึงคนกลุ่มนี้ “นักเลงชาคือพวกชอบกินชาดีๆ ชอบออกเงินซื้อชามาเลี้ยง บางคนมีความรู้แต่ไม่อวด ส่วนบางคนขี้อวด ทะเลาะจนจะต่อยกันก็มี ผมต้องรีบไปห้าม ขอให้ไปต่อยกันข้างนอก ในก๊วนแต่ละก๊วนมักมีคนพวกนี้ คือพวกรู้ลึกกับพวกขี้โม้”
ชาชั้นเลิศที่บรรดานักเลงชาหาซื้อ มีการจัดชุดเป็นการตลาดที่แพร่หลายไปทั่วทั้งเมืองจีนและไทย เรียกว่า ‘ทำเนียบชาสิบสองปิ่นทองจากอู่อี๋ซาน (岩茶十二金钗)’ น้อยนักที่ร้านใบชาจะมีครบทุกตัวเนื่องจากเป็นชาดัง หายาก ต้องแย่งกันซื้อ แต่ลิ้มเม้งกี่เองมีขายถึง 7 ตัวด้วยกัน
“เป็นชาขึ้นชื่อสิบสองชนิดจากเมืองจีน เป็นชาดี ชื่อเพราะ ขายราคาสูง แต่ชื่อพวกนี้จะตั้งให้ชาตัวไหนก็ได้ ร้านไหนๆ ก็ตั้งได้ อย่างต้าหงเผาเป็นชาดัง ใครๆ ก็รู้จัก บางที่เป็นต้าหงเผาแพงระดับสองถึงสามพันบาท บางที่ขายห่อละบาท เป็นชาห่วยๆ แต่ใช้ชื่อเดียวกัน” คุณธวัชอธิบาย คุณต้าช่วยเสริม “หรือเช่นโชยลี้เฮียง (หอมพันลี้) ร้านเราก็มี แต่บางร้านตั้งไปเลยว่าบ่วงลี้เฮียง (หอมหมื่นลี้) มันเกิดจากการใส่ดอกกุ้ยฮวาหรือหอมหมื่นลี้แห้งเข้าไป แต่หอมพันลี้แท้จะหอมจากใบชา ไม่ได้ผสมดอกไม้ ทำให้คนเข้าใจผิดระหว่างสองตัวนี้”
ฉันสัมผัสได้ถึงความรักในชาจากน้ำเสียงของทั้งคุณธวัชและคุณต้า แต่นอกเหนือจากชาด้วยตัวมันเองแล้ว ยังมีอย่างอื่นที่ทำให้คนค้าชาเป็นสุข “มันสนุกกับการดื่มชากับเพื่อน คนที่มาหาเป็นเพื่อนกันทั้งนั้น หรือจากแค่เป็นลูกค้ามาซื้อของก็พลอยได้รู้จักกัน ได้เพื่อนแลกเปลี่ยนกัน ได้ผูกไมตรีกัน ไม่ใช่แค่ซื้อแล้วก็กลับ” คุณธวัชกล่าวพลางลูบโต๊ะตัวขลังประจำร้านไปด้วย จากนั้นเขากับลูกชายสาธิตห่อชาโดยไม่ใช้เทปกาวช่วยติดแม้สักหนึ่งมุมให้ดู บอกว่าปริมาณ 125 กรัมเป็นน้ำหนักที่พอดีจะทำให้ห่อง่าย แน่นหนา ถ้า 100 กรัมพอดีจะห่อได้หลวมเกินไป
พวกเราจิบชาแลกเปลี่ยนเรื่องความเป็นไปในซอยผดุงด้าวและวงการน้ำชาอยู่พักหนึ่ง แสงอาทิตย์อ่อนกำลังลง ลูกค้ากลุ่มใหญ่เข้ามาเยี่ยมเยียนร้านค้าปลีกใบชาจนครึกครื้น ความสุขของการดื่มชา นอกจากกลิ่นรสจรุงใจชวนผ่อนคลายแล้ว เพื่อนร่วมก๊วนน้ำชาก็สำคัญไม่แพ้กัน
ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมอาจารย์ถังถึงกล่าวอย่างนั้น
พอบังเกิดความเข้าใจ รอบข้างก็พลันเปลี่ยนแปลง ฉันยืนอยู่กลางถนนผดุงด้าวเช่นเดิม แต่หลายสิ่งเปลี่ยนแปลงไปอย่างพลิกฝ่ามือ โรงหนังเท็กซัสที่หัวมุมฝั่งถนนเจริญกรุงหายไปแล้ว ตรงที่ฉันยืนอยู่กลายเป็นที่จอดรถและร้านสุกี้เท็กซัส ถนนปูคอนกรีตยกสูง มีร้านชานมสมัยใหม่อย่าง ‘ปา เฮ่า เถียน มี่’ อยู่ด้านหลังประตูวงเดือนสีเขียว ความเก่าตระหง่านท้ากระแสกาลเวลาอยู่ แทรกด้วยคลื่นความใหม่ตรงโน้นตรงนี้ นี่คือเยาวราชใน พ.ศ. 2568 ที่ฉันรู้จัก
สาวเท้าเรื่อยไปทางสถานี MRT วัดมังกร ซึ่งเพิ่งเปิดทำการเมื่อไม่กี่ปีมานี้ เพราะหากจะมาที่ร้านคุณอ๋องและคุณธวัชในหลายสิบปีก่อน ลูกค้าต้องจับรถรางบนดินมา

วันนี้ดวงอาทิตย์แผดแสงเจิดจ้าจนแสบผิว ชาเย็นๆ สักแก้วคงจะช่วยเป็นน้ำชโลมกายชโลมใจให้สดชื่นขึ้นได้ เมื่อคิดเช่นนั้น ทันทีที่สองตาของฉันต้องป้ายร้านที่ใกล้ที่สุด ‘ห้างใบชาอิวกี่ ตราสามปั้น’ สองเท้าก็ก้าวเข้าไปทันที
สมัยนี้เวลาพูดถึงน้ำชา ก็ต้องนึกถึงชานมใส่ท็อปปิงเยอะๆ หรือชาผลไม้ แต่ร้านริมถนนเจริญกรุง ใกล้กับทางลง MRT นี้ขายน้ำชาใสแบบดั้งเดิมเพียงแต่สกัดเย็น (cold brew) ปราศจากเมนูผสมนมหรือผลไม้ตามสมัยนิยม ที่พอดูสมัยใหม่ที่สุดคือมัตฉะลาเต้กับไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟ ร้านเพิ่งรีโนเวตมาได้ 2 ปี ฉันจำได้ขณะเดินสำรวจละแวกนี้บ่อยๆ ว่าร้านนี้เคยมีบรรยากาศคลาสสิก แต่ออกทึมๆ ไม่ค่อยเชื้อเชิญให้เข้าไปนัก
หลังจากเปลี่ยนโฉมให้ทันสมัย วัยรุ่นก็เต็มร้าน ทั้งชาวไทยและต่างชาติ ฉันเดินเข้าไปยืนเลือกเมนูสกัดเย็นเพื่อดับกระหาย ได้เป็นชาสุ่ยเซียนเพราะอยากรู้ว่ามันจะต่างจากที่คุณอ๋องและคุณธวัชรินให้ลองดื่มอย่างไร พบว่ามันทั้งชุ่มคอ หอมหวาน ปนรสเย็นๆ และกลิ่นของเครื่องเทศที่ผสมเข้าไป เป็นสุ่ยเซียนแบบใหม่ที่คนรุ่นใหม่น่าจะชอบ โดยคนที่มีวิสัยให้ปรับปรุงร้านมาจับตลาดคนวัยเยาว์มากขึ้น คือ ‘คุณแอนดรูว หวัง’ ทายาทรุ่นที่สี่ของร้าน อิมพอร์ตมาจากร้านชาในตระกูลจากไต้หวัน เจ้าของเดียวกับร้าน Wang Tea Taipei (有記名茶) ย่านต้าเต้าเฉิงในกรุงไทเป
คุณแอนดรูวยืนต้อนรับลูกค้าด้วยภาษาอังกฤษปนภาษาไทยเล็กน้อย สายตาของเขากวาดวิเคราะห์ลูกค้าก่อนจะแนะนำชาตัวที่เป้าหมายน่าจะชอบ ในป้ายเมนูมีชาสกัดเย็นจากชาตัวดังทางจีนและไต้หวันมากเท่าที่จะนึกออก ไล่ตั้งแต่ชาเขียว ชาอู่หลง ชาแดง ชาผสมดอกไม้ ไปจนชาญี่ปุ่นที่คุ้นหูกันดี เช่น หลงจิ่ง เขียวมะลิ ต้งติ่ง เถี่ยกวนอิน ตานฉง สุ่ยเซียน เตียนหง ซีลอน มัตฉะ โฮจิฉะ เป็นต้น
ระหว่างดูดชาสุ่ยเซียนเย็นผ่านหลอดชาแบบใหม่ที่แบนและมีสามรูสำหรับดื่มด่ำชาได้คล้ายการจิบทีละน้อย ฉันก็ถามคุณแอนดรูวถึงแรงบันดาลใจในการรีโนเวตร้านชาเก่าแห่งนี้ จนมีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาไม่ขาดสาย

“บริษัทอิวกี่ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2433 นับจนถึงวันนี้ก็ร้อยกว่าปีแล้ว ถ้าคุณเดินผ่านร้านเมื่อก่อนหน้านี้ก็คงจะเห็นว่ามันไม่ค่อยเฟรนด์ลีเท่าไร เราอยากนำเสนอให้คนรุ่นใหม่รู้จักสิ่งที่เราชำนาญ คือชาที่เราเบลนด์เอง เรามีสูตรพิเศษที่ทำให้แตกต่างจากเจ้าอื่น และทดลองอะไรใหม่ๆ อยู่เสมอ เหมือนสุ่ยเซียนที่คุณดื่มอยู่ เราก็เบลนด์พิเศษเข้าไป
“สิ่งที่ผมตั้งใจคืออยากจะให้ความรู้ผู้ดื่มว่า ชาจริงๆ มันเป็นแบบไหน เพราะเดี๋ยวนี้น้ำชามีขายทุกหัวระแหง ทุกห้างฯ ทุกหัวมุมถนน แต่ให้ถามแต่ละคนว่า ชาจริงๆ คืออะไร เขาอาจจะตอบว่าชาที่ซื้อดื่มตามห้างฯ พวกชาสังเคราะห์ แต่งกลิ่น แต่งรส ราคาแพง ซึ่งผมว่ามันเป็นความเข้าใจผิดอยู่หน่อย เลยอยากจะทำให้มันเข้าถึงง่าย และนำเสนอว่าชาจริงๆ เป็นแบบนี้ ซึ่งก็ได้ผลตอบรับดีนะครับ ชาเฮาส์เบลนด์ของเรา คนไทยก็ชอบเยอะ โดยมากเป็นลูกค้าตั้งแต่วัยมัธยมฯ จนถึงผู้ใหญ่วัยทำงาน
“ผมพยายามทำชาจริงๆ ให้น่าดึงดูดขึ้น เข้าถึงง่าย ตามเทรนด์อยู่บ้างอย่างเช่นการทำสกัดเย็น กับเรื่องแพ็กเกจจิ้งที่ก็สำคัญ” คุณแอนดรูวตอบขณะหลบทางให้ลูกค้าถ่ายรูปแก้วน้ำชาติดฉลากสวยของร้าน พื้นหลังเป็นตู้วางกล่องชาสวยๆ ในตู้นั้นยังมีกล่องชาแบบโบราณที่พิมพ์ภาพปู่ทวดผู้ก่อตั้งชาอิวกี่เป็นรูปขาวดำ คุณแอนดรูวมองตามสายตาฉันและกล่าว “แต่ผมคิดว่าชาสมัยใหม่อย่างไรก็แทนที่ชาแบบดั้งเดิมไม่ได้ ชาใบแบบเก่าจำเป็นต้องมีอยู่เพื่อให้ผู้คนได้กลับไปหารากเหง้าและชื่นชมแก่นแท้ของน้ำชา เพราะนอกจากชาด้วยตัวมันเอง ยังมีเรื่องของอุปกรณ์ชงชา ทุกอย่างรอบๆ ชามีความหมายและเรื่องเล่าของมัน”
ฉันเห็นด้วย นอกจากใบชาแต่ละชนิดจะมีเรื่องราวเฉพาะตัวแล้ว ป้านและถ้วยทุกใบก็มีความโดดเด่นของมันเอง
“แผนในอนาคตของเรา หลังจากวางกลยุทธ์ปรับเปลี่ยนแบรนด์แล้ว เราอยากจะเชื่อมต่อกับผู้คนได้มากยิ่งขึ้น ยกระดับชาของเราให้ดีกว่าเดิม อยากเป็นแรงบันดาลใจ พูดตรงๆ คืออยากเป็นผู้นำในโลกของชา แต่ไม่ใช่ในแง่เมนสตรีม ไม่ใช่แค่การขยายสาขาให้มาก แต่เพิ่มคุณค่าและทำให้ผู้คนเข้าใจว่าทำไมชาถึงพิเศษ ผมอยากให้ชาไม่ใช่แค่ของแฟชั่น แต่เข้าไปอยู่ในวิถีชีวิตของทุกคน”

ฉันจดจำรอยยิ้มของคนที่ตั้งปณิธานจะเป็นใหญ่ในโลกของชาเอาไว้ ก่อนจะออกจากร้านอิวกี่ด้วยกลิ่นชาสุ่ยเซียนติดโพรงจมูก ตบท้ายด้วยไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟดับความร้อนอีกสักหน่อย การที่ได้ชิมชาตัวเดียวกันผ่านกาลเวลา สุ่ยเซียนแบบดั้งเดิมและปรับตัวใหม่ทำให้ฉันเห็นความพยายามที่จะอยู่รอดของคนทำชา แต่ไม่ว่าอย่างไร ปลายทางของน้ำชาก็คือริมฝีปากที่แย้มยิ้มอย่างเป็นสุขด้วยรสชาติและเพื่อนร่วมวง
ฉันเดินผ่านร้านลิ้มเม้งกี่ คุณธวัชกับคุณต้าที่อายุมากขึ้นยังคงนั่งกรอกใบชาใส่ห่อด้วยวิธีดั้งเดิม ในร้านปิดกระจกของจิบอิ้ว คุณอ๋องกับคุณติ๊กยังจิบชาสนทนาพลางดูโทรทัศน์เช่นกัน ความเปลี่ยนแปลงไม่ปรากฏในร้านทั้งสอง เว้นเสียแต่ความแก่เฒ่าชะแรวัยของเจ้าของร้าน กับความเงียบเหงาตามกาลเวลา ย่านเยาวราชที่เคยคึกคักไม่ว่าจะฟ้าสว่างแจ้งหรือมืดทึบ ตอนนี้เหลือแต่ความเงื่องหงอยในบรรยากาศ นักท่องเที่ยวจากทุกสารทิศแวะมาแล้วผ่านไป สองเท้าหลายคู่ก้าวผ่านผู้สูงวัยที่ยังคงโก่งหลังทำงานหรือแม้แต่นั่งขอทานกับพื้นเต็มไปด้วยคราบสกปรก ความสนุกสนานครึกครื้นอันตรธานไปอย่างน่าเศร้า หนึ่งสิ่งที่แทบไม่เห็นแล้วคือการดื่มชาแบบคลาสสิก ทั้งๆ ที่น้ำชาสมัยใหม่แทนที่ไม่ได้
ทว่าฉันยังคงมุ่งหารากเหง้าแท้จริงของชา จะเลื่อนประตูทักทายเจ้าของร้านใบชาทั้งหลายที่ยังตระหง่านท้ากระแสคลื่นลูกใหม่ ทักทายดั่งเพื่อนสนิทเก่าแก่นานมา เพราะใบหน้าของพวกเขาเหล่านั้นเมื่อพบเกลอเก่าย่อมเป็นสุขไม่แพ้ผู้ดื่มชา
“กระทั่งเมื่อไปถึงปลายทาง นอกจากคำตอบที่ว่าคุณโปรดชาตัวนั้นหรือไม่ คุณจะพบความเกษมศานต์ผาสุกที่สุดยิ่งกว่า เป็นสุขอันสมบูรณ์เหนือสุขใดๆ นั่นคือคุณได้รู้แล้วว่าตลอดเส้นทางที่คุณเดินผ่านมานั้น…คุณล้วนเป็นสุข”
นี่คือคำตอบจริงแท้ของอาจารย์ถังตู้เซิงแน่นอน ฉันจะเสาะแสวงหาชาตัวชอบไปเรื่อยๆ และค้นหามิตรภาพที่ผูกโยงด้วยป้านชา อันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้โลกรอบจอกน้ำชาอุดมไปด้วยความผาสุกเช่นนั้น
