ไม่มีใครอยากยอมรับและสบตาด้านมืดของตัวเองนักหรอก หลายคนอยากจะลบหรือปัดมันออกไปให้ไกลด้วยซ้ำ
แต่ความจริงที่ไม่น่าสนุกนักคือ การเปิดประตูสู่ความดาร์กหรือสบตากับด้านมืดของเรา นับเป็นหนึ่งในเส้นทางที่จำเป็นมากๆ ในการทำความรู้จักตัวเองอย่างลึกซึ้ง เพื่อเริ่มเยียวยาปมปัญหาที่มี
หากย้อนไปถึงผู้เริ่มศึกษาด้านมืดของจิตใจมนุษย์ มีจิตแพทย์รุ่นบุกเบิกท่านหนึ่งชื่อ ‘คาร์ล ยุง’ (Carl Jung) เคยอธิบายไว้ว่า เงามืดในจิตใจมนุษย์ (Shadow) เป็นด้านมืดของนิสัยเรา เป็นมวลอารมณ์ด้านลบที่มักจะควบคุมได้ยาก เช่น ความโกรธเกรี้ยว ความอิจฉาริษยา ความละโมบ ความเห็นแก่ตัว ไฟราคะ หรือความกระหายในอำนาจ
ประสบการณ์ไหนก็ตามที่เกิดขึ้นแล้วเราปฏิเสธมัน ไม่ว่าจะมีความคิดต่อสิ่งนั้นว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัว น่าขยะแขยง ชั่วร้าย ไม่สามารถให้อภัยได้ หรืออะไรก็ตามที่เรารู้สึกตรงกันข้าม ไม่สามารถไปด้วยกันได้กับสิ่งที่จิตสำนึกของเราเลือกส่งออกมา สิ่งนั้นจะตกไปอยู่ในด้านมืดของเราในที่สุด
‘ควรรู้ด้านมืดของเรา เพื่อตั้งรับให้ทัน’
จัสติน บัลโดนี (Justin Baldoni) คือนักแสดงนำจากหนัง It Ends WIth Us ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัว (Domestic Violence) เขาแสดงเป็นคุณหมอหนุ่มรูปหล่อ ผู้ทำร้ายร่างกายและขืนใจภรรยาแม้ว่าจะรักเธอมากก็ตาม
จัสตินเล่าว่า ก่อนและระหว่างการถ่ายทำ เขาตั้งใจหาข้อมูลเพิ่มเติม รวมถึงรับฟังประสบการณ์จากเหยื่อ เพื่อจะเข้าถึงบทบาทได้อย่างเต็มที่
“ผมคิดว่าสำคัญมากนะ ที่เราต้องรู้ว่ามนุษย์คนหนึ่งมีด้านดาร์กของตัวเองได้ขนาดไหน” เขาให้สัมภาษณ์เอาไว้
บางคนอาจประหลาดใจว่าทำไมต้องอยากรู้มุมร้ายๆ ของตัวเองด้วย แต่ผู้เขียนกลับเห็นด้วยมากๆ กับจัสติน เพราะการเปิดใจค่อยๆ เรียนรู้ด้านมืดของตัวเอง หรือแค่พยายามทำความเข้าใจว่า คนเราสามารถดิ่งไปด้านมืดได้ลึกขนาดไหน ไม่ได้ทำให้เรากลายเป็นคนชั่วร้ายอย่างที่เคยคิดไว้หรอก
เราเรียนรู้ความมืดเพื่อเตือนตัวเองให้มีสติต่างหาก หากเหตุการณ์ไหนหรือใครมาทำบางอย่างที่กระทบใจ แล้วดันมาเปิดแผลของเราโดยไม่รู้ตัว เราจะได้ตั้งสติโต้ตอบความเจ็บปวดนั้นแบบไม่ต้องไปสร้างความเจ็บให้คนอื่นต่อ หรือทำอะไรที่เราจะรู้สึกแย่กับตัวเองกว่าเดิม
ไม่ว่าคุณจะนึกถึงใครก็ตามที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา แน่นอนว่าความเลวร้ายนั้นเกิดจากการสั่งสมความมืดหม่นในใจ บาดแผลของเขาถูกกดทับไปเรื่อยๆ จนยากจะเยียวยาได้ ที่ทำได้ก็แค่แสดงออกให้แรงที่สุด โหดร้ายที่สุด น่ารังเกียจที่สุด เพื่อนำอารมณ์ที่ไม่ชอบนี้ออกไป จนกลบความเจ็บในใจไปให้พ้นๆ เท่านั้นเอง
‘เรียนรู้ด้านมืด เพราะหากเรากดมันไว้ ยังไงก็จะระเบิดออกมา’
ด้านมืดที่เราคอยหล่อเลี้ยงไว้กับตัว อาจมาจากความโกรธแค้นเจ็บช้ำที่เราเคยถูกกระทำ แต่ความหมกมุ่นที่คิดแต่เรื่องคนคนนั้นที่เคยทำเราเจ็บ หรือเหตุการณ์แย่ๆ ที่เคยเกิดกับเรา จะทำให้เราคอยเตือนตัวเองถึงนิสัยที่เรา ‘เกลียด’ หรือความรุนแรงที่เรา ‘ขยะแขยง’ อยู่เสมอ
จุดประสงค์ของการเยียวยาไม่ใช่ลบมันออกไป แต่ให้อยู่กับมันได้อย่างสันติ ยิ่งเราเกลียดสิ่งไหนในตัวเรา ยิ่งต้องโอบกอดสิ่งนั้นด้วยความอ่อนโยนให้บ่อยขึ้น
เชื่อหรือไม่ว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่สติจับไม่ทัน เราจะเผลอแสดงนิสัยหรือส่งมวลอารมณ์นั้นออกไปให้คนอื่น หากเราเอาใจไปวนเวียนจดจ่อกับสิ่งไหน สิ่งนั้นจะขยายใหญ่ขึ้น และเราจะมองเห็นหรือสัมผัสถึงสิ่งนั้นเสมอแม้จะเป็นสิ่งที่เกลียดแค่ไหนก็ตาม
Trigger หรือสิ่งที่มาจี้จุดปมในใจ เกิดกับเราเพื่อเตือนให้รู้ว่า ‘เหตุการณ์ที่สร้างปมให้เรานั้นได้ผ่านไปแล้วนะ’ ตอนนี้เรามีสิทธิ์ที่จะหยุดพักสักนิด แล้วเลือกวิธีโต้ตอบหรือจัดการกับความเจ็บในใจนี้ด้วยวิธีใหม่ ที่ไม่ใช่จากจิตใต้สำนึกแบบยับยั้งตัวเองไม่ทันเหมือนที่เคยผ่านมา แค่เราเปลี่ยนวิธีการแสดงออก เท่านี้มันก็ไม่สามารถมีอำนาจเหนือเราได้แล้ว
ตั้งคำถามเพื่อเรียนรู้ด้านมืดของเรา สิ่งที่เราไม่ชอบที่สุดในคนอื่นคืออะไร
หลายครั้งสิ่งที่เรารำคาญและอึดอัดใจมากที่สุดในตัวคนอื่น คือสิ่งที่เรากดมันไว้ลึกๆ ในตัวเรา ความอึดอัดใจที่เราสัมผัสได้เมื่อมองคนคนนั้น แท้จริงแล้วกลับสะท้อนออกมาจากภายในของเรานั่นแหละ เพราะเราก็มีความรู้สึกรุนแรงต่อสิ่งนี้ในตัวเอง ซึ่งกระบวนการนี้เรียกว่า Projection
ยกตัวอย่างจากเรื่องส่วนตัวของผู้เขียน ตอนเด็กๆ สมัยเรียนประถมฯ จะมีรุ่นน้องคนหนึ่งที่ผู้เขียนอิจฉาเธอมาก เพราะมีเพื่อนมากมายและสนิทกับรุ่นพี่หลายคน
เวลาผ่านไป ผู้เขียนก็ตกผลึกกับตัวเองได้ว่า ที่เป็นแบบนั้นเพราะเธอมีสิ่งที่ผู้เขียนโหยหาอย่างมากในตอนเด็ก นั่นคือความรู้สึกเป็นที่รักในปริมาณเยอะๆ เห็นได้ชัดเจน
และที่ชัดที่สุดที่ต้องเป็นน้องคนนี้คือ เธอกับผู้เขียนมีประสบการณ์อย่างหนึ่งที่เหมือนกัน คือเราทั้งคู่สูญเสียคุณพ่อไปแล้ว (พ่อเธอเสียชีวิต ส่วนพ่อผู้เขียนซึ่งตอนนี้เสียชีวิตแล้ว ตอนนั้นเป็นโรคสมองเสื่อม จำลูกคนนี้ไม่ได้)
พอค่อยๆ คิดได้ก็เริ่มเข้าใจว่า ความเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือของพ่อในตอนนั้น ทำให้ผู้เขียนรู้สึกว่าความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตหล่นหายไป ไม่สามารถกลับมาได้แล้ว และพยายามตามหาความรักที่เสียงดังนั้นจากคนที่เหลือบนโลก ซึ่งจริงๆ แล้วสิ่งที่ต้องทำคือ การค่อยๆ แช่อยู่ในความสูญเสีย ปล่อยให้ตัวเองได้เศร้า โอบกอดเด็กคนนั้นที่ไม่สามารถใช้ชีวิตแบบเดิมกับพ่อได้แล้ว ทำความเข้าใจว่าความเจ็บนี้เกิดขึ้นกับเรา แต่ไม่ใช่ความผิดของเราเลย รักตัวเองให้มากๆ และมอบความรักเท่าที่เราเคยรู้จักให้กับตัวเราเอง
ความทรงจำเจ็บปวดที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับเราในตอนเด็กคืออะไร
หลายครั้งด้านมืดเติบโตขึ้นข้างในเราเพราะแผลในวัยเด็กที่ยังไม่สมาน บางครั้งมาจากครอบครัว ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม
หนึ่งในสถานการณ์ที่มีคนมาเล่าให้ผู้เขียนฟังบ่อยคือ การที่เขารับรู้ว่า จริงๆ แล้ว ‘แม่ไม่ได้พร้อมจะให้เขาเกิดมา’ หรือ ‘ในตอนนั้นแม่ไม่ได้อยากมีเขา’
หลายคนกลายเป็น ‘Overachiever’ หรือคนที่ทำงานหนักหักโหม เพื่อให้ตัวเองประสบความสำเร็จอย่างไม่มีที่ติ และลบความรู้สึกว่า ‘ตัวเองดีไม่พอซะที’ หรือความคิดท้อแท้ อยากหายไปจากโลกนี้
‘ถ้าตนไม่เกิดมา ทุกอย่างน่าจะดีกว่านี้ แม่คงจะมีความสุขมากกว่านี้’
หนทางแห่งการเยียวยาไม่ใช่พยายามใช้ทั้งชีวิตเพื่อพิสูจน์ให้คนนั้นของเราได้รับรู้ว่า เราควรค่าแก่การมีชีวิตอยู่ หรือทำให้เขาภูมิใจได้แค่ไหน แต่คือการค่อยๆ สร้างเส้นเรื่องที่ชุบชูใจเราใหม่ แทนเส้นเรื่องเก่าที่เราเคยเชื่อ ที่มันกดทับเราแทบจมดิน ด้วยใจอันเศร้าหมอง
ลองค้นหาคุณค่าที่มาจากข้างในของเรา สิ่งที่เรารัก สิ่งที่ทำแล้วมีความสุข รักในความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเองให้ได้ จนความรักที่เรามีให้ตัวเองมันดังกว่าเสียงที่ทำให้เราปวดร้าว
อย่ารีบร้อนที่จะเยียวยา และหากเราเป็นมิตรกับทุกด้านในชีวิตและจิตใจของเราได้แล้ว ก็พอกันทีกับการเป็นศัตรูกับตัวเอง กับการรู้สึกโดดเดี่ยวในตัวเอง ทุกส่วนในหัวใจของเราคู่ควรแก่การโอบกอดนะ
ขอให้ทุกคนเดินทางเข้าสู่ปีหน้าอย่างสวยงาม
Source :
CEOsage | scottjeffrey.com/shadow-work