ขณะที่โลกแห่งการตื่นรู้เรื่องสุขภาพจิตได้พร่ำบอกทุกคนถึงความสำคัญของการ Slow Down หรือค่อยๆ ทำอะไรให้ช้าลง แต่โลกแห่งความจริงที่หลายคนต้องตรากตรำทำทุกอย่างให้สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน การปั้นชีวิตให้สวยดั่งที่ฝัน หรือความสัมพันธ์ ฯลฯ เราก็ไม่สามารถปรับโหมดเป็น ‘ปล่อยมันไป’ กันได้ง่ายๆ และจะยิ่งกระตุ้นความโมโหทุกครั้ง เวลาได้ยินใครบอกให้ ‘อย่าไปคิดมากกับชีวิตนักเลย’
การเข้าถึงสุขภาวะจิต ไม่ได้แปลว่าเราต้องอยู่ฝั่ง ‘Worry-free’ ไร้ซึ่งความกังวลเสมอไป แต่คือการขับเคลื่อนชีวิตไปเรื่อยๆ อย่างมีสติ รับรู้ถึงทุกอารมณ์ และปล่อยบางอย่างที่ขุ่นมัวหัวใจออกไป ไม่ให้มันมาทำลายเราได้
แล้วเรื่องอะไรบ้างเล่าที่เราควรปล่อยวาง ชวนมาสำรวจพร้อมๆ กันในบทความนี้
โลกไม่ได้จ้องแต่จะทำร้ายเรา แต่เป็นหน้าที่ของเราในการจัดการตนเอง
นิสัยหนึ่งที่เป็นอุปสรรคในการมีสุขภาพจิตที่ดีคือ การมองว่าตัวเองคือ ‘เหยื่อ’ ในทุกเหตุการณ์โชคร้ายที่เกิดขึ้นกับเรา
สิ่งนี้ไม่ใช่การปล่อยวาง แต่คือการปล่อยปละละเลยแน่นอน เพราะเราไม่ได้รู้สึกสบายใจขึ้นหลังจากมองตัวเองว่าเป็นเหยื่อ อีกทั้งยังกลับทำให้เราไม่อยากพยายามลองหาทางแก้ไขหรือปรับปรุงชีวิตให้เติบโตและพัฒนาขึ้นจากจุดที่เป็นอยู่ ซึ่งนั่นจะยิ่งทำให้เรารู้สึกไม่มีความสุขกับตัวเอง เพราะเชื่อไปแล้วว่าคนอย่างเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้
ในส่วนหนึ่งก็จริง มีหลายสิ่งที่เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่เราทุกคนมีความสามารถที่จะทำชีวิตให้ดีขึ้นหรือสุขขึ้นได้เสมอ เช่น ถ้าเราโดนไล่ออกจากงานที่รักและทุ่มเทอย่างเต็มที่ มันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย เราโมโหโวยวายกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่หลังจากนั้นมันก็อยู่ในอำนาจของเราเช่นกัน ที่จะเลือกเดินต่อไปในชีวิตยังไง จะพยายามหางานใหม่ ที่แม้ไม่ได้เป็นงานที่รักเหมือนเดิมแต่ก็พอเลี้ยงตัวเองอยู่รอด หรือจะจมอยู่ที่เดิม ยอมแพ้กับชีวิต และเอาแต่จ้องจับข้อเสียของโลกใบนี้ที่เกิดกับเรา เพื่อนำมาเป็นบทสรุปให้ชีวิตตัวเองว่า ‘ยังไงชีวิตของเราก็ไม่มีทางดีขึ้นได้’
หากเราพยายามมองหา ‘วิธีและทิศทางที่เป็นไปได้’ ที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย แค่การลงมือทำอะไรสักอย่างที่มาจากความตั้งใจว่า เราต้องการมอบสิ่งที่มีค่าให้ชีวิตเรา ก็จะเพิ่มความภูมิใจและเคารพในตัวเองได้อย่างแน่นอน เมื่อเรารู้แล้วว่าอำนาจในการใช้ชีวิตของเราอยู่ที่เราเป็นหลัก
ปล่อยวางความรู้สึกเจ็บปวดตอนถูกต่อว่า เก็บมาแต่สิ่งที่ใช้เป็นบทเรียน
หลายครั้งเวลาที่มีคนด่าหรือส่งอารมณ์แรงๆ มาใส่เรา โดยที่หากพิจารณาดูดีๆ แล้ว คำด่าหรืออารมณ์ที่รุนแรงนั้นไม่สอดคล้องกับสิ่งที่เราทำให้เขาไม่พอใจเลย ใช่แหละ เราทำผิดพลาดบางอย่าง แต่ตัวเองก็รู้สึกลึกๆ ว่าไม่คู่ควรกับการตอบโต้รุนแรงจากอีกฝ่ายแบบนั้น เพราะฉะนั้นอย่าเก็บอะไรมาเป็นเรื่องส่วนตัวไปซะหมด
เพราะคนที่กำลังต่อว่าเราในช่วงเวลานั้น เขาไม่ได้แค่โมโหใส่เราอย่างเดียว แต่ยังพาความทรงจำเจ็บปวดหรือน่าหงุดหงิดใจที่เขาสลัดออกไปไม่ได้มาโยนใส่เราด้วย ยกตัวอย่าง วันนี้เจ้านายใช้ถ้อยคำรุนแรงกว่าครั้งอื่นๆ วิจารณ์งานของเรา ทำให้เรารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจมาก เพราะตั้งใจทำงานนี้อย่างสุดความสามารถ แต่จริงๆ แล้ว ต้นตอสาเหตุที่อารมณ์เจ้านายคุกรุ่นเป็นพิเศษ เป็นเพราะเขากำลังอยู่ในช่วงสั่นคลอนกับภรรยา จึงแบกความเครียดจากที่บ้านมาทำงานด้วย
แน่นอนว่าเรายังต้องเติบโตในสายอาชีพที่ใฝ่ฝันจะเก่งให้ได้ เราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้และถอดบทเรียนจากรุ่นพี่ในสายอาชีพเราให้มากที่สุด ทุกครั้งที่ได้รับคำแนะนำหรือคำวิจารณ์ ถึงแม้วิธีการสื่อสารของอีกฝ่ายจะทำร้ายจิตใจเราขนาดไหน ให้รู้ไว้ว่าเราไม่คู่ควรกับการได้รับการปฏิบัติแบบนั้น และเราไม่จำเป็นต้องหมั่นฉายภาพความรุนแรงนั้นวนอยู่ในหัวเสมอๆ เพราะเชื่อว่าการทำร้ายตัวเองนี้จะทำให้ผลงานเราดีขึ้นได้
การเป็นคนเก่งไม่ควรต้องแลกมากับสุขภาพจิตที่เสีย รู้ตัวว่าใจร้ายกับตัวเองเมื่อไหร่ ก็ปล่อยอารมณ์หนักๆ นั้นทิ้งไป แล้วเก็บมาแต่คำแนะนำที่จะเป็นประโยชน์ ทำหน้าที่ของเราให้ดีขึ้นก็พอ
ปล่อยความคาดหวังที่คนอื่นมีต่อเราทิ้งไป เพราะเรามีหน้าที่หลักคือดูแลตัวเองให้ดีที่สุด
‘เราไม่ได้เกิดมาในโลกนี้เพื่อพยายามทำให้ทุกคนรักเรา’ ผู้เขียนเคยพูดกับคนไข้ไว้แบบนี้ เพราะสัมผัสได้ถึงความทรมานที่หลายคนโบยตีตัวเองทุกครั้งที่รู้สึกว่าตัวเองกำลังทำให้คนรอบข้างผิดหวัง โดยเฉพาะคนที่รักตนมากๆ
‘ความรู้สึกว่าตัวเองดีไม่พอ’ หลายครั้งเกิดจากการเรียนรู้ตัวตนของเราผ่านสายตาของคนรอบข้าง ที่ถึงแม้จะมาจากความรักและความเชื่อมั่นในตัวเราเหลือเกิน แต่ความคาดหวังของคนที่เรารักก็สามารถกัดกินจิตใจเราให้เจ็บจี๊ดๆ ไปทีละนิดอย่างไม่ทันตั้งตัว
ไม่มีใครรู้จักเราดีเท่าตัวเอง และไม่ว่าเราจะเลือกทำตัวแบบไหน ย่อมมาพร้อมคำชื่นชมจากบางคน และการไม่เห็นด้วยจากบางคนเสมอ เพราะฉะนั้นการได้เป็นตัวเองในรูปแบบที่สัญชาตญาณบอกว่าใช่ที่สุด ถ้าไม่ได้มาจากการตั้งใจทำให้คนอื่นเดือดร้อน หากจะมีความอึดอัดจากเสียงคนที่ไม่ชอบหรือไม่เข้าใจบ้าง แต่ถ้าเราไม่รู้สึกเป็นศัตรูกับตัวเอง ก็ขอให้รู้ไว้ว่าเรามาถูกทางแล้ว
ปล่อยวางความสัมพันธ์ที่ต้องฝืนและมีแต่ความเจ็บปวด
ในความสัมพันธ์แบบโรแมนติก ไม่ว่าเราและเขาจะรักกันมากแค่ไหน ต่างคนต่างต้องมีการปรับตัวเข้าหากัน ให้เจอพื้นที่ตรงกลางที่ทั้งคู่สบายใจและรับรู้ได้ถึงความรักที่สุด แต่หากเรากำลังอยู่ในความสัมพันธ์ที่ต้องเปลี่ยนอยู่ฝ่ายเดียว และไม่สามารถสัมผัสถึงความซาบซึ้งในความรักจากอีกฝ่ายได้เลย นั่นอาจหมายถึงเวลาที่ควรเริ่มพิจารณาทิศทางในความสัมพันธ์แล้ว
หากต้องเปลี่ยนแปลงปรับปรุงบางอย่างในตัวเอง เพื่อให้ความสัมพันธ์นี้ราบรื่นขึ้น เราควรรู้สึกชื่นใจและมีความสุขหลังจากนั้น มันควรเป็นตัวตนของเราที่ทำให้เราภูมิใจกับมันมากขึ้น เช่น ชอบที่ตัวเองเป็นคนใจเย็นลง ชอบที่ตัวเองระมัดระวังคำพูดมากขึ้น
แต่หากเราต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อตามใจเขาฝ่ายเดียว ความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยการกระทำและถ้อยคำจากเขา ที่ทำให้เรารู้สึกว่าคุณค่าในตัวเองลดลง ทำให้เรากลัว หรือไม่กล้าออกความเห็น ไม่สะดวกใจในการได้เป็นตัวเอง ต่อให้รักเขาแค่ไหน แต่หากความสัมพันธ์เดินมาถึงจุดที่เรามองกระจกแล้วไม่มีตรงไหนที่ชอบตัวเองเลย ยังไงมันก็ไม่คุ้ม
ปล่อยวางจากการสร้างชีวิตให้เพอร์เฟกต์
ไม่มีใครในโลกนี้สมบูรณ์แบบ เพราะความสมบูรณ์แบบนั้นไม่มีอยู่จริง เราไม่ควรทรมานกับนิสัยคิดมากของตัวเอง ไม่พอใจกับทุกสิ่งที่ทำลงไป เพราะเชื่อว่ามันต้องดีได้กว่านี้
‘การคิดมาก’ หากเป็นไปในทางสร้างสรรค์ มันจะทำให้เราสบายใจขึ้นเมื่อคิดจนเจอทางออกที่ดีกว่านี้ เมื่อค้นพบว่ามีอะไรบ้างที่อยู่ในการควบคุม และเราสามารถรับผิดชอบได้ เพราะจะทำให้เรารู้สึกถึงอำนาจในทางที่ดีที่มีในตัว
แต่หากเป็นการคิดมากที่ดึงตัวเองสู่ภาวะเศร้าหมอง ไม่ได้ผลลัพธ์ที่สวยงาม กลับคอยแต่ขยี้ความผิดพลาด ความอับอาย เหมือนอยากจะลงโทษตัวเองให้จดจำในสิ่งที่แย่เพื่อจะได้ไม่ทำอีก พฤติกรรมแบบนี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อจิตใจ เพราะจะเป็นการคอยฝึกให้สมองของเราเสาะหาแต่ข้อเสียในตัวเอง จนแทบหาความสุขไม่ได้
อยากให้ระลึกว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่เราโฟกัสสิ่งไหน สิ่งนั้นจะใหญ่ขึ้นมา และมันไม่ผิดเลยที่จะให้รางวัลด้วยการลองมองตัวเองในทางที่ดีบ้าง ทำแบบนี้บ่อยๆ แล้วความรู้สึกชื่นชมในสิ่งเล็กน้อยจะคอยนำพาอะไรดีๆ มาให้เราได้พบเจอ เพราะเราจะสังเกตความสวยงามรอบข้างได้ง่ายขึ้น
ทุกการเปลี่ยนแปลงล้วนน่ากลัวและสร้างความยากลำบากให้ตัวเองเสมอ แต่ก็เช่นเดียวกับการอยู่แบบเดิม ไม่ว่าจะเลือกแบบไหน ตัวเราเองจะรู้ดีที่สุดว่าความยากลำบากใดคุ้มค่ากับใจเรา