เปิดประตูปะทะกลิ่นเครื่องหอม ในบรรยากาศคลาสสิก
‘Karmakamet Diner’ คือร้านที่ให้บรรยากาศเสมือนหลุดเข้าไปในป่าย่อมๆ พาเราปลีกตัวจากความวุ่นวายได้ แม้จะตั้งอยู่ใจกลางเมืองก็ตาม ผลักประตูเข้ามาในร้าน สัมผัสกับกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วทั้งร้าน เนื่องจากร้านอาหารจะอยู่ด้านในถัดจากร้าน ‘Karmakamet Aromatic Shop’ ร้านขายเครื่องหอมชนิดต่างๆ ที่ใครหลายคนอาจจะรู้จักเป็นอย่างดี ซึ่งทั้งสองร้านมีความสอดคล้องกัน
“เพราะเครื่องหอมคือผู้ช่วยจัดการความสงบ ส่วนอาหารคือพลังในการดำเนินชีวิต”
บรรยากาศและร้านที่เราได้เห็นเป็นรูปเป็นร่างนั้น เกิดจากความตั้งใจของ ‘คุณณัทธร รักษ์ชนะ’ ที่แท็กทีมกับเพื่อนรักแต่วัยเยาว์อย่าง ‘เชฟจุฑามาศ’ ซึ่งทั้งสองคนอยากนำเสนอประสบการณ์ที่มีสร้างตรงนี้ให้เป็นพื้นที่แห่งความสุข และให้ผู้มาเยือนรับรู้ถึงความตั้งใจผ่านรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส โดยเมื่อเข้ามาแล้วสามารถเลือกที่นั่งได้เลยว่าจะนั่งท่ามกลางบรรยากาศเปิดรับธรรมชาติใกล้ต้นไม้ หรือจะนั่งในร้านที่ถูกกั้นเพียงกระจกใส มองเห็นบรรยากาศด้านนอกเขียวชอุ่มอย่างสบายตาก็ได้เช่นกัน
หากมองไปรอบๆ ร้านแล้ว สไตล์การตกแต่งเหมือนจะดูวินเทจก็ไม่เชิง แต่แอบซ่อนคววามคลาสสิกไว้ในตัว บางคนอาจจะบอกว่าเป็นสไตล์ rustic industrial แต่คุณณัทธรไม่ได้มองว่าเป็นการตกแต่งร้าน แต่มันคือชิ้นส่วนของประสบการณ์ในวัยเยาว์มากกว่า โดยรูปแบบมาจากร้านยาจีนเก่าของอากง จึงอยากให้คนที่มานั่งในร้านมีส่วนร่วมกับประสบการณ์นี้ไปด้วยกัน
ลิ้มรสมือ ‘เชฟส้ม-จุฑามาศ’ ผู้เชี่ยวชาญอาหารฝรั่งเศส
รสสัมผัสที่เราจะได้ลิ้มลอง จะเป็นอาหารจากฝีมือ ‘เชฟส้ม-จุฑามาศ’ ผู้เชี่ยวชาญด้านการทำอาหารแบบฝรั่งเศส จึงนำเสนอออกมาได้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเป็นอย่างมาก โดยนำเอาการปรุงอาหารแบบตะวันตก มาผสานให้กลมกล่อมและกลมกลืนกับศิลปะการปรุงอาหารแบบตะวันออก และเชฟส้มมักจะบอกตัวเองเสมอๆ ว่า
“การทำอาหารต้องซื่อสัตย์ ทั้งเครื่องปรุงและวัตถุดิบ ได้รับการจัดการด้วยความละเมียดละไม บางจานก็ซับซ้อนเกินคาดเดา บางจานก็เรียบง่ายในแบบที่มันเป็น เพื่อให้คุณค่าแก่วัตถุดิบอย่างตรงไปตรงมา”
Heritage Special menu 3 course
มาถึงเดือนนี้ Karmakamet มีเทศกาลประจำปีชื่อว่า ‘Heritage Bazaar’ เรื่องราวของจุดเริ่มต้นเส้นทางการค้าจากตะวันออกสู่ตะวันตก ที่ถูกเล่าถึงวัฒนธรรมจีนมาพร้อมกับกลิ่นของเครื่องหอม เชฟจึงอยากปรุงแต่งอาหารให้มีความสดชื่น และพลังแห่งแรงบันดาลใจของวัฒนธรรมตะวันออก นำทางไปสู่การผสมวัตถุดิบจากตะวันออกสู่เมนูตะวันตกที่ผสานไว้อย่างลงตัว จึงออกมาเป็น ‘Heritage Special menu 3 course’
Pink Pepper Cured Snow Fish
เรียกน้ำย่อยกันสักหน่อย ด้วยเมนูแรก ‘Pink Pepper Cured Snow Fish’ เพียงแค่เห็นก็ชวนน้ำลายสอ แทบอยากเห็นหน้าตาของเมนูถัดไปเร็วๆ นี้ จานนี้ที่โดดเด่นเห็นจะเป็นเนื้อปลาหิมะ ถูกรมควันมาด้วยพริกไทยสีชมพู เสิร์ฟพร้อมไข่ปลาแซลมอน คาเวียร์ เมลอน และครองแครงพาสต้า กินรวมๆ สามารถรองท้องได้ดี
Chinese Dry Noodle – Karmakamet Bah Mee
ตามมาติดๆ ด้วยเมนูจานหลัก ‘Chinese Dry Noodle – Karmakamet Bah Mee’ เส้นบะหมี่แห้งทำมือ สูตรเฉพาะของเชฟส้ม นำไปคลุกเคล้ากับน้ำมันกระเทียมเพิ่มความหอมแบบธรรมชาติ มาพร้อมกับเนื้อปลารสหวาน หมึก เกี๊ยวปลา กุ้งแพทอด และกานาฉ่าย ซึ่งเส้นบะหมี่ที่เชฟทำมือเองมีความนุ่มไม่แข็งกระด้าง ทำให้รู้สึกถึงความสดใหม่เสมอ
East India Rum Baba
กินคาวก็ต้องกินหวาน เราได้เผื่อพื้นที่ในท้องสำหรับ ‘East India Rum Baba’ เมนูของหวานไว้เรียบร้อย เห็นครั้งแรกเหมือนเค้กโบราณสมัยเด็ก แต่จริงๆ เป็นเค้กแบบอินเดีย โดยเชฟส้มหอบเอาประสบการณ์สมัยเรียนอยู่ที่อินเดียมารวมอยู่ในจานนี้ เมื่อกัดเข้าไปคำแรกเนื้อเค้กจะชุ่มฉ่ำไปด้วยเหล้ารัม ที่สอดไส้ด้วยครีมสดเนื้อเบาละมุนลิ้น ไม่รู้สึกถึงความเลี่ยนสักนิด เนื่องจากเชฟใช้เปลือกผลไม้ตระกูลซิตรัสขูดโรยบนเนื้อครีม อีกทั้งต้องกินพร้อมกับส้มสด รสชาติที่ได้สัมผัสจะออกเปรี้ยวหวานปนขมเล็กน้อย
แค่ 3 คอร์สนี้ก็อิ่มกันทั่วหน้า โดยคอร์ส Heritage Special ที่ชาว EAT ได้มาลองนั้น ก็ไม่อยากจะเก็บความอร่อยไว้เพียงคนเดียว จึงอยากบอกต่อให้ทุกคนได้มาลิ้มลองบ้าง ที่ Karmakamet Diner ซึ่งพร้อมเปิดประตูต้อนรับและเสิร์ฟความอร่อยถึงวันที่ 30 กันยายน 2562 นี้ แต่ ! เรายังไม่จบเท่านั้น เพราะไปถึงที่ทั้งที ก็ขอลองเมนูอื่นๆ หน่อยแล้วกัน
เมนูที่ต้องลอง เมื่อเยือน Karmakamet Diner
นอกจากคอร์สอาหารที่เล่าไปก่อนหน้านี้ จะโดดเด่นหน้ากินสุดๆ แล้ว ยังมีเมนูอื่นๆ อีกหลายจาน ที่ทางร้านเขียนไว้ในเมนูเลยว่า ต้องลอง ! เราเลยหยิบยกมาฝากเพื่อนๆ เป็นบางเมนูที่ยียวนชวนท้องร้องไม่ใช่ย่อย
Roast Beef
สำหรับสายเนื้อ Karmakamet ก็ไม่เคยทำให้ผิดหวัง จัด ‘Roast Beef’ เนื้อฉ่ำๆ ไว้ให้แล้ว โดยจานนี้มาจากความทรงจำของเชฟส้ม ที่ครูคนแรกอย่าง คุณพ่อ ได้สอนทำอาหาร เชฟเล่าว่าคุณพ่อมีชื่อเสียงในการทำเนื้อได้อร่อยกว่าใครในละแวกจังหวัดเพชรบุรี และมักจะชอบหยิบวัตถุดิบท้องถิ่นขึ้นมาเล่น สิ่งนี้ทำให้เชฟมีแรงบันดาลใจสร้างสรรค์จานนี้ออกมา โดยมีเนื้อสัมผัส และรสชาติที่ลงตัว นุ่มละมุน รับรองว่าสายเนื้อต้องติดใจไปตามๆ กัน
Sai Oua
อาหารไทยๆ ก็ต้องขอยกนิ้วให้เช่นกัน อย่าง ‘ไส้อั่ว’ ที่มาพร้อมเครื่องเคียงแบบจัดเต็ม ช่างเข้ากับตัวไส้อั่วที่เครื่องเทศอัดแน่นกลิ่นอบอวลไปทั่วทั้งปาก และที่ขาดไม่ได้เลยคือน้ำพริกหนุ่ม ซึ่งในช่วงเวลาหนึ่ง เชฟเคยได้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่เชียงใหม่ จนมีความตกหลุมรักอาหารเหนือเข้าให้แล้ว แน่นอนล่ะ ‘ไส้อั่ว’ จึงเป็นหนึ่งในเมนูที่เชฟนำมาทำ จากนั้นก็พัฒนามาเรื่อยๆ จนกลายเป็นต้นตำรับที่มีความเฉพาะตัว อีกทั้งยังนำมาเล่าใหม่ในมิติของการกินแบบตะวันตกอีกด้วย
Avocado Mango and Prawns
หากใครมองเมนูเบาๆ ไม่หนักท้องจนเกินไปแต่อิ่มได้ในจานเดียว ต้องลอง ‘Avocado Mango and Prawns’ สลัดที่เต็มเปี่ยมไปด้วยวัตถุดิบแห่งความสดชื่น โดยเชฟตั้งใจสร้างสรรค์ให้คนกินได้สัมผัสถึงรสชาติวัตถุดิบที่แท้จริง อย่างมะม่วงน้ำดอกไม้ อโวคาโด และกุ้งลายเสือ ซึ่งทุกวัตถุดิบเชฟได้คิดอย่างละเอียดเพื่อให้ทุกคำเข้ากันอย่างลงตัว
Banana Split
ใครอยากจะจัดของหวานเชิญทางนี้ กิน ‘Banana Split’ สักทีจะได้ทั้งความสดใสและสดชื่นติดตัวกลับบ้าน เอาเป็นว่าเมนูนี้ใครมาร้านก็ต่างต้องพูดถึง และสั่งมาลองสักครั้ง เพราะเป็นสายไหมขนาดยักษ์ ที่เชฟได้เอาความเป็นวัยเด็กของตนเองออกมา จากการเดินทางไปเรียนหรือไปทำงานที่ต่างๆ โดยช่วงเวลาที่ได้มองเห็นเมฆสะท้อนแสงบนท้องฟ้า เป็นช่วงเวลาหนึ่งที่ทำให้เชฟรู้สึกเหมือนเป็นม่านหลบภัยสำหรับตัวเอง ทำให้รู้สึกอบอุ่น สบายใจ จึงกลายเป็นสายไหมเมฆก้อนโต ที่อยากให้ทุกคนมีความสุขไปพร้อมกัน
ร้าน Karmakamet Diner เดินทางไม่ยากใกล้ BTS พร้อมพงษ์ อยู่ด้านหลังห้างเอ็มโพเรียม ในซอยเมธีนิเวศน์
เวลาที่เปิดให้บริการ
มื้อสาย : 10.00 – 15.00 น. (อาหารนานาชาติ)
ของว่างช่วงบ่าย : 15.00 – 17.30 น. (ของหวานและของว่าง)
อาหารเย็น : 18.00 – 22.00 น. (อาหารนานาชาติ)
ช่วงดึก : 22.00 – 23.30 น. (บริการเฉพาะเครื่องดื่มเท่านั้น)
สำรองโต๊ะ : www.karmakametdiner.com
ติดต่อ : 02-26207001